Skip to main content

              ผ่านช่วงปีใหม่มาได้สักระยะแล้วนะครับ ต้องเรียกว่า เป็นช่วงปีใหม่ที่แสนวุ่นวายและยุ่งเหยิงไม่ใช่น้อย อาจจะเพราะ วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ได้ เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับใครหลายคน ทุกสาขาอาชีพ ต่างได้รับผลกระทบนี้ไปจนหมดสิ้น และดูเหมือนว่า วิกฤตน่าจะเกิดขึ้นอีกยาวไกลแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก็ตามที ซึ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเองก็ดูเหมือนว่า ปีนี้จะเป็นปีที่เรียกว่า วิกฤตอย่างแท้จริงเลยก็เป็นได้

                แน่นอนว่า เมื่อย้อนกลับไปต้นปี 2012 ผมเคยเขียนถึงหนังไทยในปีนั้นมาก่อนว่า เป็นปีที่แนวรบของหนังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก แน่นอนว่า ในโรงภาพยนตร์นั้นยังคงมีหนังแนวที่เราคุ้นเคยอาทิ ผี ตลก หรือ รัก ออกมามากมายเหลือเกินจนหลายคนมองว่า ช่างซ้ำซากจำเจไม่ใช่น้อย จนทำให้รายได้ของหนังหลายเรื่องต่ำมากจนแทบเตี้ยดินเลยก็ว่าได้ถึงแม้ว่า ปีที่ผ่านมาจะมีหนังที่ทำเงินได้เป็นปรากฏการณ์อย่าง พี่มากพระโขนง ของค่าย GTH ที่ทำเงินถล่มทลายถึง 1000 ล้านบาททั่วประเทศ (จากการคาดการณ์ของค่ายหนัง) และทำเงินทะลุ 500 ล้านในกรุงเทพไปได้อย่างน่าตื่นเต้นก็จริง แต่หนังไทยหลายเรื่องก็ต้องพบประสบเคราะห์กรรมต่างกันไป บางเรื่องก็เจ๊งแบบไม่ต้องลุ้น บางเรื่องก็เอาตัวรอดไปได้แบบหืดขึ้นคอ แต่ที่น่าสนใจคือ ปีนี้มีหนังแนวอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาและที่สำคัญยังคงเป็นปีของหนังอิสระอีกครั้งที่ประสบความสำเร็จกันไม่ใช่น้อย จนช่วยยืนยันว่า คนไทยกำลังมองหาอะไรใหม่ในวงการนี้จริง ๆ และเป็นปีที่ผู้กำกับมือเก๋าล้มเหลว แต่ก็มีผู้กำกับหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จขึ้นอีกครั้ง

                และนี่คือ เรื่องราวของหนังไทยในปี 2013

           1. พี่มากพระโขนง พันล้านกับปรากฏการณ์ยิ่งสูงยิ่งหนาวของ GTH

           

            ต้องบอกว่า นี่คือ ภาพยนตร์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ว่า มันคือ ปรากฏการณ์โดยแท้จริง สำหรับ ภาพยนตร์ตลกสยองขวัญเรื่องนี้ของอดีตผู้กำกับ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ , แฝด , คนกลาง , คนกอง และ กวน มัน โฮ อย่าง โต้ง บรรจง  ปิสัญธนะกุล ที่สามารถทำรายได้ถล่มทลายทุบทุกสถิติที่ทำมาจนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หลายคนคาดการณ์ว่า น่าจะทำรายได้ที่ 100 ล้านได้สบายนั้นทะลุไปจนถึง 500 ล้านกว่าบาทในกรุงเทพได้อย่างน่าตื่นตะลึง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มันคือหนังที่ทำให้เกิดบรรยากาศคึกคักอย่างยิ่งในวงการหนังไทย หลายคนคาดการณ์ว่า นี่อาจจะทำให้วงการหนังไทยที่ซบเซาไปแล้วกลับมาคึกคักอีกครั้งก็เป็นได้ และหลายคนก็เฝ้าจับตามองกันว่า หลังจากพี่มากได้ลงโรงไปแล้ว ค่ายหนังเรื่องนี้จะมีหนังเรื่องไหนโผล่มาอีกในปีนั้น ทว่า ทุกคนก็ต้องผิดหวังเมื่อทั้งปี 2013 นั้น ค่ายนี้ก็ไม่ได้ส่งหนังเรื่องใดออกมาอีกเลย

