Only God Forgives : โลกใบที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นสถานที่ที่สวยงามและคุ้มค่าที่จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

        สิ่งที่ควรพึงระลึกก่อนจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้มีอยู่สองสามข้อ อย่างก็คือ จงพึงระลึกไว้ว่า นี่ไม่ใช่หนังเพื่อความบันเทิง ข้อที่สองสารในหนังเรื่องนี้ไม่มีความแปลกใหม่ มันถูกเล่าซ้ำ ๆ มานับครั้งไม่ถ้วนในโลกภาพยนตร์แห่งนี้ และ ข้อสุดท้ายก็คือ จงพึงระลึกไว้เสมอว่า โลกนี้ไม่มีความดีที่แท้ ความชั่วที่บริสุทธิ์ก็เหมือนกัน

          ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาด้านเกษตร เราส่งข้าวออกขาย เป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเป็นอันดับหนึ่ง มีหนังไทยชื่อดังที่คนรู้จักกันดีอย่าง องค์บาก มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศนี้มากมาย แต่สิ่งที่ประเทศไทยไม่เคยยอมรับก็คือ ประเทศไทยนั่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องยาเสพติด การพนัน ธุรกิจมืดอย่างการค้ามนุษย์ ค้ากามและอื่น ๆ มากมายจนเรียกได้ว่า นี่อาจจะเป็นหน้าตาหนึ่งที่มักจะปรากฏในหนังฝรั่งที่มาถ่ายในประเทศไทย หรือ กระทั่งหนังไทยหากจะพูดถึงด้านมืดที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองไทยแห่งนี้

          เรื่องราวของ Only God Forgives นั้นเกิดขึ้นในกรุงเทพ ณ ค่ายมวยแห่งหนึ่งของ จูเลี่ยน (ไรอัน กอสลิ่ง) กับบิลลี่ พี่ชายของเขาที่เดินทางจากประเทศของเขา เพื่อมาเปิดค่ายมวย ณ ประเทศไทยแห่งนี้ แต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงฉากบังหน้า เขาต้องการจะใช้มันเพื่อเป็นสถานที่ปล่อยยาเสพติดของพวกเขา ธุรกิจทั้งหมดไปได้เรื่อย ๆ กระทั่งวันหนึ่ง บิลลี่ พี่ชายของจูเลี่ยนถูกฆ่าตายหลังจากที่เขาพึ่งสังหารโสเภณีเด็กคนหนึ่งตาย การตายของเขานั่นเกิดขึ้นโดยมีชายที่ถูกเรียกว่า ท่าน ผู้ซึ่งทำหน้าที่ในการพิพากษาเหล่าคนเลวผ่านดาบของเขาอย่างโหดเหี้ยม ซึ่ง “ท่าน” ผู้นี้เองก็มีความเกี่ยวข้องกับตำรวจในท้องที่แห่งนี้อีกด้วย การตายของบิลลี่ทำให้ แม่ของจูเลี่ยนเดินทางมาที่ประเทศนี้เพื่อสะสางศพของลูกชายและธุรกิจให้เรียบร้อยร่วมทั้งการล้างแค้นให้กับบิลลี่ด้วย นั่นเองที่ส่งผลให้เกิดสงครามล้างแค้นกันระหว่างแม่และท่านผู้นั้นโดยมีจูเลี่ยนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

          หากพิจารณาจากโครงเรื่องและสิ่งที่เกิดขึ้นเราสามารถจัดหนังเรื่องนี้ลงไปในหนังประเภท ล้างแค้น แบบที่ฮอลลีวู้ดชอบทำได้โดยขัดเขิน ทว่า ทั้งรูปแบบการถ่ายทำและเรื่องราวนั้นน่าจะพูดว่า หนังเรื่องนี้เองก็สามารถจัดลงไปในหมวดหมู่ของหนังสยองขวัญได้อย่างไม่ขัดเขิน

