เมื่อหลายวันที่ผ่านมา หลายคนคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์สะเทือนขวัญกลางกรุงนั้นก็คือ เหตุการณ์ที่เด็กช่างกลโรงเรียนหนึ่งได้สาดกระสุนเข้าไปในรถเมล์ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงสองคน ซึ่งข่าวนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงและน่าตกใจอย่างยิ่งแก่สังคม และเป็นอีกครั้งที่คนก่อเหตุก็คือ เด็กช่างกลอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องนี้กลายเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวางในประเทศนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องเดิมๆที่น่าเบื่อเช่น จะแก้ปัญหาช่างกลตีกันได้อย่างไร จะแก้ยังไง อะไรยังไง ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ถูกพูดมานานกว่าสิบๆปีแล้ว แต่ก็ไม่รัฐบาลไหนจะสนใจแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ในขณะที่ตัวคนในสังคมต่างก็เสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดูน่าจะเป็นปลายเหตุหรือเอาสะใจเช่น ประหารชีวิต ฆ่าให้ตาย หรือ ยุบโรงเรียน จับพ่อแม่ด้วย อะไรพวกนี้
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ การที่คนไทยหลายคนมองเห็นภาพตำรวจเอาหมวกแว่นดำใส่ให้เด็กที่ทำเพื่อปกปิดหน้าตา พวกเขาก็พร้อมตะโกนด่าทอใส่ทีวีว่า
จะไปปกป้องมันทำไม
นั้นแหละครับ ผมต้องอธิบายกับใครหลายคนที่ผมรู้จัก(และอาจจะไม่รู้จัก) เรื่องสิทธิมนุษยชน คำถามก็ตามมาอีกว่าจะไปรักษาสิทธิให้กับพวกชั่วนี้ทำไม
ผมตอบด้วยคำง่ายๆว่า กฎหมายไม่ได้มีไว้ฆ่าคน แต่มีลงโทษเพื่อให้คนสำนึกผิดแล้วพร้อมจะกลับออกมาเป็นคนดีในสังคมต่างหาก นั้นต่างหากเป็นเจตนาที่แท้จริงของกฎหมายครับ
แต่ก็อีกครับ บางครั้งกฎหมายก็ไม่อาจจะล้างไฟแค้นให้กับญาติผู้เสียชีวิตได้ ฉะนั้นเราจึงมักจะเห็นภาพญาติผู้เสียชีวิตประชาทัณฑ์คนร้ายอยู่เสมอๆ ด้วยอารมณ์โกรธแค้นและเพื่อความสะใจ เพราะพวกเขาเชื่อว่า โทษที่พวกนั้นได้รับไม่สาสมกับการกระทำของพวกเขา
แต่ถามว่า พวกเขากระทืบคนร้ายไป ความแค้นของพวกเขาหายไปหรือไม่
นั้นก็คล้ายคลึงกับนายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งที่ระหว่างทำงานจับกุมคนร้ายอยู่ในเมืองนั้น เขาก็ได้พบว่าภรรยาที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆอยู่นั้นได้ถูกฆาตกรใจโหดโรคจิตฆ่าตายและแยกชิ้นส่วนของศพไปทิ้ง การตายของเธอทำให้ตำรวจข่าวกรองหนุ่มผู้นี้คลั่งแค้นเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าผู้เป็นพ่อตาจะบอกเขาว่า ให้ปล่อยวางความแค้นนี้ไปเสียและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย ทว่าเขาไม่ฟังและตัดสินใจที่จะแก้แค้นด้วยวิธีที่สาสมเท่าที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเกมล่าฆาตกรโหดจึงเริ่มขึ้น
มีคนกล่าวว่า ถ้าจะเอาชนะอธรรมต้องเป็นอธรรมที่เหนือกว่า เช่นเดียวกัน การชนะปีศาจได้นั้น ต้องเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายกว่าฉันนั้น ดังคำกล่าวที่ว่ากันว่า มนุษย์ย่อมมีปีศาจสิงอยู่ในตัว
สิ่งที่หนังได้พูดกับเราก็คือ จิตใจของเรานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ซึ่งหากมองแล้วเราจะพบว่า สัตว์พวกนั้นต่างใช้ชีวิตด้วยสัญชาติญาณ ในขณะที่คนเรานั้นมีทั้งสติสมองความคิดครบถ้วนยิ่ง ดังนั้นหนังจึงพูดการแก้แค้นว่า ไม่ได้ต่างอะไรกับไฟที่จะแผดเผาตัวเองและคนรอบข้างให้มอดไหม้ไปด้วยกัน ฉะนั้นเราจึงเห็นตลอดเกมการล่าว่า การแก้แค้นของพระเอกนั้น
เราแทบจะไม่เห็นรอยยิ้มของเขาอีกเลย
เหมือนเป็นการบอกว่า นี่ไม่ใช่ความสุขที่เขาคิดว่าจะเกิดเมื่อได้แก้แค้นฆาตกร ต่างกับฆาตกรที่ยิ่งเขาทำร้ายมันเพียงใด มันยิ่งหัวเราะมีความสุขที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยอมทิ้งอนาคตทุกอย่างเพื่อตามล่าเศษเดนมนุษย์อย่างมันแค่นั้น ซึ่งดูแล้วช่างเป็นอะไรยอนแย้งมิใช่น้อย
ถามว่ามีใครห้ามพระเอกไม่ให้ทำหรือไม่นอกจากพ่อตาของเขา ยังมีน้องสะใภ้ของพระเอกที่พยายามโทรหาเขาเพื่อให้หยุดแก้แค้นเสียแต่ตอนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เธอบอกให้เขากลับมาบ้านและทิ้งทุกอย่างไว้ด้านหลัง(นัยคือปล่อยวางเสียเทอญ) ซึ่งแน่นอนว่าพระเอกของเราก็ลังเลเล็กๆทว่าเขาก็ยังตัดสินใจจะแก้แค้นต่อไปโดยไม่รู้ว่า การแก้แค้นของเขากำลังทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงเรื่อยๆไปอีก
