Skip to main content

 

        Believe none of what you hear and half of what you see : Benjamin Franklin 

อย่าไปเชื่อสิ่งที่คุณได้ยินทั้งหมด และ ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่มองเห็น 

              วาทะของเบนจามิน แฟรงคลินนี้บอกใบ้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ว่า เต็มไปด้วยความจริงและลวงอันแสนสลับซับซ้อนจนเราไม่อาจจะเชื่อได้ว่า อะไรคือความจริงกันแน่ อย่างเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 สิ่งที่ผู้คนในตอนนั้นรับรู้ในตอนนั้นก็คือ การป้อนข้อมูลว่า นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต้องการล่มสถาบันและไม่ใช่คนไทย ทำให้เกิดเหตุการณ์ความบ้าคลั่งขึ้นในวันนั้นเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ที่ในประเทศนี้มีชุดความจริงสองชุดถูกปล่อยออกมา โดยชุดความจริงแรกนั้นคือ ชุดความจริงว่า การตายทั้งหมดเกิดจากการฆ่ากันเองของกลุ่มผู้ชุมนุมและมีผู้ก่อการร้ายที่ชื่อว่า ชายชุดดำ หรือ ชุดความจริงที่สองคือ การตายนั้นเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แน่นอนว่า ความจริงกำลังคลี่คลาย แต่ในวันนั้นไม่มีใครชั่งใจหรือเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะ ข้อมูลของความจริงในตอนนั้นเกิดขึ้นเมื่อใครก็ตามสามารถควบคุมสื่อได้หมด กระนั้นก็อยู่ที่วิจารณญาณของคนฟังว่าจะเลือกเชื่อในสิ่งไหน ซึ่งต้องอยู่ในบริบทคุณอยู่ข้างไหนเช่นกัน 

            ในโลกภาพยนตร์นั้นถูกระบุไว้ว่าเป็น การหลอกตาคนใน 24 ภาพภายในหนึ่งวินาที ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือภาพที่เห็นนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแต่เกิดจากการที่กระทำที่ทำให้ภาพวิ่งด้วยความเร็ว 24 ภาพในหนึ่งวินาทีทำให้เป็นภาพเคลื่อนไหวบนจอนั้นเอง ซึ่งต้องปรบมือให้กับผู้คิดค้นภาพยนตร์นี้ว่า พวกเขาได้เปลี่ยนโลกการบันเทิงไปจนหมดสิ้น และความยิ่งใหญ่ของศิลปะการหลอกบนจอนี้ก็ทำให้ผู้กำกับคนหนึ่งอย่าง มาร์ติน สก็อตเซซี่ ลุกขึ้นมาทำหนังที่ทำเพื่อคารวะและเฉลิมฉลองแด่ สิ่งที่เรียกว่า ภาพยนตร์ในหนังเรื่อง Hugo ไปแล้ว ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างดีเลยทีเดียว

          แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้สก๊อตเซซี่ผู้นี้ได้กำกับเรื่องหนึ่งที่พูดความจริงความลวงได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

     หนังเรื่องนั้นก็คือ Shutter Island

          หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของ Dennis Lehane ซึ่งเป็นคนเขียนนิยายเรื่อง Mystic River ซึ่งถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังไปแล้ว เช่นเดียวกับ Gone baby Gone เองก็เช่นกัน

         Shutter Island เป็นเรื่องราวของนายตำรวจศาลชื่อว่า เท็ดดี้ เดเนี่ยล กับเพื่อนร่วมงานของเขา ชัค ที่เดินทางมายังเกาะแห่งหนึ่งภายหลังจากมีนักโทษคดีร้ายแรงคนหนึ่งหายตัวไปจากเกาะที่อยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลแห่งนี้ เมื่อมาถึงเท็ดดี้รู้สึกได้ว่า จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในสถานที่แห่งนี้แน่ ๆ และเมื่อยิ่งสืบไปสืบมาเท็ดดี้ก็ได้ขุดคุ้ยความทรงจำในอดีตบางอย่างกลับมา ในขณะที่เขาพบว่า บนเกาะนี้มีนักโทษ 47 คน แต่ในรายงานบอกว่ามีแค่ 46 คนเท่านั้น