          หากเรานั่งชมหนังเรื่องนี้จะรู้สึกได้ถึงความอ้อยอิ่งของหนังที่เกิดขึ้น ทั้งการจัดแสงสีไฟจัด ๆ จนรู้สึกอึดอัด การเคลื่อนกล้องที่ค่อยเคลื่อนมันไปอย่างช้า ๆ อย่างใจเย็น ราวกับหลุดมาจากหนังของ ดาริโอ้ อาร์เจนโต้ยังไงยังงั้น

ภาพจากหนังของดาริโอ้ อาร์เจนโต้ เรื่อง Suspiria จะเน้นสีจัดจ้านโทนแดงจนรู้สึกเหมือนหลงอยู่ในฝันร้าย

          จะว่าไปก็อย่างที่ผู้กำกับสัมภาษณ์ว่า เขาอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นเสมือนฝันร้ายที่ขั้วตรงข้ามกับ Drive (ขับดิบขับเดือดขับดุ)

          แน่นอนว่า บรรยากาศของหนังแบบนี้ช่วยขับเน้นความเป็นฝันร้ายของเรื่องราวได้ชัดเจนอย่างดี ไม่ต่างกับหนังสยองขวัญของอาร์เจนโต้ที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้ายอย่างไงอย่างงั้น

          ความโดดเด่นที่มักจะเห็นในหนังของอาร์เจนโต้นั้นก็คือ บรรยากาศรอบข้างที่ดูไม่น่าไว้ใจ การจัดแสงฉูดฉาดชวนอึดอัด การเคลื่อนกล้องแบบช้า ๆ รวมทั้งการใส่เพลงชวนขนลุกลงไป ทำให้เราเห็นได้ว่า หนังลอกบรรยากาศจากหนังสยองขวัญของอาร์เจนโต้มาใช้ได้ลงตัวในหนังเรื่องนี้ดีเหมือนกัน

          แต่นอกเหนือจากบรรยากาศของหนังแล้ว Only God Forgives ยังหยิบยืมประเด็นเรื่องราว คาแรคเตอร์มาจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในอดีต จนมองหาความสดใหม่ไม่ได้แล้ว แต่ก็น่าแปลกที่มันสามารถวิ่งไปตั้งคำถามให้เราได้สนใจได้ในหลากหลายมุม

                คล้ายมันถามเรากลับว่า โลกใบนี้เองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย        

1.     ความสัมพันธ์ของจูเลี่ยนและแม่

             หากจะนิยามตัวละครของจูเลี่ยนด้วยตัวละครใดสักตัวในโลกภาพยนตร์ ผมจะนึกถึงตัวละครฆาตกรโรคจิตคลาสสิคอย่าง นอร์แมน เบทส์ จากเรื่อง Psycho ได้อย่างไม่ขัดเขิน เพราะนี่คือ ตัวละครที่สับสนในความเป็นปีศาจของตัวเองกับด้านมนุษย์ของตัวเองได้น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะปมเรื่อง เอดิเพิส * ที่แผ่ขยายออกมาจนแทบคลอบคลุมเรื่องมันทั้งเรื่อง สิ่งที่เราได้รับรู้เกี่ยวกับจูเลี่ยนก็คือ เขาเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลที่ชีวิตของเขาถูกบดบังด้วยรัศมีของพี่ชายมาโดยตลอด อีกทั้งพี่ชายยังได้รับความสนใจจากแม่มากกว่าตัวเองส่งผลให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ การตายของพี่ชายจึงเสมือนการปลดปล่อยตัวเองให้หลุดจากเงาของบิลลี่ เขาพยายามจะทำทุกอย่างให้แม่หันมารัก แม้กระทั่งไปท้าตีต่อยกับท่านผู้นั้นจนแพ้แบบราบคาบด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพียงแค่ว่า อยากจะให้แม่เห็นค่าในตัวของเขามากก็แค่นั้นเอง

