เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมาแฟนภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดทั่วโลกต้องพบกับข่าวเศร้าที่หลายคนต่างไม่คาดคิดว่า จะเกิดขึ้นไวเช่นนี้ นั่นคือ การเสียชีวิตของดาราหนุ่มเจ้าของบท ไบรอัน โอ คอนเนอร์ จากหนังเรื่อง Fast And Furious ทั้ง 6 ภาค และกำลังถ่ายทำภาคที่ 7 กันอยู่ในขณะนี้อย่าง พอล วอล์คเกอร์ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ นับว่าเป็นความสูญเสียที่ทำให้แฟนภาพยนตร์ชุดนี้ทั้งโลกต่างช็อคเพราะ ไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อมีข่าวออกมายืนยันจริง ๆ ทุกคนต่างร่ำไห้กับการจากไปของนักแสดงหนุ่มผู้ที่รักของแฟน ๆ ในบทอดีตเอฟบีไอหนุ่มจอมซิ่งที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเพื่อนพ้องในหนังเรื่องนี้กันหมดใจ ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ต้องขอแสดงความไว้อาลัยชายคนนี้ในบทความนี้ครับ
และเพื่อแสดงถึงการอาลัย บทความวันนี้ผมจะพูดถึงหนังของพอล วอล์คเกอร์สักเรื่องที่เขาได้แสดง ซึ่งหลายคนน่าจะนึกถึงหนังที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักอย่าง Fast And Furious เป็นแน่แท้ แต่สำหรับผมแล้ว หนังที่ทำให้ผมรู้จักชายคนนี้คงไม่มีเรื่องไหนนอกจากหนังระทึกขวัญแนวฆาตกรโรคจิตอย่าง Joy Ride
Joy Ride เป็นผลงานภาพยนตร์แนวสยองขวัญระทึกขวัญที่ออกฉายในปี 2001 ซึ่งเป็นช่วงที่พอลนั้นยังเป็นนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งพึ่งเล่นหนังมาไม่กี่เรื่องเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก แน่นอนว่าการมาเล่นหนังสยองขวัญเรื่องนี้นั้นก็นับได้ว่า เป็นหนึ่งในความเสี่ยงของนักแสดงหนุ่มผู้นี้ที่ต้องการจะสร้างชื่อในวงการหนังเสียที
เพราะมีนักแสดงหลายคนที่แจ้งเกิดจากการเล่นหนังสยองขวัญมากมาย และ พอล ก็หวังจะเป็นหนึ่งในนั้นที่จะประสบความสำเร็จกับหนังสยองบ้างเหมือนกัน
เสียดายหนังเรื่องนี้ไปไม่ถึงดวงดาวครับ ทำเงินไปไม่มาก แต่ก็ได้รับการบทวิจารณ์ที่ดีครับในฐานะหนังสยองขวัญสุดระทึกที่หลายคนพูดถึงกันในด้านการสร้างบรรยากาศชวนระทึกขวัญจนติดตาใครหลายคนกันจนถึงวันนี้ครับ
พอล รับบทเป็น เลวิส โทมัส ชายหนุ่มที่กำลังขับรถออกเดินทางไปรับแฟนที่ต่างเมืองกับพี่ชายจอมปากมากอย่าง ฟูเลอร์ ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างทางที่ยาวไกลและความเบื่อหน่าย ฟูเลอร์เสนอให้เลวิสลองใช้วิทยุที่ติดมาในรถติดต่อใครสักคนเล่น ๆ ดู และพวกเขาก็ติดต่อกับชายขับรถบรรทุกคนหนึ่งนามว่า รัสตี้ เนลล์ เข้าพอดิบพอดี ทั้งสองคนได้หลอกล่อรัสตี้ เนลล์ด้วยเสียงผู้หญิงที่พวกเขาปลอมเสียงเอาด้วยความสนุกสนาน ทว่าความสนุกของพวกเขากำลังจะหมดไป เมื่อรัสตี้ เนลล์ที่ถูกทำให้อับอายได้ออกไล่ล่าพวกเขาด้วยรถบรรทุกคันใหญ่ที่ไล่ล่าตามอย่างกระชันชิด รัสตี้ได้ให้พวกเขาทั้งสามคนเล่นเกมมรณะที่งานนี้แค่ขอโทษก็ไม่จบ
ต้องมีใครสักคนสังเวยชีวิตให้กับชายนิรนามผู้นี้
