Skip to main content

         ณ เมืองเล็ก แห่งหนึ่งทางทิศใต้ของอเมริกา มันเป็นเมืองเล็กที่แสนสงบสุข ผู้คนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้การดูแลของนายอำเภอและทีมงานของเขา ทว่า ความสงบสุขกำลังถูกทำลายลงเมื่อผู้ร้ายหนีตารางกำลังขับรถยนต์ที่มีความเร็วสูงมุ่งหน้ามาทางเมืองนี้ ท่ามกลาซากศพของคนที่เขาและพรรคพวกได้ฆ่าตายเพื่อฝ่ามาที่นี่ และดูเหมือนจะไม่มีใครหยุดเขาได้ ยกเว้นเพียง นายอำเภอแก่ คนหนึ่งที่ยืนหยัดหาญกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อจับตัวเขา ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เมืองแต่เพื่อปกป้องกฎหมาย สงครามครั้งใหญ่ในเมืองเล็ก แห่งนี้กำลังเริ่มต้นขึ้น

          แน่นอนว่า โครงเรื่องที่ผมเล่ามานั้นเป็นเรื่องราวของหนังแอ็คชั่นที่เป็นเสมือนการกลับมาอีกครั้งของ คนเหล็ก อาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ หลังจากไปลงเล่นการเมืองหลายปี และเมื่อกลับเขาเลือกจะเล่นหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ ที่ได้กลายเป็นเหมือนความล้มเหลวเมื่อหนังเก็บไปได้ไม่นานนัก สวนทางกับคุณภาพของหนังที่อยู่ในขั้นยอดเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่มองจากปกเผิน ๆ แล้วมันน่าจะเป็นเพียง หนังแอ็คชั่นดาด ๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นหนังแอ็คชั่นที่แปลกรสเสียเหลือเกินด้วยฝีมือของผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า  คิมจีวุน ที่ขึ้นฝั่งฮอลลีวู้ดด้วยการกำกับหนังเรื่องนี้ออกมาได้แตกต่างจากหนังแอ็คชั่นหลายเรื่องในชีวิตของอาร์โนลด์คนเหล็กคนนี้เสียเหลือเกิน

          ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้สามารถสาดกระสุนยิงใส่แบบไม่ยั้งด้วยความที่มันออกแบบในสภาพหนังประเภทข้าเก่งคนเดียวแบบที่ หนังฮอลลีวู้ดยุค 80 คุ้นชิน แต่คิมจีวุนกลับเลือกจะทำหนังเรื่องนี้ในรูปแบบเดียวกับที่เขาทำกับหนังเรื่องอื่น ๆ มาแล้วนั้นก็คือ

           การเล่าเรื่องประดุจเทพนิยาย

           ส่งผลให้หนังของเขามีสภาพเป็นเทพนิยายมากกว่าหนังเสียอีก

           เทพนิยายของคิมจีวุนมักจะมีตัวละครที่เป็นเสมือนตัวเอกของนิยายที่บ่อยครั้ง เขานำมาจากตำนานบ้าง นิทานบ้าง เรื่องเล่าบ้างปะปนกันไป แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเสมอนั่นก็คือ การใช้เทพนิยายตั้งคำถามต่อมนุษย์เดินดินที่มีตัวตนจริง ๆ ที่ล้วนมีแต่ความเจ็บปวดในจิตใจ

