สวัสดีปีใหม่ครับ
จะว่าก็ผ่านปีใหม่มาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่า ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายทั้งสุข เศร้า ทุกข์ มันเป็นปีที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมากมายเหลือเกิน สำหรับผู้เขียนแล้วต้องบอกได้ว่า เป็นปีที่วุ่นวายและน่าเหนื่อยหน่ายอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง และอีกสารพัดเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนได้แต่หวังว่า ปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ครับ เมื่อย้อนนึกกลับไปในปี 2013 ที่ผ่านมา คนเขียนอย่างผมก็ได้รับชมภาพยนตร์หลายเรื่องพอสมควรทั้งจากในโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือกระทั่งแผ่นดีวีดี ซึ่งก็มีทั้งภาพยนตร์ที่ดีบ้าง ห่วยบ้าง ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ปะปนกันไป ซึ่งบทความนี้จะเหมือนของปีที่แล้วที่เคยเขียนครับว่า ในปีที่ผ่านมามีภาพยนตร์เรื่องใดที่ผมชอบมาก ๆ ในปีนี้บ้างครับ มาชมกันว่า ผมจะถูกใจเรื่องไหนกันบ้าง
10. Jack Reacher
ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นแฟนของหนังสือนิยายชุดนี้ครับ ซึ่งหนังสือชุด แจ็ค รีชเชอร์นั้นเป็นหนังสือที่ดังมากในอเมริกาและถูกเขียนมาหลายเล่มแล้วครับ ซึ่งเรื่องนี้เขียนโดย ลี ไชลด์ นักเขียนชาวอังกฤษที่หนังสือเรื่องนี้ออกมาโดยใช้ประสบการณ์สมัยที่ยังทำงานเกี่ยวกับโทรทัศน์มาผสมด้วยทำให้ออกมาเป็นหนังสืบสวนแนวแอ็คชั่นที่แปลกสไตล์และที่สำคัญสนุกสมจริงและกลมกล่อมเอามาก ๆ เอาเป็นว่า แค่คุณหยิบเล่มแรกอย่าง ลานละเลงเลือดขึ้นมา คุณก็จะกลายเป็นแฟนของเรื่องนี้ไปในทันทีครับ
และแน่นอนว่า เมื่อหนังมันประกาศสร้างทำเป็นภาพยนตร์ ผมก็นั่งใจจดใจจ่อรอว่า ใครหน่อจะได้เป็น รีชเชอร์ จนหวยออกมาที่เฮีย ทอม ครูซ นี่แหละครับ เล่นเอาถอนหายใจไปเลย แบบว่า พระเจ้าช่วย ช่างคัดมาไม่ได้เหมาะกับบทเลย รีชเชอร์สูงตั้ง 6 ฟุต 5 นิ้วเชียวนะ แต่ว่า ครูซ เตี้ยกว่านั้นเยอะ เอาจริง ๆ รีชเชอร์ที่ผมคิดว่าเหมาะที่สุดคือ นักแสดงหนุ่มนาว สก็อต แอดกินครับ แต่นั้นแหละครับ พอได้ดูหนังก็ต้องบอกว่า
ชอบขึ้นมาทันที
แจ็ค รีชเชอร์ เป็นหนังสืบสวนที่เล่าถึงความซับซ้อนในการฆาตกรรมที่ได้น่าสนใจ บางครั้งการฆาตกรรมอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมากขนาดนั้น แต่มันอาจจะง่ายเกินคาดก็ได้ เหมือนเช่นรีชเชอร์สืบค้นว่า อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้มีคนตายมากมายขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ หนังมันได้บอกว่า โลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
และเป็นโลกที่ทำให้รีชเชอร์ถอนหายใจและเดินถอยออกมาอย่างหมดแรงเสมอ
มันเป็นโลกที่ยากจะสวยงามแบบที่เขาเคยคิดฝันอีกแล้ว
9 . ทองสุก 13
นี่คือหนังสยองขวัญที่พูดตามตรงเลยว่า ผมโคตรถูกใจหนังเรื่องนี้ให้ตายเถอะ