                จนหลายคนคาดการณ์ว่า ความสำเร็จที่มากเกินไปของภาพยนตร์นี้ได้กลายเป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ต่อค่ายหนังแห่นี้ เพราะ นับจากนี้ไปแฟนหนังจะคอยจับตามองว่า ผลงานเรื่องต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร นั่นเองที่ทำให้ความกดดันทั้งหลายมันถาโถมเข้าใส่ค่ายนี้เป็นทวีคูณ นั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ปีที่ผ่านมาไม่มีหนังเรื่องอื่นของค่ายนี้ออกมาเลย จนกระทั่งต้นปีที่จะถึงนี้จะมีภาพยนตร์เรื่อง คิดถึงวิทยา ออกมาฉายเป็นเรื่องแรกนับจากความสำเร็จของพี่มาก

                และที่ต้องพูดอย่างก็คือ ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จสำหรับค่ายนี้ ซีรีย์วัยรุ่นที่ฉายทางช่อง GMM One อย่าง ฮอร์โมน ก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยเช่นกันจนมีการประกาศสร้างซีซั่นสองขึ้นมาแล้ว การประสบความสำเร็จนั้นได้สร้างแรงกดดันอย่างสูงให้กับค่ายนั้นนี้มากเหลือเกิน

                จนหลายคนคาดเดาไม่ถูกว่า ทั้งคิดถึงวิทยา และ ฮอร์โมน ซีซั่น 2 จะประสบความสำเร็จแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วหรือไม่

                มันช่างเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวโดยแท้จริง

            2. ต้มยำกุ้ง 2 ปิดตำนาน จา พนม

            “ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่คนทั้งโลกรอคอย” คำโปรโมทที่ถูกใช้เพื่อโปรโมทภาพยนตร์แอ็คชั่นภาคต่อเรื่องนี้ที่ถือว่า เป็นภาพยนตร์ฉลองการครบรอบสิบปีของ นักแสดงหนุ่มจากแผ่นดินที่ราบสูงอย่าง จา พนม ที่เรียกว่าเป็นการกลับมาในช่วงเวลาที่เรียกว่า กระท่อนกระแท่นไม่ใช่น้อย เพราะ มีข่าวมาตลอดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นมีปัญหาตลอดเวลาทำให้คิวลากยาวมานาน พร้อมกับปัญหาของ จา พนม กับต้นสังกัดเรื่องสัญญาส่วนตัว ทำให้จนแล้วจนรอด ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำออกมาสำเร็จจนได้ พร้อมทุนสร้างที่หลายคนต้องตื่นตะลึง

                เพราะ ค่ายหนังบอกว่า ทุนสร้างของหนังเรื่องนี้นั้นถึง 500 ล้านบาทเลยทีเดียว

                นั่นเองที่ทำให้หลายคนต่างหวังอย่างยิ่งว่า นี่คือ การกลับมาทวงบัลลังก์ภาพยนตร์แอ็คชั่นแนวต่อสู้ของไทยอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ฮ่องกง อินเดีย และ อินโดนีเซีย นำหน้าไปหลายก้าวแล้ว รวมทั้งการรวมนักแสดงอย่าง จีจ้า ญานิน หรือ นักแสดงฮอลลีวู้ดอย่าง ลีซ่า ด้วยก็ตาม ยิ่งทำให้ใครต่างคาดหวังว่า หนังเรื่องนี้จะทำเงินมากมายและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้งหนึ่งเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อสิบก่อน

                ทว่าเมื่อมันออกฉายทุกคนก็อุทานออกเป็นคำเดียวว่า

                มันคือ หายนะ

                ทุกสิ่งทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่า ล้มเหลว โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่บทภาพยนตร์ที่หลายบ่นถึงบทภาพยนตร์ภาคแรกว่า ห่วยบรมแล้ว บทภาพยนตร์ภาคนี้นั้นทำให้ภาคแรกกลายเป็นหนังออสการ์ไปเลย  นี่ยังไม่รวมถึงโปรดักชั่นของหนังที่เรียกว่า ไม่สมราคาทุนเลย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ จุดขายของจา พนม อย่างการไม่ใช่สลิง ไม่ใช่สตันแมน หรือกระทั่ง CG หนังภาคนี้หลงลืมหมดสิ้นและใส่มาทุกอย่าง โดยเฉพาะ CG ที่ใส่มาเพราะ หนังถ่ายออกมาในแบบสามมิติ แต่ขอโทษเถอะครับ คนดูได้แต่ส่ายหัวกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างยิ่ง