            ประดุจดั่งคำพูดที่ว่า นิทานย่อมเป็นภาพสะท้อนถึงจิตใจที่บิดเบี้ยวของมนุษย์

            และนี่คือบันทึกอันว่าด้วยเหล่านิทานและมนุษย์ที่แสนบิดเบี้ยวในหนังของคิมจีวุน

1.     A Tale of Two sister (ตู้ซ่อนผี)

            สองพี่น้องซูมีและซูหยวนเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด หลังจากหายไปนาน พวกเธอเป็นสองพี่น้องรักกันมาก ในบ้านหลังนี้จนกระทั่งแม่ของเธอเสียชีวิตไปและพ่อนำแม่ใหม่เข้ามาในบ้านส่งผลให้เกิดสงครามเย็นขึ้นจนพวกเธอต้องออกจากบ้านไป กระทั่งปัจจุบันทั้งคู่ก็ยังเปิดศึกกันอย่างต่อเนื่องจนพ่อของพวกเธอเอือมระอาลงทุกที ซูหยวนนั้นรู้สึกกลัวตู้เสื้อผ้าในห้องของเธอมากจนบอกให้พี่สาวให้บอกพ่อให้เอาออกไป แต่พ่อของเธอก้ไม่รับฟังจนกระทั่งทุกอย่างระเบิดขึ้น เมื่อแม่เลี้ยงลากบางอย่างออกมาจากตู้พร้อมกับเลือด ซูหยวนหายตัวไปด้วย ซูมีจึงต้องสู้กับแม่เลี้ยงที่อาจจะกำลังจะฆ่าพวกเธอก็ได้

โดยไม่รู้ว่า ความลับบางอย่างในอดีตกำลังถูกเปิดออกมาอีกครั้ง

                 หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิทานโบราณของเกาหลีเรื่อง จังหวา และ โฮงเรียน ซึ่งบอกเล่าเรื่องสองพี่น้องที่ถูกแม่เลี้ยงทำร้ายจนตาย และกลายเป็นวิญญาณมาหลอกหลอนแม่เลี้ยง โดยคิม จี วุน ได้ใส่ประเด็นเชิงจิตวิทยาเอาไว้ในหนังจนเรียกได้ว่า นี่คือ หนังที่หักมุมจนหัวทิ่มชนิดหลายคนเอาไปเทียบกับหนังหักมุมในตำนานอย่าง The Six Sense หรือ The Other ได้ และหนังเรื่องนี้และที่ทำให้คนรู้จักชื่อของคิม จี วุน ก่อนจะมาโด่งดังสุดขีดกับหนังสุดโฉดอย่าง I Saw The Devil ในภายหลัง

                   ถ้าถามว่าใครคือมนุษย์ผู้แสนบิดเบี้ยวล่ะก็ คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ซูมี

                   ซูมี เป็นพี่สาวผู้แสนเข้มแข็ง ดื้อดึง ผู้แข็งกร้าวไม่ฟังใคร ของ ซูหยวน น้องสาวที่มีบุคลิกอ่อนแอจนถูกแม่เลี้ยงรังแกบ่อย ๆ และเธอจะต้องทำหน้าที่ปกป้องน้องสาวคนนี้ ทว่า สิ่งที่ตัวเธอไม่เคยรู้ก็คือ ซูหยวนที่เธอปกป้องนั้นเป็นเพียงบุคลิกอีกบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในตัวของเธอเท่านั้น

                  แถมที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ซูมียังมีบุคลิกที่สร้างขึ้นในตัวเองอีกสองบุคลิกได้แก่ บุคลิกของแม่เลี้ยง และ บุคลิกแม่ของเธอที่ตายไปแล้วในตัวด้วย

                  ซึ่งตรงแหละที่ทำให้ใครตกใจที่ได้พบว่า ไม่มีผีในเรื่องนี้เลยนอกเสียจากมนุษย์ผู้มีจิตใจผิดปกติเพราะความเจ็บปวดอย่าง ซูมี

                   แล้วมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

                   ซูมีเกิดความผิดปกติขึ้นเมื่อซูหยวน น้องสาวของเธอเสียชีวิตลงเพราะ ตู้เสื้อผ้าหล่นทับโดยไม่มีใครช่วยเหลือ นั่นเองที่ทำให้ซูมีที่เดินออกจากบ้านไปเพราะ ไม่พอใจพ่อที่เอาแม่เลี้ยงหรือภรรยาเข้ามาในบ้านทั้งที่ แม่ของเธอยังไม่ได้ตายเลยเข้ามา ตอนที่รู้ว่าน้องสาวเสียชีวิตนั้นรู้สึกว่า เป็นความผิดของตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวของเธอได้เลย  ซูมีจึงสร้างบุคลิกซูหยวนออกมาเพื่อลบล้างความผิดและความเศร้าเสียใจของเธอออกไป แต่ที่น่าตกใจก็คือ การที่มีบุคลิกของแม่เลี้ยงอยู่ในตัวด้วย ยิ่งทำให้ต้องแปลกใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวคนนี้กันแน่ เธอน่าจะเกลียดแม่เลี้ยงคนนี้ไม่ใช่หรือ