             สิ่งที่เรารับรู้จากปากคำของแม่ก็คือ จูเลี่ยนฆ่าพ่อของตัวเองแล้วหนีมาอยู่ที่ประเทศนี้ เขาเกลียดพี่ชายเพราะ คิดว่า เขามีอะไรกับแม่ นั่นทำให้เขาอิจฉาบิลลี่ สิ่งที่แม่พูดออกมานั้นย่อมแสดงให้เห็นความด้อยค่าในมุมมองของจูเลี่ยน เขาอาจจะไม่ได้คิดว่า พี่ชายมีอะไรกับแม่ของตัวเอง เขาก็แค่อยากจะให้แม่หันมาให้ความสำคัญเขาบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็บิลลี่ บิลลี่ แม้กระทั่งตายแล้วยังเอ่ยถึง

             ใครก็น้อยใจจริงไหมครับ

             แน่นอนว่า ตัวละคร แม่ ที่ นำแสดงโดย คริสตีน สก็อต โทมัส นั้นเป็นแม่ที่ทำลายชีวิตลูกตัวเอง จนสามารถจัดเธอลงไปในตัวละครแม่ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกภาพยนตร์คนอื่นได้แก่ แม่ของนอร์แมน เบทส์ , พาเมล่า วอร์ฮีย์ , หรือกระทั่งแม่ของไมเคิ่ล ไมเออร์ เอง ที่แม่ทั้งหลายเหล่านี้ทำลายชีวิตลูกจนราบคาบส่งผลให้พวกเขากลายเป็นฆาตกรโรคจิตที่โด่งดังที่สุดในกาลต่อมา

             แน่นอนว่า แม่ ของ จูเลี่ยน ไม่พอใจความเป็นคนที่มีความผิดชอบชั่วดีของเขา (เราจะเห็นความขั้วตรงข้ามของบิลลี่และจูเลี่ยนได้ชัดเจนมาก) เธอยกตัวอย่างว่า ถ้าเป็นจูเลี่ยนถูกฆ่าตาย บิลลี่จะออกไล่ล่าแก้แค้นให้เขา แต่สิ่งที่จูเลี่ยนทำคือนิ่งเฉยและปล่อยคนฆ่าไปจนทำให้แม่ต้องส่งคนไปไล่ฆ่าเองภายหลัง นี่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสำนึกผิดชอบที่จูเลี่ยนมีและแตกต่างกับบิลลี่อย่างชัดแจ้ง

             แม้ว่า จูเลี่ยนจะพยายามชั่ว พยายามเป็นแบบบิลลี่อย่างที่แม่ของเขาต้องการ

              You Wanna Fight

              เมื่อจูเลี่ยนเอ่ยคำนี้แก่ท่านผู้นั้น เปรียบเสมือนต้องการจะโชว์ให้แม่ของเขาเห็น ถ้าเขาเอาชนะท่านผู้นั้นได้ แม่จะต้องมารักเขา แม่จะต้องภูมิใจในตัวเขา โดยที่เขาไม่รู้ว่า เขาทำพลาด ท่านผู้นำแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะเอาชนะได้ ภาพของเขาที่ถูกซัดปางตายต่อหน้าใหม่ และ แม่ เขาบ่งบอกถึงความน่าผิดหวัง และ บอกว่า สุดท้ายแล้ว จูเลี่ยนก็ไม่อาจจะเป็นบิลลี่ที่แม่รักได้

             ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจในช่วงท้ายที่จูเลี่ยนได้เห็นร่างอันไร้วิญญาณของแม่ที่นอนตายอยู่ด้วยฝีมือของท่านผู้นั้น เขาหยิบดาบขึ้นมาผ่าท้องเธอออกแล้วเอามือล้วงเข้าในท้องของเธอเพื่อสัมผัสความอบอุ่นของแม่ที่เขาควรจะได้รับ แต่สิ่งที่เขารับรู้ก็คือ ร่างอันเย็นไร้ซึ่งความอบอุ่นที่ได้ตอกย้ำให้เขารู้ว่า

