สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่กับความโง่ มีความโง่เป็นเจ้าเรือน นับวันความโง่ยิ่งแผ่ขยายแพร่กระจายไปราวเชื้อโรค
หลายคนโง่โดยสุจริต คนเหล่านี้น่าเห็นใจ ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้ อคติ ความเกลียดชังทำให้ประสิทธิภาพในการคิดเสื่อมถอย สติปัญญาถูกบิดเบือนไป คนประเภทนี้โง่เพราะถูกอคติทำลายจนมืดบอด
\\/--break--\>
ผมขอยกตัวอย่างใกล้ตัว เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเกลียดชังอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไส้ เรียกได้ว่าเข้ากระดูกดำ เพื่อนคนนี้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรพันธมาร ฯบ่อยครั้ง พอเธอเล่าให้ฟัง แรก ๆ ผมก็รับฟังอย่างอดทน ยังสงวนท่าทีของตนเอง สงบปากสงบคำไม่วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรให้เพื่อนฟัง
เพื่อนไปไกลถึงขนาดที่บอกว่า “หากแม่ (ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด) สนับสนุนอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เธอจะไม่ยอมกลับบ้านเด็ดขาด” ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ งมงายอย่างขาดสติ ไม่รู้ผิดรู้ถูก
อย่างไรก็ตาม ผมพยายามไม่ใส่ใจ ถือเป็นรสนิยมทางการเมืองของแต่ละคน ดังนั้น เราจึงติดต่อพูดคุยกันเรื่อยมา หลีกเลี่ยงการพูดเรื่องการเมือง (อาจเฉี่ยว ๆ ไปบ้างเพราะเธอเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศการชุมนุมของเสื้อเหลือง) ทัศนคติของเพื่อนในเรื่องอื่น ๆ ถือว่าดีทีเดียว นิสัยใจคอก็ดีกว่าผมมาก
กระทั่ง ผมไม่รู้จะเรียกว่าเป็นจุดแตกหักได้หรือเปล่า ความอัดอั้นเก็บกด(ทางการเมือง) ของผมถึงคราวระเบิดตอนที่ผมป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 นอนซมเป็นสัปดาห์ ผมดูแลรักษาตนเองดี แข็งแรงตามวัย ผมคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังติดเชื้อโรค ผม(พาล)โทษรัฐบาลประชาธิปัตย์ว่าเป็นต้นเหตุ ขาดการควบคุมป้องกันที่ดี ปล่อยให้เชื้อโรคแพร่กระจาย
ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่าผมคิดอย่างไรกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ คิดอย่างไรกับพันธมิตร และว่าสนธิ ลิ้มทองกุล นั้นสามานย์มากเสียจนไม่รู้จะเอาอะไรเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม ผมไม่ได้มุ่งไปที่สนธิ ลิ้ม คนเดียว แต่รวมถึงบุคคลอื่นที่พันธมิตรอ้างว่าเทอดทูนด้วย แน่นอนเพื่อนทนไม่ได้ แล้วก็เงียบหายไปจนถึงทุกวันนี้
คนโง่เพราะอคตินั้นยังพอให้อภัยได้ แต่คนประเภทที่หากินกับความโง่ของคนอื่นนั้นให้อภัยได้ยาก (ลองนึกถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, หมอประเวศ วะสี, นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ฯลฯ) คนประเภทนี้ใช้ความโง่หรือความไม่รู้ของคนอื่นให้เป็นประโยชน์ เช่นที่นักการเมืองภาคใต้พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์จากความไม่รู้ของคนใต้
มีคนอีกประเภทหนึ่ง ที่อาจจะไม่โง่ แต่ยอมรับความโง่อย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ความโง่เพ่นพ่านในบ้านในเมือง ในที่ต่าง ๆ โดยไม่ได้ต่อต้าน คือยอมอยู่กับความโง่ดีกว่าไปทำอะไรให้เปลืองตัว คนพวกนี้บางคนหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะดีขึ้นเอง! การยอมรับคำตัดสิน คำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยโง่ ๆ ของหน่วยงานทางด้านยุติธรรมคือตัวอย่างของการอยู่กับความโง่
คำวินิจฉัยของ "ป.ป.ช." คดีสลายชุมนุม 7 ตุลา มีความน่าสนใจและอาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่วินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผบตร. มีความผิดในการสลายฝูงชนที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มก่อการร้าย มีระเบิด มีอาวุธ มีความบ้าคลั่ง
ในกรณีของอดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปปช. วินัจฉัยว่า “เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เหตุการณ์ในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมจนขาขาด ดังนั้นนายกฯจึงควรยับยั้งไม่ให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เช่นนั้นอีก แต่นายสมชายก็หาได้สั่งการไม่ กลับปล่อยให้เจ้าหน้าที่กระทำซ้ำอีกในช่วงบ่ายและค่ำ”
กรณีของผบตร. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ทางปปช. ได้วินิจฉัยว่า “คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาจากการโยนและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมจนทำให้มีความเสียหายในตอนเช้า และกระทำซ้ำในตอนบ่าย พล.ต.อ.พัชรวาทมีอำนาจบังคับบัญชาใน ตร.และแต่งตั้งให้ พล.ต.ท.สุชาติเป็นผู้บังคับบัญชาเหตุการณ์ แม้แผนกรกฎ 48 พล.ต.อ.พัชรวาทจะมิได้ลงนามแต่ก็จัดทำในนาม ผบ.ตร. ฉะนั้นเมื่อทราบว่าในการผลักดันผู้ชุมนุมมีเหตุรุนแรง ผบ.ตร.ย่อมมีอำนาจสั่งการให้หยุดยั้งการกระทำที่เป็นอันตรายต่อประชาชนได้ การกล่าวอ้างว่าไม่เคยได้รับรายงานหรือขออนุมัติในการใช้กำลังสลายการชุมนุม ไม่มีเหตุผลให้พ้นความผิดได้ เพราะ ผบ.ตร.เป็นผู้ได้รับมอบหมายนโยบายให้เปิดเส้นทางการเข้ารัฐสภาจากนายกฯและรองนายกฯโดยตรง จึงเป็นหน้าที่ต้องติดตามการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติงานในนาม ตร.แต่ พล.ต.อ.พัชรวาทกลับเพิกเฉย ไม่สั่งการให้หยุดยั้งการกระทำ หรือยอมกระทำที่เป็นการเสี่ยงให้ประชาชนได้รับอันตรายเพื่อสนองนโยบายของฝ่ายการเมือง การอ้างว่าไม่สามารถขัดขืนได้นั้น เป็นการไม่รับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก แม้ พล.ต.อ.พัชรวาทจะพยายามขอให้เปลี่ยนสถานที่หรือเลื่อนการประชุม แต่ก็ไม่สามารถหักล้างผลการกระทำที่ตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาได้กระทำลงไปไม่ได้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงเห็นด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ว่า พล.ต.อ.พัชรวาทได้กระทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 79 (5) (6) และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (มติชนรายวัน, 8 กันยายน พ.ศ. 2552, ปีที่ 32 ฉ. 11504)
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0102080952§ionid=0101&selday=2009-09-08
คำวินิจฉัยของปปช. เป็นอย่างนี้ได้เพราะสังคมยอมให้มันเป็นไปได้ บ่งบอกให้รู้ถึงความอ่อนด้อยวุฒิภาวะ บ่งบอกให้รู้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ด้อยพัฒนาอยู่มาก (จงจำไว้เสมอว่าสังคมนี้เป็นสังคมด้อยพัฒนา) เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกให้รู้ว่า “สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่อยู่กับความโง่อย่างแท้จริง”