Skip to main content

 

          ณ ประเทศหนึ่งของเอเชีย ประเทศนี้ไม่มีชื่อ แต่มีกฎหมายที่ถูกเรียกว่า กฎหมายผดุงความรุ่งเรืองของชาติ ที่เป็นกฎที่มีไว้เพื่อผองชนหมู่มากมีชีวิตต่อไป และดำรงไว้ซึ่งความรุ่งเรืองของชาติ โดยสาส์นนำทางสู่ความตาย อิคิงามิจะถูกส่งให้กับผู้ถูกเลือก เมื่อมาถึงพวกเขาจะมีชีวิตเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

                ถ้ามีชีวิตเพียงหนึ่งวัน คุณจะทำอะไร คำถามที่หลายคนมักจะเอ่ยปากถามเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในยามไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรดี กลายเป็นประเด็นคำถามที่ตั้งไว้ว่า ถ้ามีเวลาแค่วันเดียวจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ครับ หลายคนคงตลกนะครับและพูดว่าถ้ามีเวลาหนึ่งวันหลายคนคงบอกจะใช้เงินซื้อทุกอย่างที่ต้องการ ไปนู้นมานี่บ้างอะไรบ้างให้คุ้มก่อนตาย

                ก่อนจะได้พบว่า เวลาวันเดียวมันไม่มีทางพอหรอกครับ

                เอาจริงแล้วถ้าเรารู้ว่าตัวเองจะตายภายในหนึ่งวันนั้นคงหลั่นหล้าไม่ออกแน่ ๆ ครับ ตอนนี้คงเป็นช่วงที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตแน่นอนว่าทำไมจะต้องเป็นแบบนี้ บางคนอาจจะถึงขั้นเสียสติไปเลยก็ได้

                ซึ่งนี่คือแนวคิดที่การ์ตูนเรื่องนี้ต้องการนำเสนอว่า ถ้ามีเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนตาย เหล่าผู้คนที่รับรู้เรื่องนั้นจะทำอย่างไร

                ก่อนที่เรื่องราวนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นการวิพากษ์สังคมได้อย่างเจ็บแสบยิ่งราวกับถูกเขียนเพื่อพูดถึงประเด็นใหญ่กว่านั้นเสียอีก

                ผลงานจากปลายปากกาของ MASE MOTORO  นี้บอกเล่าเรื่องเล่าทั้งหมดผ่านตัวละครนักส่งสาส์นมรณะหนุ่มที่มีชื่อว่า ฟูจิโมโต้ ที่ต้องเดินทางนำสาส์นสั่งตายนี้ไปมอบให้กับผู้คนมากมายหลายคนที่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ได้ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวทั้งทุกข์ สุข ความโกรธแค้น ความตายที่บอกเล่าผ่านทางชีวิตของคนที่ตายที่ทำให้เขาซึ่งไม่ได้ศรัทธาในระบบนี้มากนักยิ่งเกิดความไม่ชอบใจและเริ่มรู้สึกว่า

                ระบบผดุงความดีด้วยความตายของคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องอะไรเลย

                มันควรจะถูกกำจัดไปด้วยมากกว่า

 

                เรื่องราวเริ่มต้นในตอนแรกด้วยตอนที่ฟูจิโมโต้ได้เริ่มทำการอบรมพนักงานส่งอิคิงามิพร้อม ๆ กับตั้งคำถามต่างภายในใจของตนเองด้วยความกลัวว่าจะถูกเรียกว่า เป็นคนด้อยพัฒนา ซึ่งเป็นคำเรียกผู้มีแนวคิดต่อต้านกฎข้อนี้ซึ่งถูกรัฐพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เพื่อให้คนเห็นความสำคัญของชาติในฉากเล็ก ๆ นี้ เราได้เห็นว่า แม้แต่ในหน่วยงานนี้ก็ยังมีคนหลายประเภทอยู่ด้วยกันตั้งแต่คนที่หลงใหลในกฎหมายมีนี้จนคลั่ง คนที่ไม่เห็นด้วยสุดโต่งจนถึงกับประกาศตนและถูกจับไปในฐานะพวกด้อยพัฒนา และพวกที่แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็เลือกที่จะหุบปากสงบปากสงบคำเพราะกลัวจะเดือดร้อนแบบฟูจิโมโต้

