Skip to main content

          สวัสดีปีใหม่ครับ

          จะว่าก็ผ่านปีใหม่มาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่า ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายทั้งสุข เศร้า  ทุกข์ มันเป็นปีที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมากมายเหลือเกิน สำหรับผู้เขียนแล้วต้องบอกได้ว่า เป็นปีที่วุ่นวายและน่าเหนื่อยหน่ายอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง และอีกสารพัดเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนได้แต่หวังว่า ปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

          ครับ เมื่อย้อนนึกกลับไปในปี 2013 ที่ผ่านมา คนเขียนอย่างผมก็ได้รับชมภาพยนตร์หลายเรื่องพอสมควรทั้งจากในโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือกระทั่งแผ่นดีวีดี ซึ่งก็มีทั้งภาพยนตร์ที่ดีบ้าง ห่วยบ้าง ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ปะปนกันไป ซึ่งบทความนี้จะเหมือนของปีที่แล้วที่เคยเขียนครับว่า ในปีที่ผ่านมามีภาพยนตร์เรื่องใดที่ผมชอบมาก ๆ ในปีนี้บ้างครับ มาชมกันว่า ผมจะถูกใจเรื่องไหนกันบ้าง

10. Jack Reacher

          ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นแฟนของหนังสือนิยายชุดนี้ครับ ซึ่งหนังสือชุด แจ็ค รีชเชอร์นั้นเป็นหนังสือที่ดังมากในอเมริกาและถูกเขียนมาหลายเล่มแล้วครับ ซึ่งเรื่องนี้เขียนโดย ลี ไชลด์ นักเขียนชาวอังกฤษที่หนังสือเรื่องนี้ออกมาโดยใช้ประสบการณ์สมัยที่ยังทำงานเกี่ยวกับโทรทัศน์มาผสมด้วยทำให้ออกมาเป็นหนังสืบสวนแนวแอ็คชั่นที่แปลกสไตล์และที่สำคัญสนุกสมจริงและกลมกล่อมเอามาก ๆ เอาเป็นว่า แค่คุณหยิบเล่มแรกอย่าง ลานละเลงเลือดขึ้นมา คุณก็จะกลายเป็นแฟนของเรื่องนี้ไปในทันทีครับ

          และแน่นอนว่า เมื่อหนังมันประกาศสร้างทำเป็นภาพยนตร์ ผมก็นั่งใจจดใจจ่อรอว่า ใครหน่อจะได้เป็น รีชเชอร์ จนหวยออกมาที่เฮีย ทอม ครูซ นี่แหละครับ เล่นเอาถอนหายใจไปเลย แบบว่า พระเจ้าช่วย ช่างคัดมาไม่ได้เหมาะกับบทเลย รีชเชอร์สูงตั้ง 6 ฟุต 5 นิ้วเชียวนะ แต่ว่า ครูซ เตี้ยกว่านั้นเยอะ เอาจริง ๆ รีชเชอร์ที่ผมคิดว่าเหมาะที่สุดคือ นักแสดงหนุ่มนาว สก็อต แอดกินครับ แต่นั้นแหละครับ พอได้ดูหนังก็ต้องบอกว่า

          ชอบขึ้นมาทันที

          แจ็ค รีชเชอร์ เป็นหนังสืบสวนที่เล่าถึงความซับซ้อนในการฆาตกรรมที่ได้น่าสนใจ บางครั้งการฆาตกรรมอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมากขนาดนั้น แต่มันอาจจะง่ายเกินคาดก็ได้ เหมือนเช่นรีชเชอร์สืบค้นว่า อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้มีคนตายมากมายขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ หนังมันได้บอกว่า โลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

          และเป็นโลกที่ทำให้รีชเชอร์ถอนหายใจและเดินถอยออกมาอย่างหมดแรงเสมอ

          มันเป็นโลกที่ยากจะสวยงามแบบที่เขาเคยคิดฝันอีกแล้ว

9 . ทองสุก 13

          นี่คือหนังสยองขวัญที่พูดตามตรงเลยว่า ผมโคตรถูกใจหนังเรื่องนี้ให้ตายเถอะ

          เพราะอะไรเหรอครับ มันคือหนังสยองขวัญไทยที่คนเขียนบทและคนกำกับหนังประกาศว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญทุนต่ำของแซมไรมี่ ใช่แล้ว มันได้แรงบันดาลใจมาจาก Evil dead นั้นเอง

