Skip to main content

10 พฤศจิกายน 2550

ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ

1

ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก

การเดินทางเข้าบ้านห้วยเสือเฒ่าก็เพื่อดูแลแม่ของสามีที่ต้องการใกล้ชิดกับลูกหลานโดยเฉพาะหลานที่แกได้เลี้ยงดูแลมาตั้งแต่เกิด

ส่วนหมู่บ้านใหม่นั้นฉันต้องเข้าไปให้กำลังใจชาวบ้าน ดูแลทุกข์สุข แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้มากมายนักแต่ก็คอยประสานงานกับทางอำเภออยู่ข้างนอก  

รวมๆ แล้วเป็นความวุ่นวายทั้งกาย-ใจ ที่เกินพอดีจนไม่อาจจะจับปากกานิ่งๆ เพื่อเขียนอะไรสักอย่างได้เป็นชิ้นเป็นอัน

ดูเหมือนหมู่บ้านใหม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หน่วยงานราชการสนใจเข้ามาเยี่ยมงานสม่ำเสมอ ผักไม้ที่ปลูกหว่านไว้ได้เก็บเกี่ยวเป็นกับข้าวแล้วหลายมื้อ  ลูกไก่ที่ได้รับแจกมาจากทางจังหวัดเติบโตขึ้นตามวันเวลา ชาวบ้านปรึกษาหารือกันบ่อยขึ้นแม้ว่าฉันจะไม่ได้เข้าไปจัดวงประชุมเหมือนที่ผ่านมา  

ทางอำเภอเข้ามาปรับปรุงถนนเชื่อมต่อระหว่างบ้านเก่ากับบ้านใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบ้านเก่าสามารถเดินเข้ามาเที่ยวที่บ้านใหม่ได้สะดวกขึ้น พวกเราได้เห็นความจริงใจของข้าราชการหลายคน ที่ทุ่มเทให้กับการพัฒนาหมู่บ้าน และชาวบ้านสองหมู่บ้านได้เชื่อมโยงน้ำใจซึ่งกันและกันจากการทำงานร่วมกัน

นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้านมากขึ้น แต่ก็มีจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าไปถึงหมู่บ้านใหม่ ชาวบ้านบ้านเก่าจึงแบ่งที่ทางร้านขายของให้คนบ้านใหม่ได้วางขายของที่ระลึกช่วยให้คนบ้านใหม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง

กลับมาที่บ้านห้วยเสือเฒ่า หมู่บ้านที่เคยมีถนนสองสายตั้งแต่สะพานจนถึงท้ายหมู่บ้าน บัดนี้ถูกยุบรวมให้เหลือสายเดียว อีกสายถูกปล่อยร้างเพราะกระยอต้องย้ายบ้านลงมาสร้างรวมกับกระยันเพื่อทดแทนบ้านหลังก่อนที่ถูกรื้อย้ายไป

แม้บ้านที่สร้างขึ้นใหม่จะดูกลมกลืนจนนักท่องเที่ยวที่เคยมาหนแรกไม่เอะใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่ในความรู้สึกของชาวบ้านเองต่างก็รู้ว่าต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับที่ทางบ้านใหม่

นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าที่กลุ่มสุดท้ายจะออกจากหมู่บ้านก็มืดค่ำ บางวันชาวบ้านต้องจุดเทียนไขให้ความสว่างอยู่หน้าร้านขายของ  

รายได้จากการขายของที่ระลึกของชาวบ้านห้วยเสือเฒ่าดูเหมือนจะได้เป็นกอบเป็นกำ มากกว่าอีกสองหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไกลเมืองมากกว่า แต่ฉันก็ได้ยินชาวบ้านหลายคนบ่นว่ารายได้จากการขายของปีนี้ลดลงมากกว่าปีก่อนๆ

2

ฉันนึกถึงความเป็นอยู่ของคนที่ย้ายไปซึ่งหากนับจำนวนรายได้ที่เคยได้รับในทุกๆ ปี พวกเขาย่อมรู้สึกอัตคัดกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว แต่ในความอัตคัดนั้นฉันก็หวังว่าพวกเขาจะคิดถึงในส่วนที่พวกเขาได้ร่ำรวยมากกว่าคนที่นี่

ความร่ำรวยนั้นก็คืออิสรเสรีภาพแห่งการดำเนินชีวิต หากไม่ถือคติเสียว่า “เงิน” ซื้อได้ในทุกสิ่งเสียแล้ว การพออยู่พอกินด้วยการทำการเกษตรแม้จะเป็นการยากที่จะละความเคยชินจากการแค่ยืนอยู่หน้าร้านขายของและมีคนมายื่นเงินให้ถึงบ้านแล้วละก็ หยาดเหงื่อนั้นแหละที่จะมีกลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าข้าวของเงินทองที่ได้มาโดยง่าย

แต่การที่พวกเธอถูกนายทุนทำให้เป็นสินค้า ห่วงทองเหลืองมีค่าดุจทองคำ ซึ่งต่างจากชาวเขาเผ่าอื่นที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนทำมาหากินจากหยาดเหงื่อแรงงาน พวกเธอที่สวมห่วงทองคำเหล่านั้นจึงดูเหมือนฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยว มากกว่าการทำการเกษตรหรืออาชีพอื่นที่ต่างออกไปจากเดิม