                   แล้วทำไมถึงมีบุคลิกของเธออยู่ในตัวของซูมีกันเล่า

                    แน่นอนว่า ยิ่งเกลียด ยิ่งไม่ชอบหน้าเท่าไหร่ ซูมีก็ยิ่งจดจำความเป็นแม่เลี้ยงได้ดี เธอสร้างจินตนาการขึ้นมาว่า แม่เลี้ยงทำร้ายซูหยวน แม่เลี้ยงเป็นคนไม่ดีต้องแกล้งเธอ นั่นเองที่ทำให้แม่เลี้ยงในบุคลิกของเธอเป็น หญิงสาวที่ฉุนเฉียว โกรธง่าย และทำลายทุบตีน้องสาว(อีกบุคลิกของเธอ) ตลอด เราจึงเห็นบุคลิกของซูมีและแม่เลี้ยงทะเลาะกันเสมอ ๆ

                    และหนักไปกว่านั้นก็คือ บุคลิกของเธอนั้นก้าวเท้าผ่านเลยไปกระทั่งสร้างตัวตนของแม่ขึ้นในตัว ความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อเลยมีลักษณะในเชิงชู้สาว ด้วยบุคลิกของแม่เลี้ยงและแม่ที่อยู่ในตัวได้ทำให้บ่อยครั้งสายตาของซูมีที่มองพ่อของเธอนั้นดูไม่ใข่สายตาของพ่อลูก แต่เป็นหญิงสาวที่มองผู้ชายต่างหาก

                    แน่นอนเราไม่อาจจะฟันธงไปได้ว่า ซูมีมีกี่บุคลิกกันแน่ในตัว แต่ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกใดของซูมีก็ตาม มันย่อมบอกว่า เธอนั้นป่วยทางจิตแบบไม่ต้องให้หมอรักฟันธงได้ด้วยซ้ำ ซึ่งเราสามารถจำแนกออกมาได้ดั่งนี้

                   ซูมี เป็น โรครู้สึกผิดกับตัวเอง และ เป็นอาการทางจิตแบบ อีเร็คตร้าคอมเพล็กซ์ (อาการด้านตรงข้ามของเอดิเพิส ที่เปลี่ยนผู้หญิงที่มีอาการรักพ่อแต่เกลียดแม่)

                    ซูหยวน เป็นโรคซึมเศร้า + รู้สึกตัวเองด้อยค่า + ไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นบุคลิกด้อยที่สุดในตัวของซูมี

                    แม่เลี้ยง เป็นโรคมาโซคิสต์ (โรคชอบทำร้ายตัวเอง) + โรคประสาทที่ทำร้ายคนรอบข้าง

                   แน่นอนว่า หากเราจะจำแนกจิตใจของซูมีเป็นอะไรสักอย่าง มันย่อมเปรียบเสมือนตู้เสื้อผ้าสีดำในห้องของซูหยวนนั้น ซึ่งภายในเก็บซ่อนเสื้อผ้า (อุปมาคือ บุคลิกต่าง ๆ ของเธอ) เอาไว้เพื่อใช้สวมใส่มันเพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดกับอดีตที่แสนปวดร้าว

                    การขังตัวเองลงในตู้เสื้อผ้าของซูหยวน(ซูมี) ก็เปรียบเสมือนการปิดกั่นจิตใจให้หนีจากความจริงไป (นับจากบุคลิกของซูหยวนจะไม่ปรากฏออกมาอีก) เพราะหากวันใดที่ตู้เสื้อผ้านี้ถูกเปิดออกมา ก็เสมือนความลับถูกเปิดออก

                     ทุกอย่างจะพลันสลายไปในทันที

2.     A Bittersweet life 

 