          เรื่องราวของหนังก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังวัยรุ่นสยองขวัญทั่วไปครับ มันพูดถึงกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนองที่ไปท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิบนเกาะที่ห่างไกลผู้คน ก่อนจะผีร้ายเล่นงานด้วยการเข้าสิงร่างของพวกเขาทีล่ะคน แหม่ ช่างเป็นบทหนังที่ได้อิทธิพลมาจากหนังสยองขวัญเรื่องนั้นจริง ๆ ไม่พอ ผีในเรื่องยังมีความคล้ายกันอีก สรุปก็คือ เป็นหนังที่อยากจะกราบคนทำว่า เราพวกเดียวกันชัด ๆ ครับ

          เป็นหนังสยองขวัญไทยที่แปลกอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยนี้ครับ

8. Django Unchained

          เอาจริงแล้วผมไม่ใช่แฟนหนังของเควนติน ทารันติโน่ หรอกนะครับ เพียงแต่ว่า บังเอิญได้ดูหนังของแกครบเลยติดตามมาตลอดว่า แกจะทำหนังที่กวนบาทาชาวบ้านแบบไหนต่อ

          และก็มาถึงหนังที่แกอยากทำที่สุดนั้นก็คือ คาวบอยครับ แถมยังเอาชื่อของ จังโก้ วีรบุรุษคาวบอยในตำนานมาทำใหม่ด้วย แถมเรียกแขกด้วยการเลือกพระเอกผิวสี อย่างเจมี่ ฟ๊อกซ์มารับบท จังโก้ อีก

          เรียกแขกได้ขนานใหญ่เลยล่ะครับ

          แน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังเควนตินแล้ว หนังมันย่อมเต็มไปด้วยการกวนบาทาตลอดทางผ่านมุขที่ชวนให้ฮ่าแตกและคาดไม่ถึงตลอดอย่างความตาย (ที่เป็นมุขของแกตลอดมา ความตายไม่เคยเข้าใครออกใครแม้กระทั่งตัวเอก) ที่สำคัญหนังเรื่องนี้กลมกลืนไปกับหนังที่พูดถึงคนผิวสีในช่วงก่อนจะเลิกทาสได้น่าสนใจยิ่ง การที่เราเห็นคนผิวสีขี่ม้าก็ทำให้เรารู้สึกเฉย ๆ ขณะที่เราได้แต่ขำกับท่าทีตกใจของคนผิวขาวในเมือง พลันเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่น้อย

          และมันได้สะท้อนให้เราเห็นว่า โลกที่ไร้เสรีภาพมีแต่ทาสนั้นเป็นอย่างไร

          แล้วเราอยากจะกลับเป็นทาสอีกงั้นเหรอ

7.  Only God Forgive

          หนังต่างชาติที่บอกเล่าถึงเมืองไทยได้น่าสนใจ เมืองไทยในหนังเรื่องนี้อาจจะดูเหนือจริงในสายตาของเรา ทว่ามันกลับดูจริงจนน่าขนลุก อาจจะเพราะประเทศเป็นเสมือนแดนสนธยาที่มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นได้ตลอด โลกของหนังเรื่องนี้มันช่างเป็นฝันร้ายที่อยากจะลืมตาตื่นอย่างแท้จริง จนเพลง เธอคือความฝันที่เคยไพเราะกลับกลายเป็นความสยองขวัญที่เราได้แต่ขนลุก

         ลิงค์ บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4264

6. Snowpiecer

          หนังแนวปฏิวัติที่ผมชอบที่สุดในปีนี้ อาจจะเพราะการที่มันถูกสร้างโดยคนเกาหลีและเล่าเรื่องที่เป็นสากลมาก ๆ ขณะเดียวกันมันกัดจิกทั้งการเมืองเผด็จการ ทั้งระบบทุนนิยม ทั้งสิ่งแวดล้อม และอีกหลายเรื่องที่ทำให้เราได้แต่ขนลุกกับสิ่งที่ขึ้นตรงหน้าว่า มันเกิดขึ้นบ่อยและมนุษย์จดจำมันเลย