เพราะอะไรเหรอครับ มันคือหนังสยองขวัญไทยที่คนเขียนบทและคนกำกับหนังประกาศว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญทุนต่ำของแซมไรมี่ ใช่แล้ว มันได้แรงบันดาลใจมาจาก Evil dead นั้นเอง
เรื่องราวของหนังก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังวัยรุ่นสยองขวัญทั่วไปครับ มันพูดถึงกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนองที่ไปท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิบนเกาะที่ห่างไกลผู้คน ก่อนจะผีร้ายเล่นงานด้วยการเข้าสิงร่างของพวกเขาทีล่ะคน แหม่ ช่างเป็นบทหนังที่ได้อิทธิพลมาจากหนังสยองขวัญเรื่องนั้นจริง ๆ ไม่พอ ผีในเรื่องยังมีความคล้ายกันอีก สรุปก็คือ เป็นหนังที่อยากจะกราบคนทำว่า เราพวกเดียวกันชัด ๆ ครับ
เป็นหนังสยองขวัญไทยที่แปลกอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยนี้ครับ
8. Django Unchained
เอาจริงแล้วผมไม่ใช่แฟนหนังของเควนติน ทารันติโน่ หรอกนะครับ เพียงแต่ว่า บังเอิญได้ดูหนังของแกครบเลยติดตามมาตลอดว่า แกจะทำหนังที่กวนบาทาชาวบ้านแบบไหนต่อ
และก็มาถึงหนังที่แกอยากทำที่สุดนั้นก็คือ คาวบอยครับ แถมยังเอาชื่อของ จังโก้ วีรบุรุษคาวบอยในตำนานมาทำใหม่ด้วย แถมเรียกแขกด้วยการเลือกพระเอกผิวสี อย่างเจมี่ ฟ๊อกซ์มารับบท จังโก้ อีก
เรียกแขกได้ขนานใหญ่เลยล่ะครับ
แน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังเควนตินแล้ว หนังมันย่อมเต็มไปด้วยการกวนบาทาตลอดทางผ่านมุขที่ชวนให้ฮ่าแตกและคาดไม่ถึงตลอดอย่างความตาย (ที่เป็นมุขของแกตลอดมา ความตายไม่เคยเข้าใครออกใครแม้กระทั่งตัวเอก) ที่สำคัญหนังเรื่องนี้กลมกลืนไปกับหนังที่พูดถึงคนผิวสีในช่วงก่อนจะเลิกทาสได้น่าสนใจยิ่ง การที่เราเห็นคนผิวสีขี่ม้าก็ทำให้เรารู้สึกเฉย ๆ ขณะที่เราได้แต่ขำกับท่าทีตกใจของคนผิวขาวในเมือง พลันเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่น้อย
และมันได้สะท้อนให้เราเห็นว่า โลกที่ไร้เสรีภาพมีแต่ทาสนั้นเป็นอย่างไร
แล้วเราอยากจะกลับเป็นทาสอีกงั้นเหรอ
7. Only God Forgive
หนังต่างชาติที่บอกเล่าถึงเมืองไทยได้น่าสนใจ เมืองไทยในหนังเรื่องนี้อาจจะดูเหนือจริงในสายตาของเรา ทว่ามันกลับดูจริงจนน่าขนลุก อาจจะเพราะประเทศเป็นเสมือนแดนสนธยาที่มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นได้ตลอด โลกของหนังเรื่องนี้มันช่างเป็นฝันร้ายที่อยากจะลืมตาตื่นอย่างแท้จริง จนเพลง เธอคือความฝันที่เคยไพเราะกลับกลายเป็นความสยองขวัญที่เราได้แต่ขนลุก
ลิงค์ บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4264
6. Snowpiecer
หนังแนวปฏิวัติที่ผมชอบที่สุดในปีนี้ อาจจะเพราะการที่มันถูกสร้างโดยคนเกาหลีและเล่าเรื่องที่เป็นสากลมาก ๆ ขณะเดียวกันมันกัดจิกทั้งการเมืองเผด็จการ ทั้งระบบทุนนิยม ทั้งสิ่งแวดล้อม และอีกหลายเรื่องที่ทำให้เราได้แต่ขนลุกกับสิ่งที่ขึ้นตรงหน้าว่า มันเกิดขึ้นบ่อยและมนุษย์จดจำมันเลย