                ซึ่งฉากนี้ฉากเดียวก็พอจะทำให้เราเห็นสภาพสังคมในตอนนั้นว่า มีสภาพคล้ายสิ่งที่เรียกว่า รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ผู้คนไม่มีสิทธิจะตั้งคำถามต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเองเลย

นอกจากนั้นเราจะได้พบกับเรื่องราวที่การ์ตูนนำเสนอให้เราเห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากอิคิงามิว่า มันมีในแง่บวกและลบทางใด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านขายของที่มีอดีตฝังใจกับการถูกรังแกในวัยเด็ก นักดนตรีหนุ่มที่ยังมีอดีตฝังใจกับการแยกวงกับเพื่อนเพราะ อยากจะดัง แต่ตัวเองกลับพบว่าตัวเองไม่อาจจะไปได้อย่างที่หวังไว้ เรื่องราวในสามเล่มแรกจึงเน้นเล่าเกี่ยวกับเรื่องเล่าที่ทั้งหดหู่และงดงามในวินาทีสุดท้ายของชีวิตที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า

                อิคิงามิเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสังคมหรือไม่

                คนเราถ้าไม่ถึงเวลาสุดท้ายของชีวิตจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เลยไม่

                ซึ่งตรงนี้เรากำลังเอนเอียงไปให้คิดว่า กฎหมายแบบนี้อาจจะมีความจำเป็นจริง ๆ ก็ได้

                แต่คำถามต่อมาก็คือ

                เรามีสิทธิอะไรไปคิดว่า ใครควรตายไม่ควรตายกันเล่า

                นั้นคือสิ่งที่อิคิงามิ สาส์นสั่งตายได้โยนตูมใส่เราเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นสุกงอมจนได้ที่หมดแล้ว ผู้คนเริ่มมีความสงสัยมากขึ้นว่า ไอ้ระบบผดุงความรุ่งเรืองของชาตินี้มันจำเป็นกับพวกเขาจริง ๆ หรือ

                เราได้เห็นว่า อิคิงามิได้ชักนำคนดี ๆ ไปสู่ความมืดมิด บางคนคลุ้มคลั่งกลายเป็นปีศาจร้ายเพียงพอช่วงเวลาสุดท้ายที่ตัวเองได้พบว่าจะต้องมาตาย มีคำถามถึงพระเอกถึงครั้งว่า ทำไม พวกเขาจะต้องตายด้วย และ ในเวลาหนึ่งวันพวกเขาจะใช้มันทำอะไรบ้าง

                ตอนที่น่าจะเป็นจุดพีคที่สุดของการ์ตูนนี้และทำให้หลายคนต่างตะโกนร้องกันดัง เหยด.... กันแบบว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็คือ บทที่มีชื่อว่า ดวงวิญญาณที่ถูกทาทับ ในเล่ม 5 นั้นเอง

                เรื่องราวในตอนนี้เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า ยูคิมาสะ สึสึโมริ เด็กหนุ่ม ลูกชายเจ้าของร้านทาสีที่มีความฝันอยากจะเป็นช่างภาพ ทว่ากลับถูกปฏิเสธความฝันโดยพ่อและปู่ที่ต้องการให้เขาสืบทอดร้านต่อไป โดยไม่ได้เข้าใจจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย แถมยังให้เขาไปพ่นสีใส่กำแพงบ้านคนอื่นเพื่อให้มีการจ้างทาสีทับเพื่อพยุงบริษัทอีกต่างหาก ทว่าความยอดเยี่ยมในการเขียนภาพบนกำแพงของเขาไปเตะตะเจ้าหน้าที่ให้มาเขียนกำแพง ซึ่งนั้นไปปลุกจิตใจที่อยากเป็นนักวาดภาพของเขาขึ้นมา ทว่าด้วยการที่ตัวเองถูกกำหนดโดยพ่อมาตลอดทำให้ต้องปฏิเสธไป