          จนบางครั้งเราอาจจะต้องทำลายระบบมันทิ้งไปซะก็ได้

          เพื่อจะเริ่มต้นใหม่

          และที่ตลกคือ ผู้ชนะของเรื่องนี้ไม่ใช่คนผิวขาว ชนชั้นสูง ที่อวดตัวฉลาดและมีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย

          แต่เป็นไพร่ชั้นสองอย่าง เกาหลีและคนผิวสีต่าง

          ที่ได้รอดมาเหยียบบนผืนดิน

          และเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง

          นี่คือ หนังแอ็คชั่นไซไฟปฏิวัติที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ ครับ

         ลิงค์บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4507

5. เกรียนฟิคชั่น

          หนังไทยที่ดีที่สุดแห่งปีและหนังที่ทำให้ผู้กำกับที่ชื่อว่า มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระพงษ์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ทำหนังออกมาทุกปีแต่หนังทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยคุณภาพที่สำคัญบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมและความรักในมุมมองใหม่ ๆ ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

          จาก Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ สู่ เกรียนฟิคชั่น ที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังวัยรุ่นไร้สาระสมัยนิยมที่สร้างกันออกมาและเจ๊งกันไป แต่หนังเรื่องนี้กลับเป็นหนังพาเราเข้าไปสำรวจชีวิตของมนุษย์ได้อย่างเต็มสตรีม เราจึงได้เห็นโลกของวัยรุ่นที่ต่างออกจากหนังวัยรุ่นหลายเรื่องในหลายปีที่ผ่านมานี้

          เพราะเราคงไม่เคยเห็นหนังวัยรุ่นเรื่องใดที่พาตัวเอกหนีออกจากบ้านกระโจนเข้าไปสู่มุมมืดของสังคมที่ต่างออกในพัทยา ที่เราได้เห็นวัยรุ่นอีกด้านของคนว่า มันไม่ได้มีแต่แสงสว่างเพียงอย่างเดียว

          แต่มันมีความมืดซ่อนอยู่

          ตัวละครเอกของเรื่องอย่าง ตี๋ เป็นตัวละครที่ต้องปรบมือยกย่อง เขาเป็นตัวละครที่พาเราไปพบโลกอีกโลกได้อย่างจริงจังและสนิทใจ เป็นตัวละครที่เราพร้อมจะติดตามไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตี๋ก็ทำให้ต้องอ้าปากค้างได้เสมอ

          และน้ำตาก็ซึมออกมาเมื่อดูชีวิตของแก๊งค์เกรียนนี้

          แต่ที่ทำให้ผมประทับใจคือ การที่หนังมันเลือกจบด้วยการจบแบบปลายเปิดให้เราไปคิดเอง มันเป็นการจบที่ทำให้เราได้แต่คาดเดาและหวังไว้กับอนาคตของเด็กพวกนี้ว่า พวกเขาจะเป็นยังไงต่อ อนาคตของพวกเขาจะเป็นแบบที่ตี๋เขียนเอาไว้หรือไม่

          อนาคตที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีใครต้องพบกับความทรมาน ไม่มีใครต้องพบกับความเศร้า

          มีแต่ความสุข

          เสมือนคำว่า ตราบใดที่ยังมีรักย่อมมีหวัง

          ขอยกตำแหน่งหนังไทยแห่งปีไปเลยครับเรื่องนี้

4. The Last Stand

          สำหรับผมแล้ว The Last Stand คือหนังแอ็คชั่นที่สุดแห่งปีที่ผมชอบที่สุด มันคือหนังที่ผมได้แต่ประทับใจทั้งกับการกลับมาของอาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ แต่ที่ผมประทับใจคือ การที่มันกำกับโดยผู้กำกับเกาหลีที่ผมชอบที่สุดอย่าง คิม จี วุน