จนบางครั้งเราอาจจะต้องทำลายระบบมันทิ้งไปซะก็ได้
เพื่อจะเริ่มต้นใหม่
และที่ตลกคือ ผู้ชนะของเรื่องนี้ไม่ใช่คนผิวขาว ชนชั้นสูง ที่อวดตัวฉลาดและมีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย
แต่เป็นไพร่ชั้นสองอย่าง เกาหลีและคนผิวสีต่าง
ที่ได้รอดมาเหยียบบนผืนดิน
และเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง
นี่คือ หนังแอ็คชั่นไซไฟปฏิวัติที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ ครับ
ลิงค์บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4507
5. เกรียนฟิคชั่น
หนังไทยที่ดีที่สุดแห่งปีและหนังที่ทำให้ผู้กำกับที่ชื่อว่า มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระพงษ์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ทำหนังออกมาทุกปีแต่หนังทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยคุณภาพที่สำคัญบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมและความรักในมุมมองใหม่ ๆ ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
จาก Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ สู่ เกรียนฟิคชั่น ที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังวัยรุ่นไร้สาระสมัยนิยมที่สร้างกันออกมาและเจ๊งกันไป แต่หนังเรื่องนี้กลับเป็นหนังพาเราเข้าไปสำรวจชีวิตของมนุษย์ได้อย่างเต็มสตรีม เราจึงได้เห็นโลกของวัยรุ่นที่ต่างออกจากหนังวัยรุ่นหลายเรื่องในหลายปีที่ผ่านมานี้
เพราะเราคงไม่เคยเห็นหนังวัยรุ่นเรื่องใดที่พาตัวเอกหนีออกจากบ้านกระโจนเข้าไปสู่มุมมืดของสังคมที่ต่างออกในพัทยา ที่เราได้เห็นวัยรุ่นอีกด้านของคนว่า มันไม่ได้มีแต่แสงสว่างเพียงอย่างเดียว
แต่มันมีความมืดซ่อนอยู่
ตัวละครเอกของเรื่องอย่าง ตี๋ เป็นตัวละครที่ต้องปรบมือยกย่อง เขาเป็นตัวละครที่พาเราไปพบโลกอีกโลกได้อย่างจริงจังและสนิทใจ เป็นตัวละครที่เราพร้อมจะติดตามไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตี๋ก็ทำให้ต้องอ้าปากค้างได้เสมอ
และน้ำตาก็ซึมออกมาเมื่อดูชีวิตของแก๊งค์เกรียนนี้
แต่ที่ทำให้ผมประทับใจคือ การที่หนังมันเลือกจบด้วยการจบแบบปลายเปิดให้เราไปคิดเอง มันเป็นการจบที่ทำให้เราได้แต่คาดเดาและหวังไว้กับอนาคตของเด็กพวกนี้ว่า พวกเขาจะเป็นยังไงต่อ อนาคตของพวกเขาจะเป็นแบบที่ตี๋เขียนเอาไว้หรือไม่
อนาคตที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีใครต้องพบกับความทรมาน ไม่มีใครต้องพบกับความเศร้า
มีแต่ความสุข
เสมือนคำว่า ตราบใดที่ยังมีรักย่อมมีหวัง
ขอยกตำแหน่งหนังไทยแห่งปีไปเลยครับเรื่องนี้
4. The Last Stand
สำหรับผมแล้ว The Last Stand คือหนังแอ็คชั่นที่สุดแห่งปีที่ผมชอบที่สุด มันคือหนังที่ผมได้แต่ประทับใจทั้งกับการกลับมาของอาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ แต่ที่ผมประทับใจคือ การที่มันกำกับโดยผู้กำกับเกาหลีที่ผมชอบที่สุดอย่าง คิม จี วุน