                แต่ทั้งหมดทั้งปวงยังไม่ย่ำแย่เท่ากับหัวใจของหนังแอ็คชั่นอย่าง คิวบู้และฉากต่อสู้ที่หนังทำได้อนาถใจมาก จนนักวิจารณ์หลายคนถึงกับส่ายหน้านี่ยังไม่รวมถึงแฟนหนังบู้ทั้งหลายที่บอกว่า นี่คือ หนังแอ็คชั่นที่ย่ำแย่ที่สุดของ จา พนม บางคนถึงกับบอกว่า ไม่ควรสร้างหนังเรื่องนี้มาด้วยซ้ำ

                และถ้าช่วยยืนยันความย่ำแย่ของหนังเรื่องนี้ได้ก็คงเป็นนักแสดงนำอย่าง จา พนม ที่หลังจากถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จก็จัดการบินหนีไปถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Fast 7 ทันที โดยไม่ร่วมงานเปิดตัวเลยแม้แต่น้อยและที่สำคัญเขาก็ไม่เคยพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลยเช่นเดียวกับเหล่านักแสดงหลายคนที่ต่างปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อไป

                และความล้มเหลวของภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องนี้ก็ทำให้อนาคตของหนังแนวนี้ไม่แน่นอนและรู้สึกได้ถึงความมืดมนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

            3. ฟัดจังโตะ ความล้มเหลวของยอร์ช ฤกษ์ชัย

                ผมได้เขียนถึงภาพยนตร์ของยอร์ช ฤกษ์ชัย ในยุคปัจจุบันนี้ไปแล้วว่า เขาได้เปลี่ยนแนวจากการกำกับภาพยนตร์ตลกที่พูดถึงคนชนชั้นล่างหรือคนชายขอบมาเป็นหนังชนชั้นกลางที่ทั้งเรื่องมีสภาพเป็นเหมือนกับหนังสือรวมคำคมในเฟสบุ๊คไปแล้ว นั่นเองที่ทำให้ผมคาดการณ์ไว้ว่า แม้รายได้จะสามารถทำเงินไปได้พอสมควร แต่หนังของยอร์ชก็แทบจะเรียกได้ว่า ได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดีนัก สวนทางกับรายได้เสมอ อย่างเช่น คุณนายโฮ ที่ฉายไปเมื่อต้นปีที่แล้วก็ทำรายได้ไปกว่า 90 ล้านเลยทีเดียว กระนั้นเสียงวิจารณ์ในด้านคุณภาพและบทภาพยนตร์ของหนังต้องเรียกว่า ย่ำแย่จนหลายคนให้เป็นหนังไทยที่แย่ที่สุดไปเลย

                แต่ในเมื่อรายได้ดี ก็คงไม่มีใครสนใจหรอกครับ

                และปลายปีที่ผ่านมา ยอร์ช ฤกษ์ชัยก็กลับมาอีกครั้งกลับหนังเรื่องใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ฟัดจังโตะ ที่เอาดาราหนุ่มที่มีข่าวฉาวอย่าง บอย ปกร และ ยิปโซ ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนสองคนในประเทศญี่ปุ่นที่ยังคงเป็นหนังที่ยังคงเป็นหนังแบบยอร์ช ฤกษ์ชัยที่เรารู้จักกันอยู่ดี ทั้งมุขตลกแบบมุขชนมุข คำคมแบบหล่อ ๆ สวย ๆ จนชวนเลี่ยน แน่นอนว่า มันคือ หนังที่ฝ่ายค่ายหนังอย่าง M39 มั่นใจกันว่า จะต้องทำรายได้ไม่ต่ำกว่าเรื่องที่แล้วของเขาแน่ ๆ ทว่า แจ็กพ็อตแตกครับ เมื่อฟัดจังโตะกลายเป็นหนังที่ทำรายได้น้อยที่สุดของยอร์ช ฤกษ์ชัย คือทำรายได้ไปแค่ 50 ล้านกว่า ๆ เท่านั้น พร้อมเสียงวิจารณ์ที่ย่ำแย่พอ ๆ กับคุณนายโฮเสียด้วยซ้ำ