             แม่ที่เขาอยากจะได้ความรักจากเธอคนนี้นั้น

              เธอไม่เคยรักเขาเลย

               ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะเลือกให้ช้างตัดมือของเขา ด้วยเหตุผลว่า เมื่อความอบอุ่นที่เขาใฝ่ฝันได้จางหายไปแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มือนั่นสัมผัสไออุ่นอีกต่อไป

2.     ความสัมพันธ์ของจูเลี่ยนและใหม่

                ใหม่ (ญาญ่าญิ่ง) เป็นสาวที่ทำงานอยู่คาราโอเกะที่จูเลี่ยนชอบแวะไปหา ความสัมพันธ์ของพวกเขาเรียกได้ ประหลาด ทั้งคู่คบหากันมาได้สักพักแต่ในความสัมพันธ์ที่ประหลาด จูเลี่ยนไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดกับใหม่ (สิ่งที่เรียกได้ว่า การซื้อบริการก็คือ การที่เขาให้ใหม่ช่วยตัวเองต่อหน้าเขา โดยที่เขาถูกมัดไว้บนโต๊ะดูเธอทำแบบนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์)

               ปฏิกิริยาแบบนั้นทำให้ใหม่ไม่พอใจ แต่สิ่งที่เราได้รับรู้ก็คือ จูเลี่ยนไม่ได้สนใจใหม่ในฐานะคนรักเลย การให้เธอไปเปิดตัวในฐานะแฟนต่อแม่เขานั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาไม่จำเป็นต้องสนใจแม่ของเขา แต่ทว่านั้นยิ่งขับเน้นให้เห็นว่า เขายังไม่อาจจะรอดพ้นไปจากแม่ได้ ใหม่เป็นเพียงของฆ่าเวลาที่เขาใช้เธอทดแทนแม่ที่เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่ของเขาเลย

3.     ท่านผู้นั้น

                ความโดดเด่นอย่างที่สุดของหนังเรื่องนี้ย่อมหนีไม่พ้นตัวละครปริศนาอย่าง ช้าง (วิทยา ปานศรีงาม) ตัวละครชายวัยกลางคนที่ดูท่าจะเป็นตำรวจ หรือ มีความเกี่ยวข้องกับตำรวจ และพวกตำรวจยังต้องกราบไหว้ (ยศอาจจะสูงกว่า) ชายคนนี้ทำหน้าที่เป็นเสมือนศาลเตี้ยที่ใช้ดาบไทยสังหารคนที่ทำผิดอย่างไร้ความปราณี ชายคนนี้คือคนที่แม่และจูเลี่ยนจะต้องเอาคืน ทว่ายิ่งเอาคืนพวกเขาก็ต้องพบว่า พวกเขาพลาดที่ไปเล่นกับชายคนนี้เสียแล้ว

                แน่นอนว่า บทบาทของตัวละครตัวนี้ดูประหลาดและไม่เข้าใจว่า เขาคืออะไรกันแน่ แต่เราสามารถมองในมุมทางการเมืองได้น่าตกใจว่า ชายคนนี้มีสถานะง่าย ๆ ว่า  อำนาจพิเศษ

                 อำนาจพิเศษที่ว่านี้ เป็นอำนาจที่เหลือล้นเกินกฎหมาย (เพราะผู้รักษากฎหมายยังอยู่ข้างเขา) ไม่มีใครกล้าหือกล้าแตะต้องชายคนนี้ ผู้คนที่เห็นเขามาเยือนย่อมรับรู้ว่า พวกเขาจะต้องชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ในบัดดล

                   แน่นอนว่า ตัวละครตัวนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพื้นฐานทางศาสนาพุทธว่า ด้วย กรรมเวร บางทีตัวละครอย่างช้างอาจจะทดแทนว่า เป็น ยมบาล ที่มาพิพากษาคนชั่วในเชิงหลักทางพุทธก็ได้เหมือนกัน