และใครล่ะคือ นักโทษคนที่ 47

         แน่นอนครับว่า หนังเรื่องนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้คนดูหลายคน (รวมทั้งผม) ด้วยเพราะมันเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งระหว่างความจริงความลวงอย่างชัดแจ้ง โดยให้เลือกว่า คุณอยู่ข้างไหนกันแน่ ระหว่างเท็ดดี้ หรือ พวกหมอในโรงพยาบาล

ถามว่าเราจะฟันธงได้อย่างไรว่า ควรเชื่อใคร หนังเรื่องนี้ก็ให้ข้อมูลต่าง ๆ กับเรามาค่อนข้างมากและพอให้เราสามารถสรุปได้ว่า จะเชื่อใครได้

ซึ่งแน่นอนว่า บทสรุปของหนังก็จะต่างออกไปอย่างน่ากลัวเลยทีเดียว ผมได้แบ่งกรณีออกเป็นสองอย่างดังนี้

1. เท็ดดี้ เดเนี่ยลเป็นคนไข้คนที่ 47 

2. เท็ดดี้ เดเนี่ยลถูกทำให้บ้า

ผมไม่สปอยว่าเพราะบทสรุปของสองเรื่องนี้จึงมีออกมาแบบนี้ (เพราะแนะนำให้ดูจริง ๆ ) กระนั้นสิ่งที่เราก็คือ ผู้สร้างนั้นเอนเอียงไปในทิศทางไหน ซึ่งผมจะพูดบางอย่างที่น่าสนใจและไม่มีใครเอามาวิเคราะห์กัน

           อย่างแรกเรามักจะเห็นเท็ดดี้ เดเนี่ยลสูบบุหรี่จัดมาก และแน่นอนว่าเขามีไม้ขีดไฟพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา และไม้ขีดนี้เป็นคำใบ้อย่างหนึ่งที่คนสร้างหนังหรือนิยายให้ไว้กับเรา เพราะ ในช่วงที่เท็ดดี้จุดไฟจากไม้ขีดนั้นมันละมายคล้ายคลึงกับนิทานเรื่องหนึ่งของคนยุโรปที่มีชื่อว่า สาวน้อยไม้ขีดไฟ

            เรื่องราวของสาวน้อยไม้ขีดไฟนั้นเป็นผลงานการแต่งของ ฮันส์ คริสเตียนเซ่น ผู้แต่งเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อยนั้นเอง โดยมีเนื้อเรื่องประมาณว่า เด็กสาวคนหนึ่งถูกพ่อเลี้ยงบังคับให้มาเดินขายไม้ขีดไฟท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บในคืนวันส่งท้ายปีเก่า  เด็กสาวทรมานอย่างยิ่งกับความหิวและความหนาวเย็น เธอจึงจุดไม้ขีดไฟเพื่อขับไล่ความหนาวให้ออกไป ท่ามกลางสายตาที่มองไปยังครอบครัวอื่นได้นั่งกินอาหารแสนอร่อยในครอบครัวที่อบอุ่น เมื่อเธอจุดไม้ขีดไฟที่ล่ะก้าน เธอจะมองเห็นความสุขในอดีตที่เธอเคยมี เธอจินตนาการเห็นภาพในอดีตทั้งหมดท่ามกลางความหนาวเย็น จนกระทั่งตอนเช้าของวันปีใหม่ เด็กหญิงเสียชีวิตลงโดยมีชาวเมืองมาพบพร้อมกับไม้ขีดไฟที่จุดแล้วรอบตัวเธอ

         และแน่นอนว่า สิ่งที่คล้ายคลึงจนแทบไม่น่าเชื่อ เพราะไม้ขีดไฟนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความสว่างทว่า เป็นเพียงแสงเพียงวูบเดียวเท่านั้น มีคนกล่าวว่า เพราะคนกลัวความมืด เราจึงมีแสงสว่าง

        ดังนั้นเพราะมีอดีตที่แสนปวดร้าวคนเราเลือกจะโกหกตัวเองและหนีไปสู่โลกจินตนการเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้

     อย่างเช่นเด็กสาวขายไม้ขีด รวมทั้ง ตัวของเดเนี่ยลเองก็ตาม

            มีคนกล่าวว่า คนบ้ามักจะมองอะไรได้ดีกว่าคนปกติ ซึ่งเรื่องนี้มีหลายคนพิสูจน์มาแล้วจากหนังหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกันที่คนบ้ามองเห็นอะไรมากกว่าคนปกติ