                แน่นอนว่า ปัจจัยทางการเมืองก็มีผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปแค่นี้ แต่ต้องพูดว่า มันเป็นที่คุณภาพของหนังและมุกแบบยอร์ช ฤกษ์ชัยนั้นไม่แปลกใหม่อีกแล้วก็ได้

                นั่นเองที่ทำให้งานต่อไปของยอร์ช ฤกษ์ชัยนั้นถูกจับตามองว่า จะไปทางไหนต่อ

            4. หม่ำ จ๊กม๊ก และ พลังมวลมหาประชาชนชาวรากหญ้า

            หนึ่งในหนังที่ทำเงินได้สุดเซอร์ไพส์ใครหลายคนในปีนี้ต้องบอกว่า เป็นหนังตลกอีสานภาคต่อ อย่าง แหยม ยโสธรภาค 3 ของหม่ำ จ๊กม๊ก ที่ทำรายได้ไปกว่า 50 ล้านในกรุงเทพและปริมณฑล ท่ามกลางความตื่นตะลึงของใครหลายคนที่ไม่คาดคิด หนังเรื่องนี้จะสามารถทำรายได้มากถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่มีปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ภาษาพูดของหนังที่ใช้ภาษาอีสานเป็นหลัก การที่หนังมันพูดคนอีสานและชนชั้นล่างจนอาจจะไม่ถูกจริตของคนดู และ หนังตลกคาเฟ่ได้ตายไปแล้วในสังคมไทย ทว่า หม่ำกับพิสูจน์ว่า เขาแม่นในสิ่งที่เขาทำจริง ๆ เพราะ นอกจากทำรายได้ดีแล้ว ภาคนี้ยังได้เสียงวิจารณ์ที่ดีกว่าภาคสองมากโขอยู่และที่สำคัญเพียง สี่คน ที่ประกอบในเรื่องก็โด่งดังพอ ๆ กับเพลง กลับมาทำไม ในภาคแรกด้วย แน่นอนว่า ปัจจัยที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทำเงินไปมหาศาลคงต้องบอกว่า หนังมันสะท้อนภาพตัวตนของคนชนชั้นล่างชาวอีสานออกมาได้อย่างชัดแจ้ง และ ตรงจุดอย่างยิ่ง หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องตรงไปตรงมาและถูกจริตของพวกเขาและส่งผลให้พวกเขาเข้ามาดูหนังกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยเฉพาะโรงหนังแทบรอบนอกกรุงเทพ หรือ ปริมณฑล ซึ่งเป็นบริเวณที่มีคนอีสานเข้ามาทำงานกันมากมายแทบจะเรียกว่า โรงแทบแตกเลยก็ว่าได้

                นั้นทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่แค่ชนชั้นกลางในเมืองหรือวัยรุ่นเท่านั้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญแล้ว คนชนชั้นล่างก็พร้อมจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของหนังเช่นกัน ถ้าคุณรู้จักทำหนังให้เข้าใจพวกเขาให้มากที่สุด

                อย่างเช่น ที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่อง แหยมยโสธร 3 นี้

                ที่ช่วยยืนยันว่า หนังไม่ใช่ความบันเทิงเฉพาะคนชนชั้นกลางเท่านั้น

            5. ประชาธิปไทย ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ตั้งวง ใครบอกว่า หนังการเมืองขายไม่ได้

                สิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นความแตกต่างอย่างยิ่งยวดในปีที่ 2013 ที่ผ่านมานั้นก็คือ การที่จู่ ๆ มีหนังสารคดีและหนังที่พูดถึงประเด็นหนัก ๆ อย่างการเมือง ความขัดแย้ง และ อัตลักษณ์ความเป็นไทย ออกมาถึงสามเรื่องเลยทีเดียว และแน่นอนว่า แต่ล่ะเรื่องล้วนแล้วเป็นหนังจากค่ายอิสระเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีพลังอะไรมากนัก ทว่า เนื้อหาของหนังก็ชวนให้คนสนใจไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็น

                ประชาธิปไทย หนังสารคดีที่พูดถึง ประชาธิปไตย ของประเทศไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 มาจนถึงยุคของทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 โดยผ่านการสัมภาษณ์นักวิชาการมากมายทุกฝ่ายทุกสีว่า อะไรคือ ประชาธิปไตยกันแน่

                ฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง หนังสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวของชายแดนไทยและกัมพูชาในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังมีข้อพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งจะพาไปให้เห็นถึงชีวิตของชาวบ้านทั้งสองประเทศที่อยู่ใกล้กันนี้อย่างใกล้ชิด

                ตั้งวง ภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชายกลุ่มหนึ่งที่ต้องไปแก้บนหน้าศาลพระพรหมเอราวัณที่ราชประสงค์ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนบนเองด้วยซ้ำ แน่นอนว่า มันคือ ภาพยนตร์ที่ตั้งคำถามถึงมายาคติความเป็นไทย การเมือง ศาสนา ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

                แน่นอนว่า การที่ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องนั้นมีโอกาสได้ลงโรงให้คนดูได้แบบนี้นั้นต้องฝ่าฝันอะไรหลายอย่างมากมายทั้งการเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดจนทำให้ ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เกือบเรต ฉ หรือห้ามฉายกันไปเลยทีเดียว ก่อนจะต่อสู้จนยอมเซ็นเซอร์บางส่วนในช่วงต้นออกไป เช่นเดียวกับ ประชาธิปไทยที่มีการเซ็นเซอร์ตัวเองโดยไม่ดูดเสียงช่วงคำพูดที่ล่อแหลมออกไปแทน

                แน่นอนว่า มันได้สะท้อนภาพของการปิดบังทางความคิดของรัฐออกมาได้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศนี้ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อยู่ และ ที่สำคัญมันยังปิดบังบางอย่างไว้ ท่ามกลางกระแสสายลมของอิสรภาพที่พัดผ่านมาสู่เมืองไทย

                ไม่ต้องแปลกใจที่จะมีหนัง เซ็นเซอร์ ต้องตายปรากฏตัวขึ้นและบอกเราว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งล่ะก็

                กองเซ็นเซอร์ก็คือ หนึ่งในนั้น

           6. หนังวัยรุ่น โลกนี้ไม่ได้สดใสเป็นสีชมพู

                สิ่งที่ต้องบอกว่า เป็นความน่าภูมิใจอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา แม้ว่า แนวหนังของประเทศไทยจะไม่เคยผ่านพ้นเรื่องราวของ ผี ตลก และ ความรักไปเลย แต่หนังเหล่านั้นก็พยายามหาทางฉีกตัวเองให้พ้นไปจากความซ้ำซากอันแสนน่าเบื่อตลอด ไม่ว่าจะเป็น หนังเรื่อง รักโง่ ๆ ที่พยายามบิดความซ้ำซากจำเจของหนังรักจนออกมาเป็นหนังรักแนวใหม่ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในปีนี้เรามีหนังวัยรุ่นหลายต่อหลายเรื่องออกฉายหลายเรื่อง แต่ที่น่าตกใจคือ หนังวัยรุ่นในปีนี้ไม่ได้พูดถึงชีวิตที่แสนสวยงามเหมือนโลกเป็นสีชมพูอีกแล้ว แต่มันกลับพูดถึงวัยรุ่นในด้านมืดที่ใครได้ดูแล้วต้องตกใจกันไปเลยทีเดียว

                ในบรรดาหนังวัยรุ่นในปีนี้แล้วต้องยอมรับว่า หนังเรื่อง เกรียนฟิคชั่น ของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นั้นโดดเด่นมากที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว ด้วยหน้าหนังที่หลายคนอาจจะคิดว่า มันเป็นเพียงหนังวัยรุ่นตลาด ๆ ดาด ๆ ที่คงไม่มีอะไรมาก แต่เอาจริงแล้ว มันเป็นหนังที่เข้าใจชีวิตวัยรุ่นและมองวัยรุ่นด้วยสายตาของคนวัยเดียวกันที่เข้าใจวัยรุ่นนั้นเป็นอย่างไร หนังพาเราไปสำรวจโลกวัยรุ่นอีกด้านที่ทั้งมืดมนยิ่ง หนังไม่ได้ฟูมฟายแต่ทำได้ดีจนน่าปรบมือและบอกได้เลยว่า นี่คือ หนังไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้เลยทีเดียว

