ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะนึกถึงก่อนเสมอก็คือ หนังที่ว่ากันโหดโดยไร้เลือด ความน่าขยะแขยง หนังเชือดที่ไม่มีการฆ่าโหดโชว์ให้เห็นเลยสักครั้ง แต่สามารถพาคนดูประสาทแดกได้ยิ่งกว่าหนังเชือดเรื่องใด
ครับ มันคือ Funny Game หนังในตำนานของฮานาเก้ที่หลายคนอยากจะลองมาสัมผัสดูสักครั้งนั้นเอง
เรื่องราวของ Funny Game เริ่มต้นขึ้นในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่ง ภาพถ่ายจากมุมสูงให้เราเห็นรถที่กำลังเคลื่อนผ่านไปตามถนนก่อนจะตัดฉับลงมาเป็นครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่กำลังนั่งฟังเพลงคลาสสิคกันในรถ พูดคุยกันเรื่องสนุกสนานที่จะทำในวันหยุด ทว่าพอพวกเขาเปลี่ยนเพลงที่น่าจะเป็นเพลงคลาสสิคปรากฏว่ามันกลับกลายเป็นเพลงเมทัลร็อคอันแสบแก้วหูแทน ทว่าสิ่งที่เราเห็นขัดแย้งคือครอบครัวนี้ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเราเลย
นั้นคือสัญญาณเริ่มต้นที่บอกว่า ครอบครัวนี้จะเจอกับอันตรายแน่นอน
ที่บ้านพักตากอากาศข้างทะเลสาบนั้นเอง ขณะที่ครอบครัวนี้กำลังทำกับข้าวอยู่ จู่ๆก็มีชายร่างอ้วนแปลกหน้านามว่า ปีเตอร์เข้ามาในบ้านเพื่อขอไข่ที่ทำอาหาร คุณแม่ของบ้านนี้ก็เลยให้ไข่เขาไป ทว่าปีเตอร์ทำไข่แตกและขอไข่ใหม่ไปอีก จนคุณแม่รู้สึกว่า ตัวเองกำลังโดนคุกคามเลยมีมารยาทไม่ดีใส่ชายร่างอ้วน และนั้นทำให้เพื่อนของปีเตอร์นั้นก็คือ พอลเข้ามาในบ้านด้วย เพื่อขอให้คุณแม่ของครอบครัวนี้ขอโทษปีเตอร์ที่ทำมารยาทไม่ได้ใส่ แน่นอนว่าคนพ่อได้วิ่งเข้ามาดูเกิดอะไรขึ้นก่อนจะถูกพอลตีด้วยไม้ Golf จนขาหักและแล้วพวกเขาก็แสดงเจตจำนงของตัวเองออกมา โดยทั้งสองคนได้บังคับให้ครอบครัวนี้มาเล่นเกมสนุกๆกับพวกเขา โดยมีเงื่อนไขง่ายๆว่า พรุ่งนี้เช้าทั้งครอบครัวจะไม่มีใครรอดไปได้
ผลงานหนังระทึกขวัญเรื่องนี้ได้กลายเป็นผลงานที่ทำให้ไมเคิ่ล ฮานาเก้รู้จักกันเป็นกว้างขวางภายหลังจากเขาได้สร้างภาพยนตร์ไตรภาคความเลือดเย็นไปแล้ว ซึ่งผลงานเรื่องนี้ได้เป็นผลงานชิ้นต่อมาที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักของคำว่า"เลือดเย็น"ในวงกว้าง ขณะเดียวกันนอกจากความเลือดเย็นของหนังแล้ว หนังเรื่องนี้ยังเป็นเหมือนการยั่วล้อวัฒนธรรมหนังเชือดที่ถูกผลิตออกมามากมายในเวลานั้น โดยแนวคนแปลกหน้า และนำเสนอมันในรูปแบบโครงสร้างเดียวกัน เพียงแค่ว่า ฮานาเก้เลือกจะทำลายความหวังคนดูจนหมดสิ้นในหนังเรื่องนี้