                 หากซูมี คือ หญิงสาวที่จิตใจแตกสลายจนต้องสร้างบุคลิกอื่นขึ้นมาหลีกหนีความเจ็บปวดแล้ว ชายหนุ่มที่ชื่อว่า ซุน วู ก็เป็นชายหนุ่มที่ทุกอย่างพังทลายเมื่อได้พบกับความสุขของชีวิต

                 ชีวิตของซุน วู นั้นเป็นปริศนานอกเสียจากงานที่เขาทำก็คือ การเป็นมือขวาของเจ้านายของเขา และวันหนึ่งเขาก็ได้ภารกิจที่แสนจะง่ายดายนั่นก็คือ การไปทำหน้าที่ติดตาม ภรรยาคนสวยของหัวหน้าแก๊งค์ว่า ชู้หรือไม่ ถ้ามีเขาก็จัดการได้เลย แน่นอนว่า มันน่าจะเป็นภารกิจที่ง่ายดาย ถ้า ซุน วู ดันไม่ได้เกิดหลงรักภรรยาของหัวหน้าแก๊งค์เสียเอง และนั่นทำให้เขาเลือกจะไม่โทรไปรายงานให้เจ้านายรู้เมื่อจับได้ว่า เธอมีชู้จริง และไม่ทำอะไรอีกด้วย แต่นั่นทำให้เขาต้องเสียมือไปข้างและเกือบตาย แต่เขาก็รอดมาได้ ซุน วู จึงพกความแค้นเต็มกระเป๋าบุกไปยังรังของแก๊งค์เพื่อเอาคืนและถามหัวหน้าของเขาว่า ทำกับเขาแบบนี้ทำไม

                  หากจะมองหานิทานที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของ ซุน วู ได้ที่สุดก็คือ นิทานที่เกี่ยวข้องกับหุ่นกระป๋องที่ตามหาหัวใจที่เขาไม่มี

                 แน่นอนว่า ตลอดมาของซุนวูนั้น เขาเป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่รับคำสั่งมาจากหัวหน้าของเขาตลอดมา 7 ปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยถามไม่เคยบ่น ไม่เคยสงสัยใด ๆ นอกจากทำงานของเขาอย่างเต็มที่ จนเราสงสัยว่า ความสุขของเขาอาจจะเป็นการได้รับใช้เจ้านายที่ชุบเลี้ยงเขาจนใหญ่โตราวกับเป็นหมาที่ซื่อสัตย์แบบนี้เสียกระมัง ทว่าสิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือ ตลอดเรื่องนี้ชายคนนี้แทบไม่เคยยิ้มให้เราเห็นเลยนอกจากใบหน้าที่เคร่งเครียดตลอดเวลา ราวกับเตรียมจะไปซัดใครที่ไหนอย่างไร

                 และรอยยิ้มที่เรามองเห็นจากซุนวู ในตอนท้ายก็คือ ตอนที่เขานั่งฟังเพลงที่ภรรยาของเจ้าพ่อขับขานแล้วเขาปล่อยใจไปกับเพลง รอยยิ้มนั้นดูมีความสุขและเป็นรอยยิ้มเดียวที่ชายคนนี้เผยให้เราเห็น

                 นั่นย่อมบอกว่า หุ่นยนต์ไร้หัวใจตัวหนึ่งได้หัวใจมาแล้ว

                 ความรักจึงเปรียบเสมือนหัวใจที่หุ่นยนต์ได้มาเติบเต็มความเป็นมนุษย์ตัวเองโดยสมบูรณ์ ความรักเปรียบเสมือนอิสรภาพที่หุ่นยนต์ตัวนี้ได้รับ เมื่อได้รู้จักกับอิสรภาพแล้วเหตุใดกันเล่า เขาจะกลับไปเป็นฝุ่นใต้ตีนเป็นหุ่นยนต์ไร้หัวใจกันอีกเล่า

            แน่นอนว่า เจ้าพ่อต้องการให้เขาขอโทษและมาเป็นหุ่นยนต์ของเขาอีก แน่นอนว่า ซุน วู ไม่ต้องการเพราะบัดนี้ทุกอย่างมันเลยเทอญไปเรียบร้อยชนิดที่ว่า แก้วที่แตกก็ไม่จะผสานกลับมาได้อีก

