Skip to main content

          และแล้วประเทศไทยก็ผ่านพ้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปได้ ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา มีทั้งจังหวัดที่สามารถเลือกตั้งได้อย่างหายห่วง มีทั้งจังหวัดที่เลือกตั้งได้บางเขต หรือ บางจังหวัดกลับไม่สามารถเลือกตั้งได้เลยด้วยสาเหตุต่าง ๆ ไป กระนั้นเองก็ต้องบอกว่า นี่คือ การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เพราะ เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนแทบจะไม่ได้สนใจผลการเลือกตั้งเลย แต่เป็นการเลือกตั้งที่เป็นเหมือนการวัดจำนวนคนที่สนับสนุนระบบการเลือกตั้งว่า มีมากมายแค่ไหน และอย่างที่เห็น แม้จะอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ยังมีคนออกไปเลือกตั้งกว่า 20 ล้านคน และยังมีคนที่ยังไม่ได้เลือกหรือเขตที่ถูกปิดไปอีกมากมาย ที่ต้องดูกันสรุปมีคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมดกี่ล้านคนกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ผมขอคารวะทุกท่านที่ออกไปเลือกตั้งแสดงเจตจำนงต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง และ ช่วยยืนยันว่า ระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตยนั้นก็คือ การมอบสิทธิเสรีภาพให้กับคนทุกชนชั้นโดยไม่มีแบ่งแยกใด ๆ ทั้งสิ้น

          แน่นอนว่า สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมคือ หัวใจหลักของการปกครองที่ชื่อว่า ประชาธิปไตย ดังนั้นประเทศใดที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเทศนั้นก็จะเป็นประเทศที่ไร้ซึ่งการแบ่งชนชั้น การให้สิทธิเสรีภาพแก่ผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน ซึงหากจะมองหาประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มข้นกันอย่างมาก ๆ ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะเป็นประเทศที่เราหลายคนมักได้ยินข่าวว่า ประเทศของพวกเขาเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ วัตถุนิยม ทุนนิยมอันแสนวุ่นวาย เป็นประเทศที่เครียดมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกเลยทีเดียว กระนั้นเองประเทศนี้ก็ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนรวมทั้งปลูกฝังความเป็นสิทธิเสรีภาพนี้ลงในสื่อต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ วรรณกรรมหรือกระทั่ง การ์ตูนเองก็ยังสื่อถึงประเด็นสิทธิเสรีภาพออกมาได้อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นการปลูกฝังให้ประชาชนของเขาเข้าใจว่า สิทธิเสรีภาพ นั้นสำคัญมากเพียงไหน

          และในบรรดาการ์ตูนที่ออกฉายจำนวนมากในปีที่ผ่านมานั้น มีการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างโดดเด่นไม่ใช่น้อยในประเด็นที่หนักและกล่าวถึงประชาธิปไตยและเสรีภาพออกมาได้อย่างตื่นตะลึงจนเรียกว่า เป็นการ์ตูนดีที่ถูกหลงลืมของปีที่แล้วไปเลยก็ได้

          การ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องนั้นก็คือ Outbreak Company

          Outbreak Company เป็นผลงานดัดแปลงมาจากไลท์โนเวลชื่อเดียวกันของ ซาซากิ อิจิโร่ ซึ่งออกตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว มีจำนวนทั้งสิ้น 7 และยังไม่จบ ซึ่งได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นอนิเมชั่นเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมานี้ โดยสตูดิโอ Feel มีจำนวนทั้งสิ้น 12 ตอน และฉายจนจบไปแล้ว ซึ่งตัวนวนิยายยังไม่มีการนำมาแปลในประเทศไทยในขณะนี้