เริ่มแรกหนังเปิดให้เห็นภาพครอบครัวอันแสนสุขที่กำลังจะไปพักผ่อนและฟังเพลงคลาสสิคพูดแต่เรื่องดีๆ ในชั่วเวลาเขาเปลี่ยนเพลงแล้วขึ้นเพลงร็อคมานั้น หนังได้บอกสัญญาณเตือนเราแล้วว่า กำลังจะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นและความคาดหวังของคนดูก็พุ่งปรี้ดตามไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นตามขนบของหนังสยองขวัญแนวเชือดการเปิดด้วยเรื่องแบบนี้จะทำให้เราเห็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ครบถ้วนและสามารถเลือกได้ว่าจะเชียร์ใคร เพียงแค่ในฉากนี้หนังได้บอกเล่าเรื่องราวให้เห็นถึงความฟุ้งเฟ้อของคนชนชั้นกลางที่มักจะก้าวขาเข้าไปเจอเรื่องเสมอๆในหนังเหล่านี้ ขณะเดียวกับตัวฮานาเก้ก็บอกเล่าความไร้แก่นสารของคนชนชั้นกลางไปด้วย
ฮานาเก้มักจะบอกเสมอในหนังของเขาว่า หนังเรื่องนี้เขาสร้างขึ้นเพื่อตั้งคำถามถึงความรุนแรงของสื่อ(และสื่อทั้งหลายคือตัวร้ายในหนังของเขาเสมอ) ซึ่งหากเรามองย้อนไปในสองเรื่องของไตรภาคเลือดเย็นนั้นอย่างภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา เช่น The Seven Continent ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนคติและภาพฝันที่พังทลายของคนชนชั้นกลาง หรือ Benny Video ที่ตั้งคำถามและความรุนแรงที่เกิดจากสื่อ จน Funny Game เป็นเหมือนส่วนผสมของหนังสองเรื่องภายใต้ โจทย์ที่ว่า ถ้าไมเคิ่ล ฮานาเก้ทำหนังเชือดมันจะออกมาหน้าต่างอย่างไร
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าดำเนินเรื่องในรูปแบบของหนังเชือดทั่วไป เริ่มจากวันชื่นคืนสุขของเหยื่อจากนั้นก็ตามด้วยการปรากฏตัวของคนแปลกหน้าและการเอาตัวรอดก็เริ่มขึ้น เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้นั้นไม่ได้เพียงยั่วล้อแต่มันทุบทำลายโครงสร้างหนังพวกนี้จนหมดสิ้น อย่างเช่นตัวอย่างง่ายๆ
ในหนังฮอลลีวู้ดตัวละครเด็กและสัตว์เลี้ยงมักจะไม่ตาย แต่เรื่องนี้ตายแต่เริ่มเลยครับ
ฆาตกรส่วนมากมักจะมีเหตุผลในการกระทำต่างๆ แต่เรื่องนี้ไม่มีครับ
ธรรมะชนะอธรรมเสมอ ขอโทษครับ ฮานาเก้ไม่เชื่อเรื่องนั้นครับ
ดั่งนั้นหนังเรื่องจึงมีสภาพเป็นหนังที่เล่นกับความคาดหวังของคนดูตลอดเวลา อย่าง ฉากที่ลูกชายของครอบครัวนี้หนีไปได้ก่อนจะถูกจับแบบง่ายดาย(ทั้งที่มีฉากที่ถือปืนด้วย แต่หนังก็ทำให้เรารู้ว่าเด็กคือ มนุษย์ที่อ่อนแอที่สุด และหวังไม่ได้) หรือฉากในตำนานที่หลายคนกล่าวถึงนั้นก็คือ ฉากรีโมทที่เกิดขึ้นภายหลังจากตัวละครในเรื่องสามารถฆ่าตัวร้ายคนหนึ่งในเรื่องได้ท่ามกลางความยินดีของคนดูและแน่นอนว่า เจ้าพอลก็ใช้รีโมทกดย้อนเวลากลับไปก่อนอีก
ซึ่งพอมาถึงตรงนี้เราได้แต่สิ้นหวังก่อนที่คำถามหนึ่งจะเกิดขึ้น
เราปรารถนาจะเห็นอะไร
ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องเราคาดหวังจะเห็นอะไรครับ เราคงไม่คาดหวังจะดูหนังที่ครอบครัวมีความสุขกระหนุงกระหนิงหรอกใช่ไหมครับ ทุกคนพยักหน้าแล้วบอกว่า ใช่แน่นอน พูดง่ายๆว่า เราอยากให้พวกเขาประสบเคราะห์กรรม เราอยากให้เขาเจอเรื่องซวยๆ เจอเรื่องร้ายๆเพื่อความสนุกและคุ้มค่ากับค่าตั๋วของเรา (พูดง่ายๆว่า เราเป็นพวกเดียวกับเจ้าสองคนนั้นแล้ว) ทว่าเราก็อยากจะให้พวกเขารอดไปได้และฆ่าเจ้าสองคนนั้นทิ้ง (ซึ่งแน่นอนว่า พอลรู้เรื่องนี้แล้วหันมาพูดกับคนดูประมาณว่า ไม่มีทางเฟ้ย พวกแกอยากสนุกไม่ใช่เหรอ ก็นี่ไง ฉันทำให้แล้ว) และแน่นอนว่าหนังก็เชือดคอเราเป็นแผลเหวอด้วยการหยิบยื่นความหวังให้ตลอดเวลาและกระชากมันกลับไป ซึ่งหนังได้บอกเราว่า คนดูก็พวกเดียวกับมันนี่ล่ะ ประมาณว่า พวกเอ็งนะมันโลกสวย มือถือสากปากถือศีล อยากให้ครอบครัวนี้มีเรื่อง อยากให้ครอบครัวนี้ซวยเพื่อความสนุก แต่อยากให้รอด มันหมายความว่ายังไงครับ คนดู
เคยมีคนให้คำนิยามว่า การดูหนังก็เหมือนเป็นโรคจิตอย่างหนึ่งไม่ใช่น้อย เพราะ เวลาเราไปดูหนังเชือดไล่ล่าก็สะใจที่คนตายในหนังกัน ไปดูหนังแบบอเวนเจอร์ ทรานฟอร์เมอร์ เห็นหุ่นเห็นฮีโร่ตีกันก็สะใจโดยไม่ได้มองรอบข้างว่า ตึกรามบ้านช่อง คนตายกันไปอีกศพ ยิ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง มันจะวินาศสันตะโรกันแค่ไหนกัน หรือพูดง่ายๆว่า เราไม่สน เราจะสนุกลูกเดียว นั้นก็ไม่ต่างกับสิ่งที่เราทำในเรื่องนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า บทสรุปของหนังที่เราต้องการก็คือ ตัวละครเอกต้องรอดไปได้และเราต้องจบแบบประทับใจและสนุกสนาน
แน่นอนครับว่า มันไม่มีในหนังเรื่องนี้
นอกจากนี้หนังพยายามจะสื่อสารกับคนดูตลอดเวลาด้วยช็อตที่หลายคนสงสัยว่า มีไว้ทำไมอย่างช็อตการมองมาที่คนดูของพอล หรือการพูดกับคนดูว่า มาพนันกันไหมว่า ครอบครัวนี้จะรอดหรือไม่ ซึ่งเป็นการสื่อสารกับคนดูที่บอกว่านี่เป็นแค่หนังเรื่องหนึ่งไม่ต้องเครียดไปขนาดนั้น ทว่าไอ้ช็อตนี้ล่ะครับที่บอกให้เรารู้ว่า คนดูกำลังจะโดนหักความหวังไปจนหมดแล้ว
อ๋อ ลืมไปอีกอย่างฮานาเก้พยายามสร้างความรุนแรงทางภาพให้น้อยที่สุดเพราะเขาเลือกจะไม่แสดงความโหดออกมาให้เห็นเลยทั้งฉากฆ่าอะไรเราไม่เห็นทั้งนั้น แต่เขาเลือกใช้วิธีสร้างจินตนาการให้คนดูแบบเดียวกับฮิตค์ค๊อกใช้ในไซโค หนังต้นแบบคนแปลกที่ตีแสกหน้าคนดูเช่นกัน
หลายคนถามว่า Funny Game มีส่วนคล้ายคลึงกับหนังเชือดอย่าง The Stanger ของเจ้ลิฟ ไทเลอร์ อันนี้ผมไม่เถียงว่าคล้ายแต่จุดประสงค์หนังไม่ใกล้เคียงกันเลย หนังเรื่อง The Stanger นั้นเป็นหนังเชือดที่มุ่งเน้นสร้างสถานการณ์ชวนหลอนและหักหน้าคนดู ทว่า Funny Game นั้นมีจุดมุ่งหมายในตั้งคำถามถึงความรุนแรงที่ถูกฝังในสายเลือดของมนุษย์ทุกคน
เพราะสุดท้ายเกมสนุกก็จะมีต่อไปเมื่อคนเรายังประสงค์ซึ่งความรุนแรงครับ
Funny Game (Original) (1997) (Michael Haneke)
บล็อกของ Mister American
Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด
Mister American
ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
"พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