          ดั่งที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับจอมยุทธและอาจารย์สองคนที่หนังบอกเล่าในต้นเรื่องและท้ายเรื่องที่เสมือนชีวิตของซุน วู

           คืนหนึ่งอาจารย์เห็นลูกศิษย์ของตนกำลังร้องไห้ในกลางดึก อาจารย์สงสัยจึงถามว่า

            อาจารย์ : ฝันร้ายหรือ

            ศิษย์ : ไม่ ขอรับ

            อาจารย์ : ฝันเศร้าหรือ

            ศิษย์ : ไม่ขอรับ ข้าฝันดี

             อาจารย์ : ฝันดีแล้วร้องไห้ทำไม

            ศิษย์ : เพราะฝันของข้าไม่มีวันเป็นจริง

3.     The Good The Bad The Weird (โหดบ้าล่าดีเดือด)

             ปฏิเสธไม่ได้ว่า สำหรับเด็กผู้ชายทุกคนแล้วย่อมปรารถนาการผจญภัย การเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่มีใครค้นพบ การออกค้นหาขุมทรัพย์ล้ำค่า มีเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับขุมทรัพย์ต่าง ๆ มากมายที่ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากออกเดินทางไปยังทุกภาคส่วนของโลกเพื่อหาความฝันนั้น

              แน่นอนในทะเลทรายโกบีทางตอนเหนือของจีน ได้เกิดการแย่งชิงขุมทรัพย์ใหญ่ขึ้นระหว่างนักล่าสมบัติ นักล่าค้าหัว และมหาโจร ที่ต่างแย่งชิงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในผืนทรายนั้น ในช่วงเวลาที่เกาหลี จีน อยู่ในการปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาที่จะไล่ล่าสิ่งที่ซ่อนอยู่นี้ ใครล่ะจะได้สมบัติไป

               แน่นอนว่า หนังเรื่องนี้ก็เป็นนิทานประเภทความฝันผู้ชายหรือเหล่าปีเตอร์แพนที่ต้องออกเดินทางหาเรื่องเสี่ยงตาย ผจญภัยกันนั่นเอง

               สิ่งที่หนังพยายามจะพูดก็คือ การพูดถึงความรักชาติ

                หนังแสดงให้เห็นถึงการไล่ล่าหาขุมทรัพย์ที่แสนจะไร้แก่นสารของตัวละครทั้งสามตัวที่ต่างไล่ล่ากันอย่างเป็นเอาตาย เพื่อสิ่งที่สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเอาไปใช้ไม่ได้ แม้ว่ามันจะมีค่าแค่ไหนก็ตาม

               สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้นั้นก็คือ น้ำมันดิบน่ะเอง

              หนังสะท้อนภาพให้เห็นว่าตัวละครทั้งสามทิ้งบ้านเกิดเอาไว้แล้วออกเดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการหนีความจริงอันโหดร้าย หนีอดีตของตัวเอง ตามล่าหาคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกเขาแทบจะไม่เคยอะไรจากแผ่นดินของเขาเลย

               และยิ่งเมื่อเราประวัติศาสตร์ว่า ตอนนี้เกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครองไปแล้ว นั้นย่อมบอกว่า ประเทศของเขามันน่าจะมีค่ากว่าการไปวิ่งแย่งชิงสมบัติกันไม่ใช่หรืออย่างไร

               หนังมันจึงสะท้อนให้เห็นถึงความไร้แก่นสารของการล่าสมบัติของชายหนุ่มทั้งสามที่สุดท้ายความโลภ ความแค้น และ ความบ้าของเขาก็ได้ส่งผลให้ชะตากรรมของพวกเขาต้องจบสิ้นลงพร้อมกัน