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ มันคือหนังระทึกขวัญที่มาจากการเขียนบทของผู้กำกับโนเนมในตอนนั้นแต่ขวัญใจของใครต่อใครหลายคนในยุคนี้อย่าง เจ เจ อัมบราฮัม ที่ร่วมมือกับนักเขียนบทอีกคนอย่าง เคย์ เทเลอร์ เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อทำการคารวะหนังระทึกขวัญของผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขาชื่นชอบอย่าง สปีลเบิร์ก ซึ่งได้แก่เรื่อง Duel ที่ก็เป็นผลงานในยุคสร้างชื่อของผู้กำกับฉายาพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดด้วยซ้ำ ด้วยเรื่องของชายที่ดวงซวยเจอรถบรรทุกไล่ล่า แม้ว่าจะเป็นหนังทีวีแต่ก็เป็นหนังที่หลายคนจดจำอย่างยิ่ง และหนังเรื่องนี้ก็เป็นต้นแบบให้กับหนังระทึกขวัญบนถนนหลายเรื่องนับจากนั้นเป็นต้นมา
เอาจริงแล้ว Joy Ride เป็นหนังที่เรียกได้ว่า มีความแตกต่างจากหนังฆาตกรโรคจิตหรือแนวเชือดที่เรารู้จักกันไม่ใช่น้อย เพราะปกติแล้วถ้าเราจะพูดถึงหนังแนวเชือด เราต้องนึกถึงโครงสร้างของหนังที่มักเป็นภาพจำอย่าง ฆาตกรโรคจิตที่สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า สถานที่ติดกับที่ไม่ควรไป ตัวละครหญิงที่ต้องลุกขึ้นสู้เป็นคนสุดท้ายหรือไฟน่อล เกริ์ล รวมทั้งกฎยิบย่อยอีกมากมายที่สามารถระบุได้ว่า นี่คือ หนังเชือดจริง ๆ แต่สำหรับ Joy Ride แม้มีสถานะเป็นหนังเชือด แต่ก็มีจุดที่แตกต่างหนังเชือดทั่วไปอยู่หลายประเด็นดังนี้ครับ
1. เหยื่อ
ครับ ปกติแล้วเวลาเรานึกถึงเหยื่อในหนังสยองขวัญส่วนมากแล้วล้วนแล้วจะเป็นผู้หญิงเสียส่วนมากใช่ไหมครับ และโดยเฉพาะอย่างวัยรุ่นแล้วน่าจะเป็นกลุ่มที่น่าจะเป็นตัวที่ถูกเชือดอย่างยิ่ง แต่ทว่าสิ่งที่เราเห็นในหนังเรื่องนี้ก็คือ ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ในรถและถูกไล่ล่าโดยคนขับรถบรรทุกที่แน่นอนว่า เป็นผู้ชายเหมือนกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง แน่นอนว่า โชคดีที่หนังมีแฟนสาวของเลวิสมาร่วมจอยหนีการตามล่าด้วยในภายหลังเพื่อไม่ให้คนดูต้องทนเหม็นหน้าชายทั้งสามไปตลอดเรื่อง แต่สิ่งที่เราเห็นในเรื่องก็คือ การเผชิญหน้ากันของผู้ชายสองฝ่ายที่เข้าปะทะกัน แน่นอนว่า หนังได้ส่งแฟนของเลวิสมาให้เป็นตัวละครที่มีความแตกต่างกับชายสองคนที่นอกจากจะหาเรื่องมาให้แล้วยังแสดงให้เห็นด้านที่ไม่ฉลาดออกมาตลอดเรื่อง (โดยเฉพาะฟูเลอร์ที่หาเรื่องมาให้) ขณะที่ตัวเลวิสเองก็แทบจะพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย งานนี้จึงเป็นหน้าที่ของ เวนน่า แฟนสาวของเลวิสที่ต้องหาทางแก้ไขเรื่องนี้ก่อนที่จะสายไปยิ่งบอกให้เห็นว่า ผู้หญิงในเรื่องเป็นเสมือนแสงสว่าง ต่างจากผู้ชายในเรื่องที่หวังพึ่งอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เพศแม่ในหนังเรื่องนี้จึงมีสภาพแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพียงเพศที่ใส่ลงมาเพื่อเหตุผลทางเพศ แต่เป็นการใส่มาเพื่อเป็นเสมือนแสงสว่างทางปัญญาที่เพศชายไม่อาจจะเป็นได้
และเพศหญิงนี่ล่ะที่ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายกลับมาเป็นดีได้