          ผมเคยเขียนถึงผู้กำกับคนนี้เอาไว้เมื่อประมาณกลางปี อย่างที่บอกว่า เขาทำให้หนังที่เหมือนจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดายิงกระจายแบบที่อาร์โนลด์เคยเล่นให้กลายเป็นหนังแอ็คชั่นที่มิติความลึกแทบวิพากษ์สังคมออกมาได้อย่างตื่นตะลึง
          http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4296

          นี่แหละหนังแอ็คชั่นน้ำดีที่ผมยกให้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องของชายที่ชื่อ คิม จี วุน

3. The Conjuring

          หนึ่งในหนังสุดเซอร์ไพส์แห่งปี หนังสยองขวัญที่ทำให้ผมขนลุกซู่และกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า มันคือหนังสยองขวัญที่นำสูตรเก่า ๆ ที่เราคุ้นชินจากหนังเหล่านั้น ทั้งการที่ครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น ทั้งประวัติของบ้านที่หลายคนคุ้นชิน ทั้งการไล่ผี ทั้งการหลอกหลอน หนังไม่มีอะไรใหม่เลย แต่หนังเอาสูตรเดิม ๆ ที่เรารู้จักมาทำใหม่ให้มันดูสดกว่าเดิม แน่นอนว่า หนังทำให้เรานึกถึงหนังผีในตำนานอย่าง Poltergeist (ผีหลอกวิญญาณหลอน) The Exorcists , หรือกระทั่ง Evil dead การผสมหนังสยองขวัญหลายเรื่องเข้าด้วยกันนี้ทำให้หนังมันสดใหม่และสนุกตื่นเต้นทั้งเรื่อง

          และช่วยยืนยันสถานะของนักทำหนังสยองขวัญระดับแนวหน้าของผู้กำกับชาวมาเลเซีย ออสเตรเลีย อย่าง เจมส์ วานได้อย่างดี

          ว่านี่คือหนึ่งในหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งของปี

2. Pacific Rim

          และแล้วความฝันในวัยเด็กของผมก็เป็นจริงแล้ว

          ความฝันของผมคือ การได้เห็นฮอลลีวู้ดสร้างแนวหุ่นยนต์พิทักษ์โลกตีกับสัตว์ประหลาดยักษ์สักครั้งในชีวิตก่อนที่หนังเรื่องนี้จะจัดให้เราได้เห็นกันแบบเต็ม ๆ ตา ชนิดมันส์สะใจพะยะค่ะชาวโอตาคุหนังญี่ปุ่นทั้งหลายเอ๊ยยยยยย

          แค่เห็นหุ่นตีกับสัตว์ประหลาดในเมืองก็ฟินแล้วครับเรื่องนี้

          น้ำตาไหลพรากกกกกกกเลย

          (ลิงค์เขียนถึงหนังเรื่องนี้   http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4259)

และแล้วก็มาถึงอันดับสุดท้ายครับ

          หลังจากพาทัวร์มาขนาดนี้หลายคนคงเดาได้ครับว่า เรื่องสุดท้ายของผมก็คือหนังเรื่อง

1. Evil Dead

     ต้องบอกหลายคนเดาไม่ผิดเลยล่ะครับ ว่า ผมจะต้องเลือกหนังเรื่องนี้ขึ้นลิสต์เนื่องจากหลายคนทราบดีว่า ผมเป็นแฟนบอยของหนังชุดนี้แบบบ้าคลั่งครับ ผมตั้งต่อรอมานานครับสำหรับภาครีเมคนี้ว่าจะรีเมคไปในด้านไหน ก่อนที่จะรู้ว่า

          ตัวเองถูกหลอกซะแล้ว

          ครับ หลายคนอาจจะไม่ชอบใจที่หนังมันตัดอารมณ์ขันออกไป แต่สำหรับผมแล้วให้ตายเถอะ น้ำตาไหลเป็นทางเลยครับ หนังแบบว่า มันจัดหนักสำหรับคนบ้าจริง ๆ มีจุดให้จับไปเชื่อมกับภาคเก่า ๆ ได้หมด รวมทั้งการมาของพระเอกภาคแรกหลัง End Credit ขึ้นยิ่งทำให้ซาบซึ้งเป็น 100 เท่าเลยครับ

          สรุปนี่คือ หนังที่ผมประทับใจที่สุดในปีนี้และรอคอยภาคต่อไปด้วยใจระทึกครับ

.....

