นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้
การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
สัตว์ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ เช่น
งูเขียว มีสีเขียวเหมือนใบไม้ที่เมื่อมองเผินๆ ก็อาจจะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นใบไม้ อะไรเป็นงู งูเขียวเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า คือล่าพวกจิ้งจก กิ้งก่า นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ขณะเดียวกันก็เป็นเหยื่อของนกบางชนิด และงูใหญ่อย่างงูจงอาง
งูเขียวมีความหลากหลายทางสีสันมาก สามารถเปลี่ยนตัวเองให้มีสีสันพิศดารพันลึก ทั้งสีเขียว สีส้ม สีเหลือง สีน้ำตาล สีเทา สีฟ้า หรือ สีเหล่านี้ผสมกัน ซึ่งการเปลี่ยนสีนี้ทำให้ชาวบ้านโดยทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง แต่หาใช่เป็นความจริงไม่
กิ้งก่า หนึ่งในความเข้าใจผิดเรื่องการเปลี่ยนสีเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานอย่างกิ้งก่าก็คือ มันเปลี่ยนสีตัวมันเพื่อพรางตัว ความจริงแล้ว กิ้งก่าส่วนใหญ่จะเปลี่ยนสีตัวมันเพื่อปรับอุณหภูมิและสื่อสารกัน กิ้งก่าตัวผู้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อตกใจ การเปลี่ยนแปลงสีจะช่วยสื่อสารให้กิ้งก่าตัวอื่นรู้ว่ากิ้งก่าตัวนี้สุขภาพดี และพร้อมจะต่อสู้เพื่อป้องกันอาณาเขตหรือกำลังต้องการผสมพันธุ์กับตัวเมีย
จิ้งจก เป็นสัตว์ประจำบ้านที่รู้จักกันดี มีลิ้นสั้นแต่ยืดออกได้ ผิวหนังค่อนข้างละเอียด ตัวมักมีสีขาวและคล้ำ สามารถปรับตัวให้กลมกลืนกลับสภาพแวดล้อม ตีนเหนียวช่วยให้ไต่เพดานหรือข้างฝาได้ คนโบราณมักเอาสัตว์ใกล้ตัวอย่างจิ้งจกมาเป็นภาษิตเปรียบเปรยว่า “จิ้งจกเปลี่ยนสี” ในความหมายของการเอาตัวรอดไว้ก่อนโดยไม่สนใจคนอื่น
จะว่าไปแล้ว คนซึ่งก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ก็สามารถเปลี่ยนสีได้เช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ สิ่งที่แสดงให้เห็นคือ “สีหน้า” สีหน้าของคนแปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า บางคนพออายแล้วหน้าแดง บางคนโกรธจนหน้าดำ บางคนเจ็บจนหน้าเขียว บางคนตกใจจนหน้าซีด บางคนอ่อนเพลียจึงหน้าเหลือง แต่ก็มีมากเหมือนกันที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะกำลังพูดโกหกหรือกำลังโกรธหรือกำลังพูดเรื่องคุณธรรมตามความหมายในพจนานุกรม คนประเภทนี้เรียกว่าหน้าด้าน
สีของลัทธิพันธมิตรคือสีอะไรนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ชัดก็คือลัทธิพันธมิตรเปิดตัวด้วยการใช้ “สีเหลือง” และใช้มาอย่างเหนียวแน่น ใครๆ ก็รู้ว่าเจตนาใช้ “สีเหลือง” ของลัทธิพันธมิตรคืออะไร
อุปมาเหมือนกับงูเขียวที่มีพิษอ่อนมาก แต่พยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นสีส้มเพื่อให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง นี่เป็นกลลวงของงูในการสร้างความเข้าใจผิดให้กับศัตรูคือให้ดูเหมือนว่ามีอำนาจมากเกินจริง
สีเหลืองเป็นสีหลักที่ลัทธิพันธมิตรเลือกใช้จนถึงปัจจุบัน เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้สีนี้ แต่ความเสี่ยงและความล่อแหลมหมิ่นเหม่ก็มีอยู่มาก และความเข้าใจผิดก็อาจเกิดขึ้นได้อันจะเป็นผลเสียแก่พันธมิตรเอง
แต่ลัทธินอกรีตอย่าง “สันติอโศก” นั้นไม่สามารถใช้สีเหลืองอันเป็นสีของจีวรพระภิกษุได้ทั้งนี้เพราะ “สันติอโศก” ไม่ใช่วัดหรือสำนักสงฆ์ ผู้คนที่สังกัดนิกายนี้ก็ไม่ใช่พระ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใส่ใจกับศีลสองร้อยกว่าข้อกระทั่งไม่ใส่ใจศีลห้า การพูดโกหก มอมเมา ปลุกปั่นให้งมงายจึงเป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร
นอกจาก “สีเหลือง” อันเป็นสีของวันจันทร์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังอวดอ้างใช้ “สีฟ้า” อีกด้วย เจตนาในการใช้สีฟ้าของลัทธิพันธมิตรก็คล้ายกับเปลี่ยนสีของกิ้งก่าคือ “เพื่อการสื่อสารแอบอ้าง” ให้ใครต่อใครรับรู้ถึงพละกำลังของตนเอง
สีที่ลัทธิพันธมิตรไม่ชอบก็คือสีแดง เพราะว่าสีแดงอันเจิดจ้านั้นเป็นสีของฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้เช่นกันที่ลัทธิพันธมิตรจะสร้างเฉดสีของตนเองให้ละม้ายกับสีแดงทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการชุมนุมของลัทธิพันธมิตรก็คือผู้คนเริ่มบางตา ก็แล้วจะมีใครสักกี่คนที่อดทนอยู่เป็นแรมเดือนในคุกที่เรียกว่าทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่แกนนำของลัทธิหลับนอนอย่างปกติสุข
ข้อเสนอและข้อเรียกร้องแต่ละเรื่องของลัทธิพันธมิตรนั้นใช้ไม่ได้ และรังแต่จะนำไปสู่ความเกลียดชังและสงคราม ส่วนข้อเสนอเรื่องการเมืองใหม่ก็ไม่แน่ชัด ไร้น้ำหนัก ไม่มีใครอยากฟัง
จากที่เคยผูกขาดความถูกต้องไว้ที่ลัทธิของตนเอง พันธมิตรได้เชิญชวนใครต่อใครให้มามีส่วนร่วมเกี่ยวกับการเมืองใหม่เพราะตระหนักแล้วว่าทางลัทธิไม่มีปัญญาจะคิดอะไรใหม่ ๆ และใหญ่ ๆ ได้
ลัทธิพันธมิตรกำลังเพิ่มเฉดสีให้กับตัวเองด้วยการเสนอการเมืองใหม่ และเรียกร้องให้ใครต่อใครมาช่วยคิด แต่หารู้ไม่ว่าผู้คนเขารู้ทันกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าเฉดสีเรื่องการเมืองใหม่คือความพยายามพรางตัวเพื่อเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนไปเท่านั้น.