โดยเพศชายผู้แข็งแกร่งและเหนือกว่าเสมอก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ปลายนิ้ว
2. ฆาตกร
ฆาตกรในหนังเชือดส่วนมากในความคิดของทุกคนมักจะนึกถึงฆาตกรใส่หน้ากากปกปิดใบหน้า ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ถืออาวุธในหนังสยองขวัญเสมอ ครับ รัสตี้ เนลล์ มีความเป็นแบบนั้นครับ เพียงแต่มีสไตล์นิดหน่อยคือ ทั้งเรื่องเราจะไม่ได้เห็นใบหน้าของชายคนนี้เลยครับ นอกจากตัวและรูปหน้า และที่สำคัญคือ เสียงครับ ที่หนังจะเผยให้ได้ยินเสียงของรัสตี้ เนลล์ครับว่า น่าขนลุกและน่ากลัวมากเพียงใด
ที่สำคัญก็คือ รัสตี้ไม่ใช่พวกบ้าเลือดครับ แต่เป็นฆาตกรที่ชอบใช้เกมจิตวิทยาเล่นงานเหยื่อ เพราะเราไม่เห็นหน้ารัสตี้ เนลล์นี่ล่ะครับทำให้หนังมันน่ากลัว เพราะ เราไม่รู้ว่า เขาจะมาจากไหน เขาจะทำอะไรครับ เอาง่าย ๆ ว่า คุณเดินเข้าไปในฝูงรถบรรทุก คุณไม่มีทางรู้หรอกครับว่า
ใครคือ รัสตี้ เนลล์
เผลอ ๆ ชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อปลอมอีก
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้หนังมันน่ากลัว
มีคำกล่าวว่าจะซ่อนต้นไม้ต้องไปซ่อนในป่า ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงครับ เพราะความที่รัสตี้ เนลล์ ไม่มีใครเห็นหน้าจริงของเนี่ยละครับที่ทำให้ความน่ากลัวของชายคนนี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
เผลอ ๆ น่ากลัวกว่าฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากากซะอีกนะครับนั้นน่ะ
แถมตอนจบของหนังก็ยังไม่เปิดเผยให้เราเห็นหน้าของชายคนนี้อยู่ดี เหลือเพียงเสียงที่ยังหลอกหลอนเราและตัวละครให้อกสั่นขวัญแขวนกันต่อไป
3. สถานที่
ปกติ หนังสยองขวัญมักจะดำเนินเรื่องกันในพื้นที่ปิดเสียส่วนมาก ด้วยข้อจำกัดของเงินทุน (เพราะถ้าเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำไปเรื่อย ๆ มันก็จะเสียงบมากเกินไป) เรื่องราวส่วนมากก็มักจะวิ่งวนในสถานที่ เราคนดูคงจะถามว่า พวกเอ็งไปทำไมว่ะ อย่างบ้านที่เกิดการฆาตกรรมบ้าง ป่าลึกบ้าง และอีกหลายสถานที่ทำให้หลายคนส่ายหัวไปว่า ถ้าเป็นตูคงไม่ทำแบบนี้แน่ ๆ
แต่กลับ Joy Ride เป็นคนล่ะเรื่องครับ หนังมีการเปลี่ยนโลเคชั่นแทบจะตลอดเวลา แต่ส่วนมากก็ดำเนินเรื่องอยู่บนรถยนต์เสียส่วนมาก ทำให้ฉากที่รถบรรทุกของรัสตี้ เนลล์ ขับออกไล่ล่าทั้งหมดนั้นดูระทึกมากครับ (แถมตอนที่ตามหารถยังไม่รู้เลยว่า รถบรรทุกของรัสตี้อยู่ตรงไหนด้วย) หนังทำให้เรารู้สึกกลัวท้องถนนรวมทั้งรถบรรทุกแบบเดียวกับที่เราเคยกลัวฉลามในหนังเรื่อง JAWS ของสปีลเบิร์กมาแล้ว
4. ภาพสะท้อน
ถ้าถามว่า สิ่งที่เราได้เห็นในหนังเรื่องนี้นั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังสยองขวัญอื่น ๆ ที่นำความกลัวของคนเมืองที่มีต่อสิ่งที่แปลกประหลาดในความคิดของพวกเขามาสร้างเพื่อเขย่าขวัญคนเหล่านั้น ครั้งหนึ่งคนเหล่านั้นต่างรู้สึกกลัวภัยคนนอกจากกระแสความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น เราจึงมีหนังมนุษย์ต่างดาวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ในยุคนั้น ครั้งหนึ่งคนเกิดความกลัวคนชนบทเราจึงมีหนังอย่าง Texas Chainsaw หรือ Psycho ขึ้นมา และหนังอย่าง Joy Ride สื่อถึงอะไรกันเล่า