                 และอิคิงามิก็ส่งมาถึงเขาในที่สุด

                ความโกรธแค้นได้ทำให้พุ่งทะลุถึงขีดสุดเพราะ ชีวิตของตัวเองต้องมาถูกกำหนดโดยใครไม่รู้ว่า ให้ต้องมาตายไม่พอบวกกับพ่อที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยในความฝันของเขาและยังบีบบังคับเขามาตลอดเวลาก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะแก้แค้นบริษัทของพ่อไปพร้อมกับช่วยเหลือบริษัทไว้ด้วย

                และเขาก็นำความโกรธแค้นไปละเลงใส่กำแพงด้วยภาพที่หลายคนบอกว่า นี่คือ สิ่งที่อิคิงามิหรือกฎหมายนี้ได้เป็น

                แต่ใช่ว่าเขาจะตายไปโดยไม่ได้ถ่ายทอดอะไรให้ใคร เขาได้ถ่ายทอดสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ให้กับเด็กหนุ่มที่อยากเป็นแบบเขา ว่า

                “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงวิญญาณเท่านั้นที่อย่าให้ถูกฆ่า”

                คำพูดนี้จึงเป็นการบอกกล่าวแก่คนดูว่า อิคิงามิเป็นเสมือนเครื่องมือที่ทำลายมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์เชื่อง ๆ ที่คิดอะไรเองไม่เป็นและยอมก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใด ๆ อุปมาเครื่องจักรไร้วิญญาณที่ทำตามคำสั่งไปวัน ๆ ก็เท่านั้น

                ดังคำพูดที่ว่า

                “ภาพนี้จะทำให้พวกที่มองดูภาพนี้รู้สึกอับอายจากก้นบึ้งของหัวใจ ในเรื่องที่ต้องเป็นพลเมืองของประเทศที่ฆ่าคน จะทำให้พวกที่มองเห็นการตายของผู้คนเป็นความซาบซึ้งได้รู้ว่า ตัวเองมันสถุลเพียงใด ภาพของพวกแกที่แสดงอาการเซ่อซ่าตาลีตาลาน ฉันขอหัวเราะเยาะที่โลกโน้นล่ะกัน”

                ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นภาพของการตบหน้าอย่างแรง หลังจากนั่งดูภาพประทับใจ ซาบซึ้งกับกฎหมายนี้มาสี่เล่มกันเต็มที่

                อีกหนึ่งตอนที่เสนอภาพของสังคมในเรื่องอิคิงามิได้อย่างน่าขนลุกคือ บทที่ชื่อว่า ลัทธิผดุงความรุ่งเรืองของชาติที่เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่มีชื่อว่า  สึกิดะ อิคุฮิโกะ ที่เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นตำรวจไล่จับคนเล่นต่างจากกฎผดุงความรุ่งเรืองของชาติ จะเรียกว่าเป็นครอบครัวที่คลั่งในลัทธิชวนเชื่อของรัฐบาลจนน่ากลัว ซึ่ง สึกิดะนั้นเมื่อได้รับอิคิงามิ เขาก็ดีใจมากที่เขาจะได้รับความสำคัญจากเหล่าคนรอบข้าง โดยพ่อแม่และครอบครัวของตนเองทดแทนความว้าเหว่ของตนเองที่ไม่มีใครยอมรับ

                และนั้นทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่งที่มีคนดูหมิ่นตัวของเขาในตอนที่กำลังจะตายแบบนั้น ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่า ความคลั่งที่บิดเบี้ยวนั้นเป็นอย่างไร

                ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่หนังสือแสดงให้เราเห็นว่า เราไม่สามารถไว้ใจใครได้เลยในสังคมนี้ เพราะ หากเราทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับกฎนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตนต่อต้านหรือทำอะไรบางอย่าง เราก็พร้อมจะถูกคนรอบข้างจับโดยทันทีแบบที่นักเรียนในห้องนี้ได้ทำกับครูสอนพิเศษของตน

                ซึ่งความคลั่งของสึกิดะนั้นก็มาจากการสั่งสอนที่ผิดเพี้ยนของครอบครัวในสังคมที่เป็นเผด็จการห้ามคิด ห้ามสงสัย และซาบซึ้งกับเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาได้อย่างน่าสะพรึง

                 แต่จุดหมายของตอนนี้นั้นคือ การให้เราได้เห็นอนุภาพของสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความสงสัยต่างหาก

                และความสงสัยนั้นกำลังแผ่อำนาจไปยังผู้คนอื่น ๆ มากขึ้นทุกที จากคนกลุ่มเล็ก ๆ กลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังวางแผนล้มกฎหมายนี้เพื่อช่วยไม่มีใครตายอีกแล้วจากกฎหมายที่แสนป่าเถื่อนนี้ และตัวละครที่ได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของกฎหมายนี้ก็คงไม่พ้น ฟูจิโมโต้ ตัวเอกของเรื่องที่ยิ่งนำสาส์นไปส่งให้มาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีคำถามในใจขัดแย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่า กฎนี้ไม่ถูกต้องและเตรียมวางแผนทำลายกฎนี้เสียที

                เราจะเห็นว่า ฟูจิโมโต้ไม่เหมือนคนที่ทำงานนี้คนอื่น ๆ เพราะ เขายังเป็นคนที่ยังสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด แถมยังถลำตัวเข้าไปช่วยคนหลายเสมออย่างในบทกำมะลอเพื่อยอดรักเองก็เช่นกันที่เขาได้ช่วยเหลือพี่ชายผู้อยากจะมอบดวงตาให้น้องสาวของเขาก่อนตายด้วยการเข้าไปแทรกแซงโรงพยาบาลเอง แม้จะช่วยได้แต่ก็ทำให้เขาถูกสอบสวนไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

                เพราะพวกเขาไม่ต้องการพนักงานส่งสาส์นที่มีชีวิตจิตใจแต่ต้องการหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่งโดยไม่สนใจกระทั่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นเท่านั้น

                 และเมื่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของอิคิงามิได้หลุดขึ้นมาในที่สุด

                จุดประสงค์ที่แท้จริงของอิคิงามิก็คือ การหลอกคนไปตายในสนามรบนั้นเอง

                เรื่องราวส่วนนี้เกิดขึ้นในเล่มอวสานคือ เล่มที่ 10 ซึ่งก่อนจะออกมานั้นหลายคนสงสัยว่า เรื่องราวมันจะจบลงอย่างไร กฎหมายนี้จะถูกทำลายลงไปหรือไม่

                ครับ คำตอบคือไม่ ครับ แต่หนังสือได้เผยให้เราเห็นจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่หลังม่านไม้ไผ่นี้แทนครับ

 เมื่อเกิดสงครามระหว่างประเทศนี้กับประเทศพันธมิตรขึ้นมาบวกกับการประท้วงเรื่องอิคิงามิที่ลุกลามเพราะ การปล่อยข่าวของพระเอกเพื่อทำลายกฎนี้เสีย ทว่าฟูจิโมโต้ก็พลาดท่าถูกจับไปล้างสมองอยู่นานและได้พบว่า สงครามยังไม่จบสิ้นและมีการออกข่าวหนึ่งมาว่า

                “มีวัคซีนที่สามารถกำจัดนาโนแคปซูลที่อยู่ในร่างได้กับผู้สมัคร”

                เท่านั้นแหละครับ ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปในทันที การประท้วงที่น่าจะโค่นกฎหมายนี้สลายตัวไปเพราะ คำพูดที่ประกาศตูมเดียวนี้ได้อย่างน่าไม่น่าเชื่อ