               พร้อมกับความเศร้าเสียใจที่ทุกสิ่งทุกอย่างเขาได้สูญเปล่าลง

                ท่ามกลางความร้อนระอุของทะเลทรายนี้

4.     I Saw The Devil

                  เคยเขียนถึง I Saw The Devil ไปแล้วในบทความแรก ๆ แต่ขอนำมาเขียนอีกรอบสำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ครับ

                  เอาจริงแล้วเรื่องราวการตามล่าฆาตกรของชายหนุ่มที่สูญเสียภรรยาและลูกในท้องมานี่ก็เป็นเทพนิยายเรื่องหนึ่งได้เช่นกัน เพียงแต่มันเป็นเรื่องเล่าที่เก่าแก่ในศาสนาคริสต์ว่า เมื่อมนุษย์ขายวิญญาณให้ปีศาจร้ายไปแล้ว เขาจะกลายเป็นอะไร

                   คำตอบก็คือ ปีศาจเหมือนกันนั่นเอง

                   แน่นอนยิ่งเกมล่าปีศาจดำเนินต่อไปนานเท่าใด สภาพจิตใจและความเป็นมนุษย์ของนักสืบหนุ่มที่ทำการไล่ล่าฆาตกรคนนี้ก็ยิ่งใกล้เคียงกับปีศาจที่เขาไล่ล่าไปทุกที

                    นั่นเองที่ทำให้ในช่วงท้ายของการไล่ล่าจบลงด้วยความโหดเหี้ยมชนิดที่เขาไม่คิดว่า เขาจะทำได้อย่างการให้ฆาตกรต้องมาตายต่อหน้าต่อตาของพ่อแม่ตัวเอง ขณะที่เขาเองก็สูญเสียทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น

                    แม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ของเขาเอง

                ผลของคนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจนั่นก็คือ การกลายเป็นปีศาจไปแล้วนั่นเอง

                นั่นเองที่ทำให้ฉากสุดท้ายเรียกได้ว่า เป็นฉากที่พีคและปนความสะเทือนใจ เมื่อชายหนุ่มพยายามจะร้องไห้ออกมา แต่เขาไม่สามารถร้องออกมาได้

                 เพราะน้ำตาได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว

5.     The Last Stand

                เรื่องราวของ The Last Stand อาจจะเป็นเพียงหนังแอ็คชั่นดาด ๆ ทั่วไปที่เราเห็นกันจนทั่วของฮอลลีวู้ด ซึ่งเป็นหนังแอ็คชั่นที่อาร์โนลด์เล่นมาเกือบทั้งชีวิต ซึ่งถ้ามันไปอยู่ในมือผู้กำกับคนอื่นมันอาจจะเป็นหนังแอ็คชั่นแบบข้ามาคนเดียวไล่ยิงศัตรูทั้งพ้องราวกับเครื่องจักรสังหาร

                แต่คิมจีวุนกลับเลือกที่จะสร้างหนังแบบนี้ด้วยนิยายแบบตะวันตกอย่างคาวบอยที่บอกเล่าถึงนายอำเภอที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ร้ายที่บุกมายังเมืองของเขาเพื่อรักษากฎหมายและประชาชน และ ใส่ตัวละครสองตัวที่เป็นเสมือนคู่เปรียบเทียบกันลงในเทพนิยายที่ชื่อ ปีเตอร์แพนอีกรอบ

                ตัวละครในเรื่องที่เสมือนเป็นปีเตอร์แพนก็คือ ผู้ช่วยนายอำเภอหนุ่มอย่าง เจอร์รี่ที่รู้สึกว่าการอยู่ในเมืองแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าเบื่อ มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เขาบอกว่า นายอำเภอว่า ความตื่นเต้นเดียวของเขาก็คือ การช่วยแมวที่ปีนต้นไม้แล้วลงไม่ได้ นั่นทำให้เขาอยากจะไปจากเมืองอันสงบสุขนี้ เขาจึงให้นายอำเภอช่วยเหลือฝากเขาไปทำงานในเมืองที่มีเรื่องตื่นเต้นมากกว่านี้