 

ไม่ติดอันดับแต่อยากจะพูดถึง

          Curse of Chucky: ภาคต่อของหนังชุด Child’s Play หรือ แค้นฝังหุ่นที่เรารู้จักกับการไล่ฆ่าของชัคกี้ที่แม้จะเป็นหนังส่งลงแผ่น แต่คุณภาพระดับคับแก้ว และการเซอร์ไพส์ในช่วง End Credits ทำให้นี่คือหนังคืนฟอร์มของชัคกี้อย่างแท้จริง

          Ghost Shark: หนังฉลามส่งลงแผ่นที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะ ซีจีกาก ๆ ของมัน แต่เอาจริงแล้วมันคือ หนังที่สุดยอดมากในด้านความคัลท์หลุดโลกที่ยากจะหาใครเทียบเคียง ดูจบแล้วต้องปรบมือให้กับคนทำที่ทำหนังออกมาได้คัลท์ระยำได้ขนาดนี้ กับ ผีฉลามที่ดุที่สุดของโลก

          12 Round 2: ภาคต่อของหนังชื่อเดียวโดยค่าย WWE Films ที่ส่งตรงลงแผ่นเลย และเปลี่ยนหนังแสดงนำจาก John Cena เป็น Randy Orton ตอนแรกคิดว่า หนังคงออกมาง่อย ๆ แบบที่เราเดาได้จากหนังส่งแผ่นทั้งหลาย ทว่าเอาจริงแล้วไม่ใช่ มันคือหนังแนวสืบสวนแอ็คชั่นน้ำดีที่วางเรื่องได้น่าติดตามและคมคายที่สำคัญสนุกมากกกกก และเป็นหนังที่ช่วยยืนยันขาขึ้นของค่าย WWE Film ในปีนี้ได้อย่างแท้จริง

          Special ID: หนังแอ็คชั่นของดอนนี่ เยน ที่คิวบู้จริงจังและมันแบบไม่คิดอะไร เป็นหนังแอ็คชั่นต่อยกันที่ดูแล้วอยากกราบเท้าคนทำแล้วอยากลากคนทำหนังต้มยำกุ้งสองมาชมด้วย

          The Purge : หนังระทึกขวัญที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังไล่ฆ่าทั่วไป แต่เอาจริงแล้วมันคือหนังที่ตั้งคำถามกับกฎหมายและสังคมว่า มันมีความเท่าเทียมอยู่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่า กฎหมายมีไว้เพียงแค่ช่วยเหลือพวกอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น แต่คนจนคือ เหยื่อของพวกนี้หรือ

          White House Down: หนังแอ็คชั่นของโรแลนด์ เอเมอริช ที่อาจจะแป้กในสายตาใครหลายคน แต่ทว่าสำหรับผมแล้วมันคือ หนังที่ให้ความบันเทิงสุดขั้วและมันยิ่งกว่า Die Hard 5 ซะอีก

          ประชาธิปไทย : หนังไทยที่ผมอยากจะให้มีหนังแบบนี้เยอะ ๆ เพราะ การเมืองนั้นใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดจริง ๆ

          ตั้งวง : นี่ก็อีกเรื่องที่อยากให้มีหนังแบบนี้อีกเหมือนกัน ถ้าคนในประเทศนี้รู้จักตั้งคำถามกับอะไรรอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

          Berlin File: เกาหลีใต้ไปไกลกว่าเราแล้วในด้านการทำหนัง และที่สำคัญเขาทำหนังวิพากษ์ตัวเองได้มันระห่ำชนิดที่เราได้แต่นั่งตาปริบ ๆ

          Star trek in to the Darkness : ภาคต่อที่ดีที่สุดของสตาร์เทรคเรื่องหนึ่ง

          Riddick 3 : นี่คือริคดิคที่หลายคนรอคอย

          Thor 2 : โลกิคือ สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้

 

ขอบคุณที่อ่านตามมาจนจบครับ

          แล้วปีนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะครับ ทุกท่าน

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