-1-
การได้รับรู้ข้อมูลจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดจนเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการตำรวจ-ยาบ้าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม ไม่คิดฝันว่าชีวิตที่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือและการคิดประเด็นทางนามธรรมอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะได้พบพานประสบการณ์ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่มองเรื่องยาเสพติดด้วยสายตาวิตกกังวล แลเห็นมันเป็นปิศาจที่นำความเลวร้ายเดือดร้อนมาสู่ชีวิต เป็นเหมือนมะเร็งที่คอยบั่นทอนสภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ตกเป็นเหยื่อ (มันชวนให้นึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณเสียจริง ๆ!)
ต่างไปจากเมื่อก่อนที่มองเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าโลกของการเสพยาเสพติดคือการปลดปล่อยตนเองจากกฏระเบียบน่ารำคาญของสังคมที่เข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว
ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่จะเสพยาเสพติด (ชนิดใดก็แล้วแต่) หรือแสวงหาประสบการณ์สุดขั้วอันเป็นความสุขหรือความทุกข์ส่วนตนที่สังคมไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว
ก่อนหน้านี้ ผมมองว่าการเสพยาเสพติดเป็นวิธีการในการตอบโต้กับค่านิยมกระแสหลัก เป็นการกบฎเล็ก ๆ ต่อระเบียบข้อบังคับของสังคมที่ปัจเจกชนและเสรีชนกลืนไม่ลง คือการหาความสุขที่หาไม่ได้จากสังคมที่รกรุงรังด้วย “ศีลธรรม”
ทัศนะแบบนี้จางคลายกระทั่งแปรเปลี่ยนไปเมื่อวัยเพิ่มขึ้น หรือเมื่อต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนอื่น ผมย้อนกลับไปมองตนเองผ่านการเปลี่ยนแปลงความคิดแล้วก็เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตบางประการ...
-2-
ไม่กี่วันก่อน ผมได้รับฟัง “เรื่องสั้น” เกี่ยวกับตำรวจและยาบ้าอีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความไร้เกียรติของวงการตำรวจสมกับคำร่ำลือ พฤติกรรมของตำรวจที่ชอบหากินกับซากฟอนเฟะของสังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมทราม ตกต่ำ ขาดความน่านับถือในวิชาชีพตำรวจจนยากจะกู้คืน
(หลายคนจึงบอกว่ามีลูกมีหลานอย่าให้เป็นตำรวจ หรือบางคนอยากเป็นตำรวจเพราะสามารถใช้อำนาจหาเงินพิเศษนอกเหนือไปจากเงินเดือนได้ง่าย แต่ไม่มีใครอยากเป็นตำรวจเพราะเห็นว่าอาชีพนี้ทำประโยชน์ให้กับสังคม)
ญาติของเด็กคนหนึ่งเล่าว่าประมาณเที่ยงคืนของคืนหนึ่ง ตำรวจหลายนายเข้ามาถามหาเด็กที่ขายยาบ้าจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งซอย
“ไม่ทราบ” ญาติของเด็กคนนั้นตอบเมื่อตำรวจถามว่าเด็กอยู่ไหน
ญาติโทรศัพท์ไปบอกเด็กที่รวมกลุ่มกันอยู่หลังบ้าน บอกว่าตำรวจมา ให้อยู่กันเงียบ ๆ อย่าออกมา
หลังจากสำรวจอย่างหยาบ ๆ ถามใครหลายคนและไม่เห็นวี่แววของเด็กคนที่ต้องการแล้ว ตำรวจจึงหันหลังกลับ แต่บางครั้ง คนเราเมื่อถึงคราวซวย โชคชะตาก็จะดลบันดาลให้พบกับความซวยเข้าจนได้
จังหวะนั้นเอง เด็กคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังบ้านที่ซุกซ่อนตัวกันอยู่เพื่อมาดูว่าตำรวจกลับกันหรือยัง
ตำรวจเห็นพอดีตอนที่เด็กเดินกลับไปที่ซ่องสุมกันอยู่หลังบ้านแล้วก็วิ่งตามเข้าไป ญาติพยายามโทรศัพท์บอกให้เด็กวิ่งหนี แต่ไม่ทันแล้ว ตำรวจกรูกันเข้าไปจับเด็กไว้ได้ทั้งหมด 5 คน หลายคนมียาบ้าอยู่ในตัว
เด็กคนหนึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกว่า “อะไรอะพี่ ผมไม่รู้เรื่อง พี่คุยกับแม่ผมป่าว”
ตำรวจตบหน้าเด็กคนนั้นทันทีที่พูดจบ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เด็กคนนั้นเงียบ อึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะได้รับตอบโต้แบบนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้ เพื่อนรุ่นเดียวกันไม่มีใครกล้าเล่นกับเขา แม้กระทั่งเด็กรุ่นพี่ก็ยังไม่กล้า
อีกคนหนึ่งหน้าเสีย ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ เขาไม่คิดว่าความคึกคะนองไปตามประสาจะได้รับผลที่น่ากลัวแบบนี้ ตำรวจน่ากลัวกว่าที่เขาคิดมากนัก ดูเหมือนเป็นปิศาจในเครื่องแบบสีกากีที่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง
ส่วนตัวหัวหน้าแก๊ง คนที่ตำรวจตามล่าตัวอยู่ในอาการสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยาบ้า เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อตำรวจถาม อย่างไรก็ตาม เมื่อโดนตบไปฉาด สองฉาด สติสัมปชัญญะก็ดูเหมือนจะกลับคืนมา
ตำรวจค้นตัวเขาพบยาบ้า 60 เม็ดและเงินพันกว่าบาท ตำรวจบอกเขาว่าจะลงบันทึกว่าพบยาบ้าเพียง 30 เม็ดและไม่พบเงิน เขาจะยอมรับไหม?
แน่นอนเด็กคนนั้นยอมรับเพราะคิดว่า 30 เม็ดโทษก็คงจะน้อยกว่า 60 เม็ด
สรุปแล้วตำรวจเอายาบ้าเป็นของตัวเอง 30 เม็ดและริบเงินเด็กเข้ากระเป๋าตัวเองอีกพันกว่าบาท! ช่างเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนาอาชีพตำรวจที่รายได้ไม่พอกินจนต้องหาลำไพ่พิเศษด้วยการริบเงินบาปของเด็กมาเป็นของตัวเอง
จากพฤติกรรมของตำรวจ ทำให้ผมได้ข้อคิดว่าการจะกำจัดยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทยจำต้องปฏิรูประบบการทำงานของตำรวจด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยัดยาบ้า กระบวนการสืบสวนสอบสวนหรือตลอดจนการทำตัวเป็นโจรหรือเป็นผู้จำหน่ายเสียเองฯลฯ เพราะตำรวจเป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ทำให้ยาเสพติดไหลเวียนอยู่ในสังคม .