ในตอนที่เดเนี่ยลได้พบกับคนไข้ที่ชื่อว่า นอยส์ นั้นนอยส์ได้พูดคำคำหนึ่งออกมาที่ทำให้เราหลายคนพอจะอนุมานได้ว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่ที่นี่

“คุณไม่ได้สืบอะไรเลย คุณมันแค่หนูในเขาวงกต  ปล่อยเธอไป เธอกำลังปั่นหัวคุณ เธอจะฆ่าคุณ อยากความจริงก็ปล่อยเธอไป ไม่เช่นนั้นคุณก็ไม่มีวันจะไปจากเกาะนี้ได้”

           คำพูดนี้บอกใบ้ให้เรารู้ว่า ผู้สร้างหนังเชื่อในกรณีใด เพียงแค่สองข้อเราก็พอรู้แล้วว่า เขาเอนเอียงไปในความจริงชุดไหน แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ หนังมันพูดถึง สิ่งที่มนุษย์ค้นหาเท่าใดก็ยิ่งไม่เจอ

        นั้นก็คือจิตใจ

         ผมไม่แน่ใจว่า ใครเปรียบจิตใจมนุษย์ว่า เหมือนกับเขาวงกต แต่สิ่งที่คำพูดของนอยส์บอกนั้นได้ทำให้เรารู้ว่า จิตใจของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อนเสมือนเขาวงกตดั่งว่า อย่างเช่น ใครจะคิดว่า คนบางคนหน้าตาออกโจรแต่กลับเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น หรือ บางคนใส่สูทผูกเน็กไท พูดจาเก่งกาจ แต่ใจกลับสกปรก ซึ่งนั้นบอกให้เรารู้ว่า ความจริงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ แต่เกิดจากการการพิจารณาชุดข้อมูลที่ได้รับต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วนต่างหาก 

        เพราะความจริงนั้นย่อมมีสองด้านเสมอ

แต่กระนั้นเองความจริงที่น่าสนใจเช่นกัน อย่างที่เขียนไปว่า คุณจะอยู่ในโลกความจริงที่โหดร้าย หรือ วิ่งเข้าสู่โลกจินตนาการไป 

        อย่างนิทานเรื่องสาวน้อยไม้ขีดไฟที่บทสรุปของมันอาจจะดูเศร้าสร้อยแต่ในนัยยะหนึ่งมันบอกเราอย่างน้อยก็ไม่ต้องทรมานกับชีวิตเช่นนี้ หรือกรณีเดียวกับหนังแฟนตาซีมืด อย่าง Pan Lebyrinth ที่สุดท้ายแล้วการอยู่ในโลกจินตนาการก็ดีกว่าการทุกข์ระทมในความจริง

             หนังเรื่องนี้เองก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับคำถามนี้ และที่น่าตกใจคือ ลีโอนาร์โด้ ดีคาร์ปิโอ้นั้นก็ดันไปเล่นหนังเรื่อง Inception ที่พูดถึงความซับซ้อนของความจริงซะอีกในบริบทที่ใกล้เคียงกัน และตอนจบคล้ายกัน

“จะอยู่ในฐานะปีศาจ หรือ ตายแบบคนดี”

นั้นคือคำพูดของเดเนี่ยลที่บอกกับเพื่อนของเขา เป็นเสมือนการบอกให้รู้ว่า ถ้าจะระทมกับความจริงก็หนีเข้าโลกจินตนาการไปเลยดีกว่า เช่นเดียวกับที่ตัวละครใน Inception ได้เลือกจะไม่มองผลลัพธ์ของลูกข่าง ตัวเดเนี่ยลก็เลือกทางเดินของตัวเองไปแล้ว

ฉากสุดท้ายของเรื่องที่เป็นประภาคารที่ตั้งอยู่นิ่งนั้นเป็นคำถามสุดท้ายที่หนังได้ถามเราว่า

คุณมองมันออกแบบไหน

บางคนบอกว่ามันว่า เป็นภาพที่สวยงาม

บางคนบอกว่า น่าสะพรึงกลัว

และคุณมองมันในด้านไหนกันกับภาพสุดท้ายของเรื่องนี้

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