ผมเคยเขียนถึงผู้กำกับคนนี้เอาไว้เมื่อประมาณกลางปี อย่างที่บอกว่า เขาทำให้หนังที่เหมือนจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดายิงกระจายแบบที่อาร์โนลด์เคยเล่นให้กลายเป็นหนังแอ็คชั่นที่มิติความลึกแทบวิพากษ์สังคมออกมาได้อย่างตื่นตะลึง
http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4296
นี่แหละหนังแอ็คชั่นน้ำดีที่ผมยกให้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องของชายที่ชื่อ คิม จี วุน
3. The Conjuring
หนึ่งในหนังสุดเซอร์ไพส์แห่งปี หนังสยองขวัญที่ทำให้ผมขนลุกซู่และกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า มันคือหนังสยองขวัญที่นำสูตรเก่า ๆ ที่เราคุ้นชินจากหนังเหล่านั้น ทั้งการที่ครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น ทั้งประวัติของบ้านที่หลายคนคุ้นชิน ทั้งการไล่ผี ทั้งการหลอกหลอน หนังไม่มีอะไรใหม่เลย แต่หนังเอาสูตรเดิม ๆ ที่เรารู้จักมาทำใหม่ให้มันดูสดกว่าเดิม แน่นอนว่า หนังทำให้เรานึกถึงหนังผีในตำนานอย่าง Poltergeist (ผีหลอกวิญญาณหลอน) The Exorcists , หรือกระทั่ง Evil dead การผสมหนังสยองขวัญหลายเรื่องเข้าด้วยกันนี้ทำให้หนังมันสดใหม่และสนุกตื่นเต้นทั้งเรื่อง
และช่วยยืนยันสถานะของนักทำหนังสยองขวัญระดับแนวหน้าของผู้กำกับชาวมาเลเซีย ออสเตรเลีย อย่าง เจมส์ วานได้อย่างดี
ว่านี่คือหนึ่งในหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งของปี
2. Pacific Rim
และแล้วความฝันในวัยเด็กของผมก็เป็นจริงแล้ว
ความฝันของผมคือ การได้เห็นฮอลลีวู้ดสร้างแนวหุ่นยนต์พิทักษ์โลกตีกับสัตว์ประหลาดยักษ์สักครั้งในชีวิตก่อนที่หนังเรื่องนี้จะจัดให้เราได้เห็นกันแบบเต็ม ๆ ตา ชนิดมันส์สะใจพะยะค่ะชาวโอตาคุหนังญี่ปุ่นทั้งหลายเอ๊ยยยยยย
แค่เห็นหุ่นตีกับสัตว์ประหลาดในเมืองก็ฟินแล้วครับเรื่องนี้
น้ำตาไหลพรากกกกกกกเลย
(ลิงค์เขียนถึงหนังเรื่องนี้ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4259)
และแล้วก็มาถึงอันดับสุดท้ายครับ
หลังจากพาทัวร์มาขนาดนี้หลายคนคงเดาได้ครับว่า เรื่องสุดท้ายของผมก็คือหนังเรื่อง
1. Evil Dead
ต้องบอกหลายคนเดาไม่ผิดเลยล่ะครับ ว่า ผมจะต้องเลือกหนังเรื่องนี้ขึ้นลิสต์เนื่องจากหลายคนทราบดีว่า ผมเป็นแฟนบอยของหนังชุดนี้แบบบ้าคลั่งครับ ผมตั้งต่อรอมานานครับสำหรับภาครีเมคนี้ว่าจะรีเมคไปในด้านไหน ก่อนที่จะรู้ว่า
ตัวเองถูกหลอกซะแล้ว
ครับ หลายคนอาจจะไม่ชอบใจที่หนังมันตัดอารมณ์ขันออกไป แต่สำหรับผมแล้วให้ตายเถอะ น้ำตาไหลเป็นทางเลยครับ หนังแบบว่า มันจัดหนักสำหรับคนบ้าจริง ๆ มีจุดให้จับไปเชื่อมกับภาคเก่า ๆ ได้หมด รวมทั้งการมาของพระเอกภาคแรกหลัง End Credit ขึ้นยิ่งทำให้ซาบซึ้งเป็น 100 เท่าเลยครับ
สรุปนี่คือ หนังที่ผมประทับใจที่สุดในปีนี้และรอคอยภาคต่อไปด้วยใจระทึกครับ
.....