ภาพปกไลท์โนเวล Outbreak Company

          เรื่องราวของ Outbreak Company เกิดขึ้นเมื่อ คาโน่ ชินอิจิโร่ โอตาคุหนุ่มที่กลายเป็นฮิคิโคโมริ เนื่องจากล้มเหลวในการสารภาพรักกับเพื่อนหญิงของเขา ความผิดหวังนั้นทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นพวกเก็บตัว เล่นเกมออนไลน์ ดูอนิเมชั่นจนเป็นโอตาคุขั้นเทพ ท่ามกลางความเอือมระอาของคนรอบข้างทำให้ชินจิโร่ตัดสินใจจะลองหางานทำและได้มีโอกาสไปทำงานให้กับบริษัท Outbreak Company บริษัทเผยแพร่วัฒนธรรมโอตาคุอย่าง อนิเมชั่น มังงะ และ เกม แก่โลกต่างมิติที่มีชื่อว่า อาณาจักรเอลดัน ประเทศในโลกแฟนตาซีที่ล้าหลังกว่าประเทศญี่ปุ่นมากนัก ซึ่งประเทศนั้นปกครองด้วยระบบสมบูรณอาญาสิทธิราช หรือ ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ โดยผู้ปกครองคือ ราชินีตัวน้อยที่ชื่อว่า เพลทราก้า แอน แอลดันที่ 3 ท่ามกลางการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจนในประเทศแห่งนี้ ทำให้ชินจิโร่ต้องหาทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปพร้อม ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ว่า บริษัทของเขานั้นมีจุดประสงค์อย่างอื่นแฝงอยู่ด้วย

          ครับ สิ่งที่ทำให้ Outbreak Company น่าสนใจนั้นก็คือ การมันเล่าเรื่องผ่านสายตาของคนนอกที่เข้าไปอยู่ในสังคมที่แตกต่างออกไป อันเป็นสภาพไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่คนตะวันตกในช่วงยุคล่าอาณานิคม ที่คนตะวันตกมักจะมองประเทศที่พวกเขาไปเยือนด้วยสายตาของชาวอารยะชน พวกเขามักจะมองประเทศนั้นว่าด้อยกว่า ทั้งด้านวัฒนธรรม ทั้งด้านเทคโนโลยี รวมไปถึง สิทธิเสรีภาพของประเทศนั้น ๆ เองด้วย

          แน่นอนว่า การที่ตัวของชินอิจิโร่จะสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมโอตาคุของเขาได้นั้น สิ่งแรกที่เขาจำเป็นนั้นก็คือ การสอนภาษานั่นเองครับ

          ชินอิจิโร่มองว่า ถ้าอีกฝ่ายที่เขาจะเผยแพร่ไม่เข้าใจหรืออ่านภาษาที่อยู่ในอนิเมชั่น มังงะ หรือกระทั่งเกมไม่ได้ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะเผยแพร่ ถึงจะมีแหวนเวทย์มนต์ที่เป็นเสมือนวุ้นแปลภาษาทำให้สามารถพูดคุยกันได้ก็ตามที แต่นั้นก็ไม่สามารถอ่านหรือถ่ายทอดสิ่งที่อยู่มังงะได้ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ชินอิจิโร่ตัดสินใจว่า จะต้องสอนภาษาของเขาให้กับเด็ก ๆ รวมพลเมืองของชาวเอลดันเสียก่อน โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวของเขาอย่าง มิวเซล ซึ่งเป็นเมดรับใช้ของเขาก่อน จากนั้นก็เริ่มเผยแพร่ไปยังราชสำนักชนชั้นสูง ทหาร และ เด็ก ๆ ในประเทศแห่งนี้ ซึ่งอย่างที่คิดว่า ได้ผลไม่ใช่น้อย จนกระทั่งมีการเปิดการเรียนการสอนหรือโรงเรียนขึ้นแห่งแรกในอาณาจักรเอลดันนี้จนได้

          จากนั้นชินอิจิโร่ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบบชนชั้นในประเทศนี้ขึ้นโดยใช้สื่อของเขานี่ล่ะครับที่เป็นตัวในการเปลี่ยนแปลงนั้น โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวของเขาก่อนอย่าง มิวเซล

          มิวเซล มีชื่อจริงว่า มิวเซล ฟอร์รัน เป็นลูกครึ่งมนุษย์กับเอลฟ์ จนเกิดเป็นพวกฮาล์ฟเอล์ฟ หรือ ลูกครึ่งซึ่งเป็นชนนั้นที่ถูกดูถูกเพราะ เป็น ชนชั้นลูกผสมที่เกิดขึ้นจากสองเผ่าพันธุ์อันได้แก่ เผ่าเอลฟ์ เผ่าพันธุ์ชนชั้นสูงที่ถนัดในการใช้ธนูและเวทย์มนต์ และ มนุษย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์ปกครองของดินแดนแห่งนี้ การที่เกิดฮาล์ฟเอลฟ์ขึ้นมานั้นทำให้มิวเซลถูกดูถูกมาตลอดจนแทบไม่สามารถอยู่ในกองทหารได้ ทั้งที่ฝีมือด้านเวทย์มนต์ของเธออยู่ในชั้นระดับสูงเลยทีเดียว เธอออกมาเป็นเมดหรือคนรับใช้ประจำคฤหาสน์ที่ชินอิจิโร่อยู่ ทำงานความสะอาดและดูแลคฤหาสน์แห่งนี้และคอยดูชินอิจิโร่ไปพร้อมกัน ด้วยความที่เธอคือ หญิงสาวที่ชินอิจิโร่สนิทสนมมากที่สุดและการมีรูปร่างงดงาม บวกกับอัธยาศัยที่ดีทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันและที่สำคัญทั้งคู่เข้าใจประเด็นของทั้งสองในเชิงคนนอกได้น่าสนใจไม่ใช่น้อย