ฉันไม่แปลกใจที่ทุกครั้งที่เข้าไปในหมู่บ้านคำถามที่จะได้ยินทุกครั้งคือเรื่อง “ถนน” ในมุมมองของชาวบ้านจึงหวังพึ่งเพียงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อจะได้มีรายได้เหมือนเช่นเคยด้วยความเคยชิน

สิ่งที่จะเปลี่ยนความเคยชินของชาวบ้านได้จึงต้องมีการคิดหาลู่ทางในการหารายได้รูปแบบอื่นๆ ซึ่งหน่วยงานราชการต้องมาสนับสนุนในด้านความรู้ เช่นการปลูกผักเพื่อขาย หรือส่งเสริมในเรื่องการทำหัตกรรม เป็นต้น

แม้ว่าการปลูกผักสวนครัวทำการเกษตรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางเกษตรอำเภอมาสนับสนุนจะพอแบ่งเบาค่ากับข้าวของชาวบ้านไปได้ในบางส่วน แต่รายจ่ายในส่วนอื่นๆ เช่นค่าข้าวสาร ค่าลูกไปโรงเรียน ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ จำต้องจ่ายเป็นตัวเงินแทบทั้งสิ้น

หากฉันเป็นชาวบ้านเองก็คงมองไม่เห็นหนทางหารายได้ที่รวดเร็ว ลงทุนน้อย และได้กำไรงามไปกว่าการหารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นแน่

สิ่งที่ยากไปกว่านั้นก็คือ ความคิดเรื่องความพอเพียงในตรรกะของราชการที่มีต่อชาวบ้านนั้น สำหรับชาวบ้านแล้วเป็นความพอเพียงหรืออัตคัต?

เพราะถ้าการปลูกผักไม้กินเป็นอาหารได้แล้วราชการมองว่า เป็นความพอเพียง ไม่ต้องมีรายได้จากการท่องเที่ยวก็ได้ ชาวบ้านก็จะสะท้อนความจริงว่า พวกเขายังมีรายจ่ายอะไรอีกบ้างในชีวิต

ในวันที่ห่วงทองคำสีซีดจางลง ท้องของพวกเขาก็หิวโหยมากขึ้น อะไรจะอยู่ตรงกลางเป็นความพอเพียงที่แท้จริง เป็นคำถามที่ใครต้องเป็นผู้ขบคิด.