                นั้นทำให้ฟูจิโมโต้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอิคิงามิไม่ได้มีไว้เพื่อความรุ่งเรืองของชาติอะไรนั้นหรอก แต่มีไว้เพื่อหลอกให้คนไปตายในสงครามต่างหาก

                ดั่งคำพูดของหัวหน้าของฟูจิโมโต้ที่พูดว่า

                “อิคิงามิที่เธอส่ง คือเครื่องมือเล็ก ๆ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นเพื่อรวบรวมทหารแบบนี้และความตายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองของชาติของคนเหล่านั้นมีเพื่อทำให้ พลเมืองจำนวนมากคิดว่าไป สนามรบยังมีโอกาสรอดได้มากกว่า ซึ่งนั้นเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง”

                สรุปก็คือ เรื่องราวที่เราเห็นตลอดเรื่องนั้นสูญเปล่าหมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่อะไรเลย ประเทศที่หลอกได้กระทั่งประชาชนให้ไปตายด้วยคำพูดสวยหรูนั้นช่างเลวร้ายจนไม่อาจจะแสดงคำพูดได้ออกมาได้ ฟูจิโมโต้ได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า

เขาจะต้องหนีไปจากประเทศเฮงซวยนี้ให้ได้

                แต่ที่เขาได้รู้ก็คือ จุดสำคัญที่ทำให้ระบอบเผด็จการทางความคิด ห้ามคิด ห้ามสงสัย ห้ามพูด ห้ามถาม นี้รุ่งเรืองได้นั้นไม่ได้มาจากกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของรัฐ แต่มาจากประชาชนตาดำ ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี่ล่ะ

                 เพราะแทนที่จะกำหนดชีวิตด้วยตัวเอง แต่กลับมานั่งรอให้ใครสักคนกำหนดชีวิตตัวเอง แค่เขายื่นเนื้อปลอมมาให้คุณกลับยื่นมือคว้ามันไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ได้ครุ่นคิดหรือทำอะไรทั้งนั้น

                 “ทำไมถึงไม่พยายามหาความสุขด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้ได้แล้วแท้ ๆ หรือว่าขอเพียงไม่ต้องแบกรับความผิดชอบ จะตายก็ไม่เสียดาย ถ้าอย่างนั้นจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน ชีวิตที่ไม่มีความรับผิดชอบกับการคงอยู่ของตนเอง มันคือ คุณค่าของชีวิตตรงไหนกัน”

              “แบบนั้นมันก็คือ ตายไปตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำไป”

                 และฟูจิโมโต้ก็หาทางจะหนีออกไปจากประเทศที่ประชาชนหลงมัวเมาจนไม่อาจจะตาสว่างได้อีกต่อไปด้วยการหนีขึ้นเรือลำสุดท้ายที่กำลังหนีออกจากท่าพร้อมคุโบะ นานาโกะ หญิงสาวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าเช่นเดียวกับเขาและถูกจับไปก่อนหน้านี้พร้อมกับโดนล้างสมองจนหมด

                ทว่าเขาก็พบว่า ตัวของเขาถูกซ้อนแผนเอาไว้ให้ถูกจับโดยหน่วยงานนี้นั้นเอง แม้แต่คุโบะ นานาโกะเองก็กลายเป็นพวกเดียวกันพวกนั้นไปแล้ว เธอชักปืนขึ้นและสั่งให้ฟูจิโมโต้ลงจากเรือไป และเขากำลังถูกยิงหากไม่ลงไปจากเรือที่กำลังจะหนีไปลำนี้

                ทว่าเขาเลือกจะถูกยิงตายดีกว่าต้องกลับไปที่ประเทศนั้น

                “ถ้าต้องมีชีวิตต่อจากนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ ผมอยากตายแบบรวบรัดเช่นเดียวกับพวกเขาที่ได้รับอิคิงามิ เพราะฉะนั้นช่วยฆ่าผมที”