                    แต่

                  ในเชิงการเมือง ช้าง มีอำนาจทดแทนสิ่งที่เรียกว่า อำนาจพิเศษ อำนาจเหนือกฎหมาย ที่ทำอะไรก็ไม่ผิด ใครเองก็ทำอะไรไม่ได้ และที่สำคัญไม่มีใครคิดสู้หรือต่อต้านเขาได้เลยสักคน

                  แน่นอนว่า วิถีชีวิตของชายคนนี้ก็ดูค่อนข้างเรียบง่าย เขาใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวเพียงลำพัง และเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องออกไปไล่ล่าพิพากษาคน เขาจึงจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลลูกสาวของเขา

                  และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ คำพูดของเขาที่คุยกับลูกที่กำลังเล่นตุ๊กตาเกี่ยวกับงานของเขาว่า

                  จะแน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้าปล่อยพวกมันไป พวกนั้นจะไม่ทำผิดอีก

                   คำพูดนี้ทำให้เราฉุกใจแล้วอยากจะถามแกย้อนกลับว่า

                   ท่านเอาอะไรมาตัดสินว่า ใครผิดถูก กันแน่

                    ตัวของท่านเองเราก็ยังตัดสินไม่ได้ว่า ท่านคือคนดีที่ว่านั้นจริง ๆ หรือไม่

                    แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นก็คงไม่พ้นหลังจากที่ทำการลงโทษทัณฑ์แด่คนที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ท่านผู้นั้นคนนี้ก็กลับไปร้องคาราโอเกะอย่างสบายใจใจเฉิบท่ามกลางสายตาของตำรวจในร้านที่มองด้วยสายตานิ่งเฉยราวกับหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก

                   หรือเพราะว่า มันเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยครั้ง จนชินชาไปแล้วกันแน่

4.     ประเทศไทย

                  หากจะพูดถึงประเทศไทยในหนังเรื่องนี้แล้วล่ะก็ มันแทบไม่มีความแตกต่างจากหนังฝรั่งหลายเรื่องที่มองภาพประเทศไทยนัก ประเทศไทยในสายตาของฝรั่งนั้นแตกต่างกับสายตาของคนไทยโดยสิ้นเชิง มันเป็นประเทศที่เด่นดังเรื่องคนบาป ธุรกิจมืดมน และที่ฟอกตัวของเหล่าอาชญากรข้ามประเทศ ประเทศนี้ซื้อขายยาเสพติดง่ายเหมือนขายข้าวแกง เดินไปทางไหนมีแต่ธุรกิจโสเภณี ค้ามนุษย์ไปทั่ว ศาสนาเป็นเพียงธุรกิจ การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ ประเทศนี้จึงไม่ได้แต่สีขาวหรือดำ

                 เหมือนที่ตัวละครในเรื่องเองก็ไม่มีใครเป็นสีขาวหรือดำ ไม่มีใครดีหรือชั่วชัดเจน จูเลี่ยนอาจจะเป็นคนดี แต่เขาเป็นอาชญากรที่หนีคดีมาอยู่ในประเทศนี้และค้ายาเสพติด ช้างอาจจะฆ่าคนชั่ว แต่เขาเองก็เป็นคนชั่วที่ทำบาปกรรมสังหารคนอื่น หรือ กระทั่งแม่ของจูเลี่ยนก็มีแง่มุมสีขาวให้ได้เห็นในเรื่องความรักที่มีต่อลูกคนหนึ่ง แต่ไม่มีกับคนหนึ่ง

               รวมแล้วพวกเขาล้วนแต่เป็นสีเทา

              เหมือนเช่นประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ประเทศที่มีแต่ความดีงาม หรือ ชั่วร้ายสุดขีดเหมือนกัน

               ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่า หากจะมีอำนาจพิเศษอย่าง ช้าง ที่คอยไล่ฆ่าคน ตัดสินคน โดยไม่ผ่านกระบวนการหาความผิดแบบศาลเตี้ยอยู่ ที่สำคัญแม้แต่กฎหมายก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย

               แต่ผู้คนก็จำใจยอมรับโดยไม่ขัดขืน

               และดูเหมือนผู้คนจะชินชากันไปแล้ว

              มันเป็นเรื่องปกติของประเทศนี้ หรือ เพราะฝรั่งที่ทำหนังเรื่องนี้มองว่า มันผิดปกติกันแน่ กับการที่เรายอมให้อำนาจพิเศษพวกนี้เข้าทำอะไรก็ได้โดยที่เราไม่คิดแม้แต่จะท้าทายมันแบบในชื่้อเรื่อง             

                ดังนั้นประเทศไทยในหนังเรื่องนี้จึงเป็นประเทศที่ไม่ได้สวยงามราวกับอยู่บนสวรรค์ หรือเลวร้ายราวกับหลุดมาจากขุมนรก แต่เป็นประเทศที่ความชั่วร้ายและความดีปะปนกันอยู่อย่างไม่อาจจะแยกออกจากกันได้

                มีคำพูดของนักสืบคนหนึ่งกล่าวว่า  โลกใบที่เราอาศัยอยู่นี้-เป็นสถานที่ที่สวยงามและคุ้มค่าที่จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ผมเห็นด้วยแค่ประโยคหลัง

             ไม่ต่างกับประเทศนี้ที่ผมเห็นด้วยแค่ประโยคหลังเหมือนกัน

 

        * เอดิเพิส เป็นทฤษฏีทางจิตวิทยาของ นายแพทย์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่มีหลักทฤษฏีที่พูดด้วยภาษาง่าย ๆ ว่า รักแม่เกลียดพ่อ กล่าวคือ เมื่อเด็กชายโตขึ้นประมาณ 3-5 ปีจะมีอาการแสดงความหึงหวงและมีปฏิกิริยาต่อแม่ของตัวเอง เขาจะมีลักษณะที่เกลียดแค้น ชิงชัง พ่อของตัวเอง และต้องการที่จะมาแทนที่ในตำแหน่งแทนพ่อ และเด็กจะมีการเลียนแบบ คำพูด การกระทำของพ่อ เพราะคาดหวังจะมาแทนพ่อและจะได้ใช้ชีวิตกับแม่ไปตลอด ซึ่งในเชิงจิตวิทยาอาการแบบนี้จะหายไปเองเมื่อโตแล้ว ซึ่งตัวละครในโลกภาพยนตร์ที่มีปมนี้ชัดแจ้งก็ได้แก่ นอร์แมน เบทส์ จาก Psycho , ไมเคิ่ล ไมเออร์ จาก Halloween  จาค๊อป จาก See No Evil หรือ เจสัน จาก Friday 13th ก็เป็นพวกที่มีปมเอดิเพสในตัวเหมือนกัน 

 

 

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ บทความภาพยนตร์ หนังสือ อนิเมชั่นได้ที่ แฟนเพจ จิบชารับลมกับมิสเตอร์อเมริกัน


https://www.facebook.com/amarica2029?ref=hl

ธี่หยด : พลังอำนาจน่าสะพรึงของ Folk Horror

ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ

สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน

สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน

 

          “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”

บักมืด

 

คุณเอล์ฟโอตาคุ : นี่คือ อนิเมชั่นที่อยากให้รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมคนใหม่ได้ชม

                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย ที่เป็นเสมือนการเริ่มต้นคณะรัฐมนตรีช

เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ : แสงสว่างของไอดอลและความมืดมิดของชีวิต

            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมาในตอน

Bocchi the rock : บทเพลงร็อคแด่คนขี้แพ้

                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง

                  กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด

                  ทำยังไงดี เสียงหัวใจดุร้ายอาละวาดไม่หยุดหย่อน