                ชีวิตวัยรุ่นที่พลิกพันหลังความตายของเพื่อนคนหนึ่งคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ วัยรุ่นสองกลุ่มในหนังเรื่อง ทองสุก 13 และ Last Summer ฤดูร้อนนั้นที่ฉันตาย เพียงแต่ว่า หนังเรื่องหนึ่งนำเสนอการเอาคืนอย่างสาสมแบบตาต่อตาฟันต่อฟันที่เหยื่อมีต่อคนที่ทำร้าย และอีกเรื่องนั้นลงไปสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นรอบตัวของผู้รอดชีวิตหลังจบการตายนั้น แน่นอนว่ามันได้พาเราไปสำรวจความชิบหายที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นและช่วยบอกว่า หน้าฉากของมันไม่ได้สดใสอย่างที่เราคิดเลย เพราะ การตายของคนคนหนึ่งได้ฉุดให้คนที่อยู่ด้านหลังตกนรกลงไปพร้อม ๆ กัน แต่ที่สำคัญก็คือ ครอบครัวนั้นแหละที่อยู่เบื้องหลังความพินาศในชีวิตของวัยรุ่นนั้น ๆ

                นอกจากนี้ปรากฏการณ์ เต๋อ นวพล กับภาพยนตร์เรื่อง Mary is Happy , Mary Is Happy ที่ทำเงินไปมากมายทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงหนังอิสระที่ฉายเพียงไม่กี่โรงเท่านั้นแถมยังพูดถึงระบบการศึกษาของประเทศไทยได้น่าสนใจอีกด้วย นั้นเองที่ทำให้มองย้อนไปยังหนังวัยรุ่นที่ฉายในปีนี้ด้วยสายตาแห่งความหวังว่า

                หนังวัยรุ่นจะไม่ใช่หนังวัยรุ่นไร้สติอีกต่อไป

            7.  การเมืองร้อนแรง หนังไทยทรุด

            ต้องบอกว่า การเมืองที่ร้อนแรงขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ทำให้หนังไทยหลายต่อหลายเรื่องที่ฉายตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงสิ้นปีนั้นต่างประสบปัญหาด้านรายได้ไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่า พากันเจ๊งกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ผีเข้าผีออก หนังผีตลกล้อเลียนขนบหนังผีไทยทั้งหลายที่ทำเงินไปไม่ถึงสิบล้าน รวมพลลูกทุ่งพันล้านที่อุตส่าห์ขนเหล่านักร้องลูกทุ่งชื่อดังมาให้เพียบแต่ทำเงินไปไม่มากนัก โอ้ มาย โกสต์ คุณผีช่วย หนังตลกเรื่องใหม่ของตุ๊กกี้ ชิงร้อยที่พิสูจน์ว่า ช่วงเวลารุ่งเรืองของเธอจบลงไปแล้ว รวมทั้ง ฟัดจังโตะ ที่บอกว่า หนังของยอร์ช ฤกษ์ชัยเองก็ตาม แน่นอนว่า ในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ดีนักจนมาถึงเวลานี้ ภาพยนตร์ไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักไม่ใช่น้อย ทำให้ปีใหม่ที่มาถึงนี้หลายคนได้แต่หวังว่า

ฟ้าหลังฝนจะสดใสขึ้นกว่านี้

…..

                สรุปก็คือ ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ในปี 2013 นี้ ทุกคนยังคงหวังว่า เหตุการณ์ต่าง ๆจะสงบลงเสียที เราหวังว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทุกคนเดินตามกติกาและเหตุการณ์สงบลงและทุกคนเดินหน้าทำงานของตัวเองไปเสียที

                ทว่ามันคงเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เสียกระมั่งครับ

                ไปเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้กันครับ (ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอะไรเสียก่อน)

                ขอให้กำลังใจประชาชนทุกคนไว้ ณ ที่นี้ครับ

บันทึกความทรงจำภาพยนตร์ไทยที่ควรพูดถึงในปี 2013

ทองสุก 13

จันดารา ปัจฉิมบท

พี่มาก พระโขนง

คู่กรรม

เกรียนฟิคชั่น

ประชาธิปไทย

สารวัตรหมาบ้า

แหยมยโสธร 3

โลงจำนำ

ตั้งวง

ม. 6/5 ปากหมาท้าผี

รักโง่ ๆ

รวมพลลูกทุ่งพันล้าน

ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง

Mary is Happy, Mary is Happy

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