                ฉากนี้จึงสะท้อนภาพของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงได้อย่างน่าทึ่งและน่าขนลุกเพราะ การจะเป็นมนุษย์ได้นั้นนอกจากจะต้องมีจิตใจแล้วจะต้องมีอิสรภาพด้วย การตายคือ หนึ่งในเสรีภาพที่มนุษย์สามารถเลือกได้ หากไม่สามารถเลือกได้กระทั่งการตายล่ะก็นั้นก็ไม่ใช่เสรีภาพหรือคุณค่าชีวิตที่แท้จริง อิคิงามิเป็นเพียงกฎหมายอันแสนป่าเถื่อนที่ขโมยเสรีภาพไปจากเราเท่านั้นเอง เสรีภาพคือสิ่งที่มนุษย์พึ่งต้องมี เราคิดว่า เราทุกวันนี้มีเสรีภาพจริง ๆ แล้วหรือ หรือเพียงแต่หลอกตัวเองว่ามีเสรีภาพกันแน่ เราสามารถตั้งคำถามในบางเรื่องได้หรือไม่ เราสามารถถามถึงสิ่งที่สงสัยได้โดยไม่ถูกจับได้หรือไม่ เราสามารถค้นหาความจริงที่ถูกเก็บไว้ในประวัติศาสตร์ได้หรือไม่ เราสามารถลบล้างสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้หรือไม่

               ที่จริงผมเคยได้ยินคนเคยพูดว่า ประชาธิปไตยมันเหลวไหล ไม่มีหรอกประชาธิปไตย และพยายามแช่แข็งประเทศ บางคนก็พูดว่า จะระบอบไหนฉันก็อยู่ได้ทั้งนั้นอย่างไม่สะทกสะท้านทั้ง ๆ ที่พวกเขาควรจะถามตัวเองว่า พวกเขาถูกละเมิดสิทธิอะไรเลยเหรอ

                หรือว่าหลงมัวเมาหน้ามืดกันไปหมดประเทศแล้วกันแน่

                มีชีวิตอยู่หรือถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่

                เป็นมนุษย์หรือซากคนที่มีชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่สนใจกระทั่งรู้ว่า ตัวเองถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอะไรไปบ้าง  แน่นอนพวกเขาไม่สนใจเพราะ พวกเขาไม่เคยรู้ว่า พวกเขามีสิทธิอะไรบ้างนั้นเอง

                ดังนั้นหากจะพูดถึงอิคิงามิแล้วมันคงเป็นกฎหมายพิเศษบางอย่างที่ใช้ขึ้นเพื่อผดุงอะไรสักอย่างเอาไว้ไม่ให้เสื่อมโดยใช้ความกลัวของผู้คนเป็นตัวตั้งนั้นเอง ซึ่งหลายประเทศนั้นก็มีกฎหมายในลักษณะนี้มากมายราวกับถอดเอาไว้คล้ายคลึงกันเสียอีก

ซึ่งหากจะหาคำพูดใดที่บรรยายถึงคุณค่าของเสรีภาพได้ คงเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนจบของฟูจิโมโต้ที่ว่า

                “ ประเทศที่ไม่มีทั้งสงคราม และ กฎหมายป่าเถื่อน  ถ้าเป็นญี่ปุ่นล่ะก็ต้องมีความสุขได้แน่ เพราะประเทศนั้นน่าจะให้ความสำคัญกับชีวิตของมนุษย์”

                แม้อาจจะดูสิ้นหวังแต่ก็มีความหวังรอคอยอยู่ที่ฟากทางนู้น ฟากแห่งเสรีภาพรอคอยทั้งสองคนอยู่ที่นั้น

 

ป.ล. หาซื้อหนังสือการ์ตูน อิคิงามิ สาส์นสั่งตายได้ที่ร้านหนังสือการ์ตูนชั้นนำทั่วไปครับ 10 เล่มจบ นี่เป็นการ์ตูนชั้นยอดขึ้นหิ้งต่อไปในอีกไม่นานนี้ครับ ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