ตัวอย่างเช่น "ไอ้ลองมันขี้กะโหล่ย หน้าพระใจมาร กูไม่อยากสุงสิงกับมันหรอก" หรือ "ไอ้ลิ้มขี้กะโหล่ยโดนตำรวจจับไปเมื่อวานฐานปากดี" หรือ "ม็อบพันธมารขี้กะโหล่ย หลอกขายเสื้อยามเผาแผ่นดิน" ฯลฯ
นักข่าวจากสำนักทีเอ็นที ได้ทดลองนำคำนี้ใช้กับการรายงานข่าวสถานการณ์การเมืองด้วยการนำไปเรียกม็อบชนิดหนึ่งที่เรียกร้องให้ทำลายทิปไตยซึ่งจะขอเรียกว่า "ม็อบขี้กะโหล่ย"
รายงานข่าวเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระเส่าขณะเฝ้าสังเกตการณ์ว่าเวลาบ่ายอ่อน ๆ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้ใช้ลีลาเดิม ๆ แบบที่เคยเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ปลุกระดมมวลชน หวังให้เกิดความวุ่นวายเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือให้ทะหานเข้ายึดอำนาจล้างกระดานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความใส่ใจมากนักเพราะใคร ๆ พากันเบื่อหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศใน "ม็อบขี้กะโหล่ย" สุดคึกคักเพราะสินค้าที่นำมาหลอกขาย เกิดขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้งเกินเป้าที่ตั้งไว้แม้ว่าราคาค่อนข้างแพงก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยามเผาแผ่นดิน ผ้าพันคอกู้แบ๊งค์ และเสื้อยืดที่สกรีนว่า "หยุดทอราษฎร์ล้มรัดทำมะนวย"
"ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้นำรถหกล้อมาดัดแปลงเป็นเวทีเคลื่อนที่ ติดป้ายความว่า "รักชาด ไม่แก้รัดทำมะนวย" และ "รัดโจร แก้ผ้า เพื่อโจร"
มีการโฆษณาว่าการจัดงานชุมนุมปราศรัยครั้งนี้มีเหล่าพันธมารจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมากท่ามกลางการดูแลอย่างอึดอัดของตำรวจนับพันนาย มีการถ่ายเอกสารบัตรจำตัวชาชน เพื่อเข้าชื่อถอดถอน ศ. จากรั้วมหาลัย หลายรายด้วยกัน เช่น สุรพน สมบัด ชัยนันท์
จุดไคลแมกซ์ของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" อยู่ที่การนำภาพถ่ายของ "ตากษิณ" เทวดาอารักขาประจำม็อบ มาทำพิธีบูชาด้วยความศักดิ์สิทธิ์ บางคนถึงกับร่ำไห้เพราะความปลาบปลื้ม ขณะที่บางคนเกิดองค์ลงร่ายรำสำแดงเดช เป็นอภินิหารให้ได้เห็นทั่วกัน
จากนั้นเวทีปราศรัยหาเสียงของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ได้เปิดฉากขึ้นอย่างอลังการ โดยมีแนวร่วม ตัวเอ้ อาทิ นายไชวัด สิ้นสุดวง นายสำราน รอดเคล็ด ขึ้นเวทีกล่าวโจมตีรัดบานอย่างดุเดือด
แหล่งข่าวเล่าต่อไปด้วยความตกอกตกใจว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดการปะทะกันถึงขั้นเลือดตกยางออก สาเหตุเนื่องมาจากการยั่วยุของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหตุเพราะทะลึ่งเอาผ้าพันคอที่เขียนว่า "กู้แบ๊งค์" มาพันที่เท้าแล้วยกชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายตรงข้ามเกิดโมโหสุดขีดเพราะนอกจากแกนนำ "ม็อบขี้กะโหล่ย" บางรายเบี้ยวแบ๊งค์หลายพันล้านบาทแล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่สำนึกผิด ออกกริยาที่แสดงถึงการไม่มีสมบัติผู้ดี ในที่สุดจึงเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่าฝ่ายตรงข้ามกับ "ม็อบขี้กะโหล่ย" บาดเจ็บหลายรายเพราะไม่ถนัดการต่อยตี อีกทั้ง "ม็อบขี้กะโหล่ย" มีพร้อมทั้งอาวุธและหน่วยกุ๊ยกล้าตาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนโผล่เข้ามาตอนท้ายแบบเดียวกับในหนัง พยายามเข้าระงับเหตุการณ์การปะทะ ท่ามกลางเสียงด่าทออย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายที่ปล่อยให้หลงต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บ
หลังเหตุการณ์ผ่านไป นักวิเคราะห์บางรายให้ทัศนะผ่านแก้วกาแฟว่า การปะทะกันของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" กับฝ่ายตรงข้ามที่หนับหนุนการแก้ไขรัดทำมะนวยนั้นน่าจะเป็นการจัดฉากของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" เองเพื่อป้ายสีให้คนอื่นซึ่งเป็นวิธีการที่ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา
"เป็นวิธีการเหมือนหนังไทยสมัยโบราณ ที่มีคนคลุมหน้าแล้วประกาศว่าเป็นเสือนั่นเสือนี่เพื่อจะป้ายสีคนอื่น"
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" ในช่วงเย็น คึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนที่กินหญ้าแทนข้าวทยอยเข้าสมทบเต็มพื้นที่ถนน โดยมีการตั้งจอโปรเจกเตอร์ถ่ายทอดสัญญาณให้สมาชิกได้รับฟังการปราศรัยแสนเผ็ดร้อน
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า "ม็อบขี้กะโหล่ย" กับ ฝ่ายตรงข้ามอยู่คนละฝั่งถนน ตะโกนด่าทอกันไปมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกันอีก จึงได้เสริมเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจร พร้อมกับนำแผงเหล็กมากั้นไม่ให้ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน
อย่างไรก็ตาม ได้มีชายสูงอายุคนหนึ่ง ไม่ทราบชื่อ ซึ่งเป็นลูกค้าของร้านอาหารข้างถนนได้ออกมาต่อว่า "ม็อบขี้กะโหล่ย" ที่รบกวนการกินของเขา ทำให้แนวร่วมของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" หลายคนไม่พอใจ พยายามฮือเข้าทำร้าย แต่ชายคนดังกล่าวหลบกลับเข้าไปในร้านได้อย่างหวุดหวิด
ต่อมา แกนนำรายหนึ่งของ "ม็อบขี้กะโหล่ย" เผยความในใจแท้จริงว่าเหตุที่มาชุมนุมครั้งนี้เพราะรัดบานขายชาติได้เงินเป็นจำนวนมากแต่ไม่ยอมมาแบ่งกัน จึงขอเรียกร้องให้นำเงินจากการขายชาติมาแบ่งกันโดยด่วน และว่าจะบุกเข้าไปในทำเนียบเพื่อยื่นหนังสือสัญญาซื้อขายให้เห็นเป็นหลักฐาน
แหล่งข่าวให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนว่า การชุมนุมจะยังคงดำเนินต่อไป และอาจยาวยืดเยื้อไปจนถึงเช้า .............. (ประชาไทขอตัดข้อความบางส่วนออก)