คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์สู้รบ การประกาศมอบตัวอุปมาเหมือนแม่ทัพที่ทิ้งทัพกลางศึกด้วยเหตุที่ว่ากลัวไพร่พลและทหารแดงที่เข้าร่วมสงครามจะบาดเจ็บล้มตาย!
-------------
คืนวันที่ 13 เมษายน เพื่อนบางคนโทรศัพท์มาชวนไปกินเหล้า ผมกลับปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลจนถึงตี 4 ครึ่ง ท่ามกลางข่าวลือหนาหูว่าจะมีการสลายการชุมนุมตอนประมาณตี 4 ผมจึงรอคอยด้วยต้องการเห็นกับตาว่าไอ้ที่เรียกว่าการสลายการชุมนุม หรือไอ้ที่เรียกว่าความรุนแรงนั้นเป็นอย่างไร
บรรยากาศในที่ชุมนุมไม่สู้ดีนัก เพราะมีข่าวแว่วออกมาว่าคนเสื้อเหลืองคอยซุ่มดักยิงคนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน ข่าวนี้ได้รับการยืนยันด้วยอาการบาดเจ็บของคนเสื้อแดงคนหนึ่งที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล
เสียงปืนดังอยู่ทางวัดโสมนัสหลายครั้ง หลายคนออกอาการวิตก ข่าวลือเรื่องการดักยิงลอยมาอีกครั้ง
ก่อนเที่ยงคืน คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ออกมาพูดอะไรบนเวที ฟังดูแล้วเหมือนยอมจำนน ประมาณว่า "ผมไม่ต้องการเป็นฮีโร่" และ "จะขอรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น" ท่าทีของแกนนำบนเวทีบอกอยู่กลาย ๆ แล้วว่าคงจะยอม
ถนนทางด้านที่จะออกไปสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีเสียงประกาศเป็นภาษาอีสานลอยมาเป็นระยะ ๆ ว่าให้คนที่ต้องการกลับบ้านเดินออกมา จะพาไปส่งที่บ้านต่างจังหวัด
ประมาณตีหนึ่ง ทหารเคลื่อนพลมาทางสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ตั้งแถวสองแถว แถวหลังอาวุธครบมือ หน่วยการ์ดของกองทัพแดงจึงตั้งแถวประจัน ความตึงเครียดเกินขึ้นไปทั่ว เพื่อนผมที่ไปด้วยกันเริ่มออกอาการหวาดหวั่น และร้องอยากกลับบ้าน บอกว่ามีอะไรในชีวิตต้องทำอีกเยอะ มีเรื่องที่ต้องกังวลหลายเรื่อง ผมพยายามรั้งเพื่อนไว้บอกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก ควรจะอยู่ให้กำลังใจกัน แต่เพื่อนก็เลือกที่จะกลับไปให้กำลังใจอยู่ที่บ้าน
เวลาต่อมาทหารนายหนึ่งเดินมาบอกว่าไม่ได้มาเพื่อสลายการชุมนุม หากแต่ต้องการเคลียร์ถนนที่มีรถเมล์ขวางอยู่ พอเคลียร์เสร็จแล้วทหารก็กลับหายไป เมื่อทหารจากไปความตึงเครียดก็ค่อยผ่อนคลายลง
ผมเดิน ๆ นั่ง ๆ ง่วงนอนอย่างมาก ร่ำ ๆ จะกลับบ้านหลายครั้ง แต่ก็ฝืนไว้กระทั่งถึงตี 4 ส่วนบนเวทีก็ดำเนินกิจกรรมตามปกติ มีการร้องเพลง พูดปราศรัย แต่การปลุกปลอบใจให้สู้นั้นไม่มีแล้ว
ไม่ว่าจะมีการสลายหรือไม่ ผมก็คิดในใจว่า "พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ"
ผมมองดูนาฬิกาบ่อยครั้ง จนกระทั่งถึงตี 4 ผมรอต่อไปอีกเล็กน้อย จนถึงตี 4 ครึ่ง ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการสลายการชุมนุมจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน
ผมโชคร้ายพอสมควรที่มอเตอร์ไซค์ไปชนเข้ากับกองของยางรถยนต์ที่กองทัพแดงเผาทิ้งไว้ ผมล้มลงไปกองกับยางรถยนต์ จึงหวนกลับไปปฐมพยาบาลที่หน่วย FARED พอถึงบ้านหลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกทีเปิดโทรทัศน์ไปที่ช่อง เนชั่น พบว่าคุณวีระ มุสิกะพงศ์ ตัดสินใจมอบตัวแล้ว
------------------
ผมผิดหวังและเสียใจกับการยอมจำนนของคุณวีระ ผมไม่เชื่อว่าเป็นเพราะทักษิณหยุดให้เงินหรือเป็นเพราะมีการต่อรองตกลงอะไรบางอย่างกันแล้ว ผมไม่เชื่อเช่นนั้นเลย ผมคิดว่าวีระใจเสาะ ใจปลาซิว ! อยากเป็นฮีโร่ก่อนเวลาอันควร!
มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ถ้าวีระใจเสาะขนาดนี้แล้วจะเรียกร้องให้คนมาชุมนุมเป็นเรือนแสนทำไม? คนเรือนแสนไม่ได้มาเพื่ออยู่เฉย ๆ หรือนั่งฟังโฟนอินของทักษิณหรือฟังบทสนทนาจี๋จ๋าของวีระ กับทักษิณ ไม่ใช่เลย เขามาเพื่อต้องการแสดงพลัง ต้องการแสดงออก
ผมเห็นด้วยกับการปิดอนุสาวรีย์ชัย เห็นด้วยกับการขัดขวางการประชุมที่พัทยา เห็นด้วยกับปฏิบัติการที่กระทรวงมหาดไทย ไม่เห็นด้วยนิดเดียวตรงที่การ์ดของกองทัพแดงไปตั้งด่านอยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดงเพราะไกลฐานที่มั่นมากเกินไปและเป็นเหตุให้เกิดการสังหารโหดโดยไม่เห็นศพในเวลาต่อมา(คืนนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์เวียนไปที่สามเหลี่ยมดินแดงด้วยแต่กลับออกมาก่อน)
ประชาธิปไตยไม่มีทางที่จะได้มาด้วยการนั่งฟังแกนนำสั่งสอน หรือพร่ำพูดโจมตีรัฐบาลประชาธิปัตย์และพันธมิตร แต่ประชาธิปไตยต้องเกิดจากการต่อสู้ และการสูญเสียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสังคมที่ไม่มีหลักการให้ยึด สันติวิธีเป็นเรื่องเพ้อเจ้อของคนชั้นกลางที่กลัวการตายโหงหรือกลัวการนองเลือด ผมขอให้ลองสังเกตดูว่าคนที่ชอบพูดเรื่องสันติวิธีนั้นเป็นชนชั้นกลางที่มีความมั่นคงในชีวิต มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายแล้วทั้งนั้น!
มีด้วยเหรอประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไป ? ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไปคือการถูกข่มขืนแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีกำหนดสิ้นสุด ?
คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำกองทัพแดงในสถานการณ์สู้รบ หากแต่เหมาะที่จะจัดรายการโทรทัศน์อยู่ในห้องส่ง หรือเล่นลิเกโฟนอินกับทักษิณ หากรู้ว่าแม่ทัพใจเสาะ ผมจะไม่ยอมเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเลย ให้ตาย!