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
  สาละวิน,ลูกรัก เมื่อครั้งที่แม่มาจังหวัดเชียงใหม่ครั้งแรกนั้น แม่อายุได้ 18 ปี เชียงใหม่ในความรู้สึกของแม่มันช่างกว้างใหญ่สวยงาม  แม่เป็นเพียงเด็กบ้านนอกจนๆ ที่มีเพียงเงินค่ารถติดตัวไม่กี่บาท ที่เหลือก็เป็นค่าลงทะเบียนสอบเอ็นทรานซ์ แม่มองเห็นพระธาตุดอยสุเทพจากวิวนอกเมืองยามรถแล่นผ่าน  แม่อธิษฐานในใจว่า หากมีบุญที่จะได้มาอยู่เชียงใหม่  ก็จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุฯ ให้ได้
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก แม่ได้เล่าถึงพิธีกรรมในการเรียกขวัญลูกในบทบันทึกที่ผ่านมา แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของแม่เช่นกัน
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก พ่อกับแม่ต่างเกิดขึ้นมาในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างริบลับ แม่นั้นแม้จะเกิดที่ภาคอีสานของประเทศ แต่ก็ซึมซับวัฒนธรรมอีสานได้เพียงน้อยนิด ก็ต้องมาใช้ชีวิตและเติบโตที่ภาคเหนือจนกระทั่งเมื่อเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ก็ดูเหมือนจะตัดขาดกับฐานวัฒนธรรมของตัวเอง เพราะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่สังคมชั้นกลางเป็นกระแสหลักอยู่รายล้อม
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก เช้าวันที่สองของการไปคลอด ในมือของแม่ยังคงว่างเปล่า ทั้งที่ทุกคนในห้องหลังคลอดต่างมีห่อของขวัญอยู่ในมือกันคนละห่อ พ่อของลูกเทียวไปมาระหว่างห้องหลังคลอด ซึ่งอยู่ชั้นบนของห้องรอคลอด กับห้องพักเด็กอ่อน ที่อยู่ไกลออกไปอีกหนึ่งช่วงตึก ที่นั่นมีห่อของขวัญของแม่นอนอยู่ในตู้อบเล็กๆ ขนาดเท่ากับตัวลูก
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก ในเช้าที่แม่ต้องเดินทางไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลในเมือง เป็นเช้าสุดท้ายที่แม่ได้นอนตื่นสายเช่นที่แม่เคยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากมีสาละวินแล้ว แม่ก็ไม่ได้ตื่นสายอีกเลย มันเป็นเช้าปกติที่แม่ตื่นขึ้นมาพบว่าอุ้มท้องลูกได้เก้าเดือนแล้ว และวันนี้หมอนัดให้แม่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล
เจนจิรา สุ
 สาละวิน,ลูกรัก  ลูกมักตื่นแต่เช้า เช้าที่เรียกว่าไก่โห่เลยที่เดียว  มีคนเคยพูดไว้ว่า มีเด็กทารก กับคนแก่ที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน คือตื่นเช้ามากๆ  แต่จุดประสงค์ของการตื่นเช้าของคนต่างวัยกลับต่างกัน เด็กทารกนั้น ตื่นเต้นกับโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และหลับมานานในท้องแม่จนกระตือรือร้นที่จะตื่นมาเรียนรู้โลกใบกว้าง  ในขณะที่คนแก่ซึ่งอยู่บนโลกมานานรู้ว่าจะเหลือเวลาอยู่ดูโลกนี้ได้อีกไม่นาน  จึงไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการนอน
เจนจิรา สุ
แม่มองย้อนกลับไปในวัยเด็ก อุปนิสัยก้าวร้าวรุนแรง ที่เคยแสดงออกทางกายภาพนั้นมันยังคงซ่อนอยู่ในจิตใจและแสดงออกมาในรูปแบบอื่นเมื่อเราโตขึ้น เช่น เมื่อก่อนที่แม่จะมีลูก แม่เป็นนักดื่มตัวยงคนหนึ่ง เมื่อเมาจนได้ที่ ความก้าวร้าวรุนแรงก็จะปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ จนบางครั้งเพื่อนฝูงต่างก็เอือมระอา 
คนที่ขาดพื้นฐานความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเช่นแม่นั้น ย่อมมีผลต่อพฤติกรรมจากเด็กจนถึงผู้ใหญ่และอาจติดตัวไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ หากแม่ไม่มองย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นและไล่เรียงสิ่งผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมา เพื่อเป็นอุทาหรณ์และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เพราะหากแม่มัวแต่โทษว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดต่างๆ…
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก ในวันที่แม่เริ่มจับปากกาเขียนถึงลูก สาละวินอายุได้หนึ่งเดือนกับสิบแปดวัน แม่นั่งอยู่ข้างๆ เบาะเล็กๆสีชมพู ซึ่งลูกอาจจะแปลกใจที่แม่เลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้เป็นสีชมพูนั้น แม่ยอมรับว่าในใจตอนแรกของแม่ก็หวังจะให้ลูกคนแรกเป็นผู้หญิง
เจนจิรา สุ
นักท่องเที่ยวต่างชาติยอมจ่ายค่าตั๋วอย่างต่ำหนึ่งร้อยถึงสองร้อยห้าสิบบาทเป็นค่าเข้าชม วิถีชีวิตที่จำลองขึ้นของชาวกระยันที่ถูกเรียกขานเสียใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวว่า "กะเหรี่ยงคอยาว" และนับเป็นความสำเร็จของกลุ่มนายทุนและการโปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทำให้คนทั่วประเทศหลั่งไหลเข้ามาชมกระเหรี่ยงคอยาว จนเป็นที่รับรู้กันว่าหากจะมาดูชนเผ่าที่มหัศจรรย์ที่สุดต้องมาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนแห่งนี้
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก ลูกลืมตาดูโลกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2550 ในตอนค่ำเวลา 19.21 น. ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำเดือน 4 ปีกุน แม่ให้ชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดว่า "สาละวิน" ชึ่งหมายถึงชื่อของแม่น้ำพรมแดนกั้นระหว่างไทยกับพม่า สาละวินของแม่ถือกำเนิดมาจากแม่ซึ่งเป็นคนไทยและพ่อที่อพยพมาจากพม่า ชื่อของลูกที่เปรียบเทียบได้กับแม่น้ำพรมแดนเชื่อมสายสัมพันธ์ให้เราสองคนอยู่เคียงข้างกันตลอดไปดังเช่นไทยและพม่า
เจนจิรา สุ
มะโนตัดสินใจอยู่นานกว่าสองวันหลังจากที่หญิงกระยันร่างกายผอมบางอายุ 52 ปี สะดุดล้มในห้องน้ำจนทำให้ให้เกิดอาการบวมที่ท้องด้านขวา เมื่อทนการรบเร้าจากคนรอบข้างไม่ไหวให้ไปหาหมอ เธอจึงเปิดหีบใบใหญ่ที่ใส่ข้าวของเงินทองที่มีอยู่รวมไปถึงเอกสารประจำตัวต่างๆ เพื่อค้นใบเล็กๆ สีเขียว มันเป็นบัตรเข้ารับการบริการที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ
เจนจิรา สุ
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นอีกจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินึกถึงเมื่อเดินทางมาเยือนภาคเหนือของไทยแม้หนทางที่มุ่งสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจากจังหวัดเชียงใหม่   จะคดโค้งลาดชันน่าหวาดเสียวจนขึ้นชื่อว่า   หากใครเดินทางมาถึงแม่ฮ่องสอนจะเป็นดั่งผู้พิชิตจำนวนโค้งมากที่สุดถึง 1,864 โค้งเลยทีเดียว