คำตอบช่างง่ายครับ หนังมันบอกเราว่า จงอย่าใช้ชีวิตอย่างคึกคะนอง
แน่นอนว่าสาเหตุที่รัสตี้ เนลล์ ออกไล่ล่าพวกเลวิสนั้นไม่ใช่เพราะ พวกเลวิสถูกหาเรื่องก่อนนะครับ แต่เพราะ ฟูเลอร์และเลวิสไปหยอกแหย่รัสตี้เนลล์เล่นนั้นเอง
และทำให้เขาอับอายด้วย
นั้นเองที่ทำให้รัสตี้เกิดความโกรธแค้นและออกไล่ล่าชายหนุ่มสองคนนี้
แน่นอนว่า เราต้องมองว่า รัสตี้เป็นตัวร้ายที่ควรจะกำจัด แต่ถามว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าไอ้สองหนุ่มไม่ไปหาเรื่องหรือยั่วหยอกชายคนนี้ให้โกรธก่อนไม่ใช่เหรอ
ครับ ที่นี่ปริศนาทุกอย่างเลยคลี่คลายครับ หนังสยองขวัญส่วนมากมักจะเป็นภาพสะท้อนที่ผู้ใหญ่ต้องการจะสอนวัยรุ่นให้อยู่ในกรอบ ในศีลธรรม ไม่ทำอะไรที่บ้าคลั่งหรือคึกคะนองเกินไป กฎยิบย่อยของหนังสยองขวัญมากมายมีจุดประสงค์ที่จะใช้เพื่อสั่งสอน เพราะกลุ่มคนที่ดูหนังพวกนี้ส่วนมากคือ วัยรุ่นที่กำลังคึกคะนองทั้งหลายนั้นเอง กฎอย่างการมีเซ็กซ์ต้องตาย กฎว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งในสถานที่ที่ไม่น่าเข้าไป เป็นต้น ปีศาจในหนังสยองขวัญนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นภาพสะท้อนของระบอบจารีตที่ใช้เพื่อลงโทษเด็ก ๆ เหล่านี้ที่ไม่เชื่อฟังคำสอนและบอกว่า ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร
ตัวตนของรัสตี้ เนลล์ อาจจะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครทราบ แต่ถ้าจะบอกว่า เขาเป็นตัวแทนของอะไรต้องบอกว่า ชายคนนี้คือ ตัวแทนของสังคมแบบเก่าที่กำลังจะตกยุคและถูกทำลายไปโดยวัยรุ่นเหล่านี้ แต่ทว่าพวกเขายังคงอยู่และรอคอยเพื่อเตรียมพร้อมสั่งสอนเด็กหรือวัยรุ่นที่ไม่ฟังคำเตือนเหล่านั้น
ไม่ควรดูถูกคนอื่น ไม่ควรแกล้งผู้อื่นเพื่อความสนุก ไม่ควรทำอะไรเช่นนั้น นี่คือภาพการสั่งสอนที่ผู้ใหญ่พยายามพร่ำบอกกับเด็ก ๆ มาตั้งแต่ยุคบุปผาชนเบ่งบานแล้ว (ซึ่งถ้าสังเกตว่า หนังสยองขวัญแนวเชือดก็เบ่งบานในช่วงนี้ราวกับเป็นการตอบโต้ความเจริญของยุคบุปผาชน) ว่า
จงอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท
เพราะทุกวินาทีของเรานั้นล้วนแล้วก้าวเท้าอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นความตายทั้งนั้น
วัยรุ่นเอ่ย จงอย่าใช้ชีวิตประมาทเกินไป
ใช้ชีวิตอย่างมีสติแล้วอยู่กันต่อไป
ให้สมกับที่เรานั้นได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ป.ล. ด้วยเหตุนี้บทความฉบับนี้จึงขอไว้อาลัยให้กับดาวดวงหนึ่งที่ดับแสงลงในไม่กี่วันนี้ ชายคนนี้จะเป็นที่จดจำสำหรับเราตลอดกาลในฐานะของชายหนุ่มที่สร้างความสุขให้กับเราบนหน้าจอมานานหลายปี ขอให้ดวงวิญญาณของเขาไปสู่สุคติครับผม
ป.ล. หนังมีภาคต่อตามมาในอีกหลายปีให้หลังในรูปแบบหนังส่งลงดีวีดีที่ก็ดูพอสนุกครับ แต่ไม่มีพอล วอล์คเกอร์ร่วมแสดงอีกแล้ว