                 ขณะที่นายอำเภออย่าง เรย์ โอเว่น นั้นเป็นเหมือนเป็นด้านกลับของเจอร์รี่ เขาเคยเป็นนักสืบมือดีสุดแกร่งในเมืองและชื่นชอบการไล่จับผู้ร้ายเป็นนิจราวกับเป็นการเล่นของเด็ก ๆ ทว่า หลังจากการสูญเสียลูกน้องมือดีของเขาไปหมดทำให้เรย์ โอเว่นหมดสิ้นสภาพกำลังใจ เขาจึงย้ายตัวเองมาเป็นนายอำเภอเมืองเล็ก ๆ แบบนี้อย่างหมดอาลัยตายยากใช้ชีวิตสงบสุขไป ๆ วันหลังจากที่ปีเตอร์แพนในตัวของเขาตายจากไปพร้อมลูกน้องของเขา เรย์พยายามสอนเจอร์รี่ว่า ในโลกนี้มีบางอย่างมากมายเกินกว่าที่คาดคิด โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว และมันโหดร้ายกว่าที่เจอร์รี่คิด แต่เมื่อเจอร์รี่จะไปจริง ๆ เขาก็ไม่ห้ามและตกลงจะหางานให้เขาในเมืองแทน

                 แต่ทว่าไม่ทันที่เจอร์รี่จะได้ไปผจญภัยในเมือง เขาก็ต้องพบกับความโหดร้ายที่มาเยือนเขาถึงเมืองและพรากชีวิตของเด็กชายที่พึ่งจะรับรู้ว่า

                 โลกภายนอกของเขามันโหดร้ายกว่าที่เขาคาดคิด

                 การตายของเจอร์รี่นี่เองที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เรย์และลูกน้องของเขาลุกขึ้นต่อต้านพวกชั่วที่จะผ่านเมืองของเขาไปยังสุดความสามารถ

                  และเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาไม่อาจจะอยู่เฉยมองดูโลกที่กฎหมายที่ถูกบิดเบี้ยวและใกล้ถูกทำลายนี้ได้

                 พูดง่าย ๆ คือ เขาไม่อาจจะมองดูความชั่วชนะความดีไปโดยที่เขาไม่ลุกขึ้นสู้

                  แต่ถามว่า คนอย่างเขากลัวกับการต่อสู้ครั้งนี้ไหม

                  นั่นคือ คำถามที่ลูกน้องหญิงของเขาถาม หลังจากเดินเข้าไปมองเห็น มือของเรย์สั่นในขณะใส่ลูกปืน เธอถามเขาว่า เขากลัวตายไหม เรย์ตอบแบบไม่ปิดบังว่า เขาเห็นโลกมามาก และ เขากลัวตายยิ่งกว่าพวกเธอเสียอีก ยิ่งบ่งบอกให้เห็นว่า นี่เป็นตัวละครที่ไม่ใช่คนเหล็กหรือยอดมนุษย์แบบเดียวกับที่อาร์โนลด์เคยเล่นมา แต่เป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาที่กลัวตายเป็นเหมือนกันเรา ๆ

                  ยิ่งเรามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งบาดแผลที่เจ็บเต็มตัว อาร์โนลด์ที่ถูกแทง ถูกยิงยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากเอาใจช่วยเขามาก นับว่าเป็นตัวละครที่มีมิติความเป็นคนมากที่สุดของอาร์โนลด์เลย

                  น่าเสียดายที่หนังทำเงินไม่มากนัก สวนกับบทวิจารณ์ที่ค่อนข้างดีและคงไปได้สวยในตลาดดีวีดีที่คนชื่นชอบหนังสไตล์นี้คงให้การต้อนรับการกลับมาของเขาอย่างดี

                  และแล้ววีรบุรุษก็ปกป้องเมืองของเขาได้สำเร็จแม้ว่าจะเจ็บตัวสาหัส แต่มันก็บอกเราว่า เรายังสามารถศรัทธากับความดีได้อยู่

                  แม้ความดีชั่วจะเป็นแค่นิยายเรื่องหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาปลอบประโลมเราจากโลกที่โหดร้ายนี้ก็ตาม

                  นิทานของคิม จี วุน จะยังถูกเล่าขานกันต่อไป

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