คำถามข้อใหม่มาอีกนั้นก็คือ ทำไมพระเอกถึงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม คำตอบก็คือ ตัวของพระเอกไม่เชื่อมั่นในการสืบสวนของตำรวจเกาหลีหรือกระบวนการยุติธรรมเท่าใดนัก ซึ่งเราอาจจะได้เห็นจากหนังเรื่อง The Chaser ไปแล้วว่า ระบบยุติธรรมของประเทศนี้นั้นน่าเชื่อถือได้ขนาดไหน (จนมีผลให้มีคนตายเกือบยี่สิบศพเลยทีเดียว) และด้วยความที่ขั้นตอนต่างๆมันเยอะมากเกินไปจนอาจจะมีศพต่อๆมาได้อีก บวกกับว่า หากจับหมอนี่ได้ ก็มีโอกาสหลายทางที่จะเป็นไปได้เช่น ยกฟ้องหากหลักฐานอ่อนเกินไป หรือ จำคุกไม่นานนักและถูกปล่อยตัวออกมา หรือ ประหารชีวิตก็ตาม ก็ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนแทบทั้งสิ้นในความคิดของพระเอก ดังนั้นพระเอกเลยตัดสินใจที่จะสวมบทศาลเตี้ยไปจัดการเสียเองโดยบวกกับความสะใจไว้ด้วย และนี่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกยกไปอยู่ในตระกูลของหนังประเภทวิพากษ์ระบบของประเทศนี้ได้อย่างแนบสนิทเคียงคู่หนังอย่าง The Chaser Man From Nowhere หรือ Yellow Sea เป็นต้น ที่นอกจากจะมีแอ็คชั่นดิบโหดแล้วยังตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบของประเทศเกาหลีได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย
อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงพูดเอาไว้ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ซึ่งเป็นเหมือนสัจธรรมที่ชัดแจ้งและเห็นจริง ซึ่งแน่นอนว่า ตัวละครที่บรรลุสัจธรรมนี้ก็ไม่ใช่ใครนอกจากตำรวจใหญ่ที่ดูแลคดีนี้และพยายามพูดโน้มน้าวพ่อตาของพระเอกให้ติดต่อพระเอกเพื่อให้ยกเลิกเกมล่าปีศาจนี้เสียก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงไปอีก
คำพูดเด็ดของเขาก็คือ อย่าตามล่าปีศาจด้วยการเป็นปีศาจ
เป็นเหมือนการเตือนที่บ่งบอกว่า เขานั้นคาดเดาอนาคตบางอย่างได้หากยังมีเกมล่าปีศาจเช่นนี้ และในที่สุดก็เป็นแบบที่เขาคิดจริงๆเมื่อเวรกรรมยังเวรใหม่ก็เกิดขึ้นแทน ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า จะเกิดแบบนี้ถ้าไม่ทำแบบนั้นน่ะเอง
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเลยที่ชนะสักคนในเกมนี้
ดูเป็นเรื่องตลกพอสมควรที่สุดท้ายแล้วเกมนี้ก็จบลงด้วยที่ไม่มีใครชนะมันเลยสักคนในเกมความแค้นนี้ หากมองไปยังฝ่ายตัวร้ายที่พลิกได้เปรียบมาในช่วงท้ายเกม ตัวของเขามักพูดอยู่เสมอว่า เขาไม่มีความกลัว กลัวอะไรทั้งสิ้น ทว่าในวินาทีสุดท้ายเขากลับตะโกนร้องบอกไม่ให้พ่อแม่ ลูกของเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องที่กิโยตินถูกเชือดมัดเอาไว้กับประตู
ทว่าพ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย
สุดท้ายเชือกก็หลุดออกพร้อมๆกับประตูที่ถูกเปิดเข้ามา
ในฝั่งพระเอกที่ดูเหมือนว่าจะแก้แค้นได้แล้วเล่าก็ใช่ว่าจะสะใจหรือมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะบัดนี้เขาได้สูญเสียทุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งภรรยา ลูกในท้อง รวมทั้ง พ่อตา น้องสะใภ้ หน้าที่การงาน ชื่อเสียง
รวมไปทั้งความเป็นมนุษย์ของตัวเองไปด้วย
เพราะสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจเลือดเย็นที่ชักนำคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้มาพานพบกับเรื่องเลวร้ายตรงหน้า เขายืมพ่อแม่และลูกของผู้ร้ายให้ฆ่าลูกตัวเอง เขาทำให้พ่อแม่ฆ่าลูกด้วยมือของตัวเอง
วิธีแบบนี้มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่จะทำ ดังนั้นในฉากสุดท้ายของหนัง ภาพที่ตัวของเขากำลังเดินไปตามถนนหลังจากที่ได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นด้านหลัง(ซึ่งเขาวางกับดักเอาไว้) ในวินาทีนั้นเขาพยายามจะร้องไห้ออกมา แต่มันร้องไม่ออก พยายามอย่างไรก็ร้องออกมาไม่ได้
เหมือนกับว่า น้ำตาได้เหือดแห้งลงไปจนหมดแล้ว
และมนุษย์คนหนึ่งก็ได้กลายเป็นปีศาจไปในที่สุด
….
บล็อกของ Mister American
Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด
Mister American
ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
"พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