ไม่ติดอันดับแต่อยากจะพูดถึง
Curse of Chucky: ภาคต่อของหนังชุด Child’s Play หรือ แค้นฝังหุ่นที่เรารู้จักกับการไล่ฆ่าของชัคกี้ที่แม้จะเป็นหนังส่งลงแผ่น แต่คุณภาพระดับคับแก้ว และการเซอร์ไพส์ในช่วง End Credits ทำให้นี่คือหนังคืนฟอร์มของชัคกี้อย่างแท้จริง
Ghost Shark: หนังฉลามส่งลงแผ่นที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะ ซีจีกาก ๆ ของมัน แต่เอาจริงแล้วมันคือ หนังที่สุดยอดมากในด้านความคัลท์หลุดโลกที่ยากจะหาใครเทียบเคียง ดูจบแล้วต้องปรบมือให้กับคนทำที่ทำหนังออกมาได้คัลท์ระยำได้ขนาดนี้ กับ ผีฉลามที่ดุที่สุดของโลก
12 Round 2: ภาคต่อของหนังชื่อเดียวโดยค่าย WWE Films ที่ส่งตรงลงแผ่นเลย และเปลี่ยนหนังแสดงนำจาก John Cena เป็น Randy Orton ตอนแรกคิดว่า หนังคงออกมาง่อย ๆ แบบที่เราเดาได้จากหนังส่งแผ่นทั้งหลาย ทว่าเอาจริงแล้วไม่ใช่ มันคือหนังแนวสืบสวนแอ็คชั่นน้ำดีที่วางเรื่องได้น่าติดตามและคมคายที่สำคัญสนุกมากกกกก และเป็นหนังที่ช่วยยืนยันขาขึ้นของค่าย WWE Film ในปีนี้ได้อย่างแท้จริง
Special ID: หนังแอ็คชั่นของดอนนี่ เยน ที่คิวบู้จริงจังและมันแบบไม่คิดอะไร เป็นหนังแอ็คชั่นต่อยกันที่ดูแล้วอยากกราบเท้าคนทำแล้วอยากลากคนทำหนังต้มยำกุ้งสองมาชมด้วย
The Purge : หนังระทึกขวัญที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังไล่ฆ่าทั่วไป แต่เอาจริงแล้วมันคือหนังที่ตั้งคำถามกับกฎหมายและสังคมว่า มันมีความเท่าเทียมอยู่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่า กฎหมายมีไว้เพียงแค่ช่วยเหลือพวกอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น แต่คนจนคือ เหยื่อของพวกนี้หรือ
White House Down: หนังแอ็คชั่นของโรแลนด์ เอเมอริช ที่อาจจะแป้กในสายตาใครหลายคน แต่ทว่าสำหรับผมแล้วมันคือ หนังที่ให้ความบันเทิงสุดขั้วและมันยิ่งกว่า Die Hard 5 ซะอีก
ประชาธิปไทย : หนังไทยที่ผมอยากจะให้มีหนังแบบนี้เยอะ ๆ เพราะ การเมืองนั้นใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดจริง ๆ
ตั้งวง : นี่ก็อีกเรื่องที่อยากให้มีหนังแบบนี้อีกเหมือนกัน ถ้าคนในประเทศนี้รู้จักตั้งคำถามกับอะไรรอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
Berlin File: เกาหลีใต้ไปไกลกว่าเราแล้วในด้านการทำหนัง และที่สำคัญเขาทำหนังวิพากษ์ตัวเองได้มันระห่ำชนิดที่เราได้แต่นั่งตาปริบ ๆ
Star trek in to the Darkness : ภาคต่อที่ดีที่สุดของสตาร์เทรคเรื่องหนึ่ง
Riddick 3 : นี่คือริคดิคที่หลายคนรอคอย
Thor 2 : โลกิคือ สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้
ขอบคุณที่อ่านตามมาจนจบครับ
แล้วปีนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะครับ ทุกท่าน