          แน่นอนว่า มิวเซลเป็นคนนอกในสังคมของเอลดัน เพราะ ความเป็นลูกครึ่งที่เข้ากับฝ่ายไหนไม่ได้เลย ตัวชินอิจิโร่ก็มีความเป็นคนนอกในฐานะมนุษย์จากต่างโลกต่างอาณาจักรที่เดินทางมาดินแดนแห่งนี้เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ในเชิงนี้ ชินอิจิโร่เป็นคนนอกสังคมที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันใดของอาณาจักรนี้ เขาจึงรู้สึกว่า การกระทำของคนในประเทศนี้ที่มีต่อมิวเซลนั้นไม่ยุติธรรมนัก เธอไม่ผิดสักหน่อยที่เกิดมาเป็นลูกครึ่งเช่นนี้ กฎเกณฑ์พวกนี้ต่างหากที่ผิดสำหรับเขาเอง กระนั้นเองเมื่อมองย้อนไปในอดีตของชินอิจิโร่นั้น เราจะพบว่า เขาเองก็มีสถานะคนนอกในสังคมของญี่ปุ่นเช่นกัน เราได้รู้ว่า เขาเป็นโอตาคุที่ผิดหวังกับความรักที่เขามีให้เพื่อนหญิงของเขาอย่างหนักจนไม่สามารถรับได้และทำให้เขารู้สึกว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเขาเลย นั่นเองที่ทำให้เขาเลือกที่จะหนีความจริงไปวัน ๆ เท่านั้น ต้องบอกว่า การเป็นฮิคิโคโมริของชินอิจิโร่นั้นเกิดขึ้นเพราะ เขาอยู่ในโลกที่คิดว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่เขาคิดตลอด พูดง่าย ๆ เขาอยู่ในโลกแห่งความฝันมาตลอด และ คิดว่า โลกใบนี้จะเป็นเนฟเวอร์แลนด์ของเขา ทว่า ตัวชินอิจิโร่ก็ได้เจอกับตัวเองว่า ทุกสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เขาใฝ่ฝันเอาไว้เลย เขาจึงเลือกหนีความจริงด้วยเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์แทนหลายปีกระทั่งได้มาอยู่บนโลกแฟนตาซีใบนี้ที่ทำให้เขารู้ว่า เขาสามารถเป็นคนสำคัญหรือบุคคลที่เป็นที่ต้องการของโลกนี้ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว สถานะของการเป็นผู้จัดการบริษัท Outbreak Company ของชินอิจิโร่นั้นก็ทำให้เขากลายเป็นคนพิเศษอย่างที่เขาใฝ่ฝันเอาไว้จนได้

          แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือ เขาได้นำหลักและการมองโลกในแง่ดีจากสื่อเหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงเอลดันได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

          หลังเผยแพร่ภาษาญี่ปุ่นแก่ชาวเอลดันได้สำเร็จแล้ว ชินอิจิโร่ก็มองว่า จำเป็นจะต้องทำลายระบบชนชั้นให้หายไปเสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้ชนชั้นหรือเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ สามารถอยู่กันได้อย่างเสรี ไม่มีการดูถูก ไม่มีการเหยียบย่ำกันและกัน ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์เอลฟ์ เผ่าพันธุ์ขนแคระ เผ่าพันธุ์มนุษย์กิ้งก่า หรือ เผ่าพันธุ์อีกมากมาย

          ซึ่งตรงนี้แหละครับ คือ หลักการปกครองในแบบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

          ชินอิจิโร่เริ่มต้นสมานฉันท์ความไม่ชอบกันของเผ่าเอลฟ์ที่บอกว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์ชนชั้นสูงที่เน้นปัญญามากกว่าเผ่าพันธุ์อีกเผ่าอย่างคนแคระที่มีพละกำลังมากกว่าด้วยการแข่งขันฟุตบอล ที่ผลก็คือ แม้ว่าจะยังมีการทะเลาะกันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดังเช่นที่ สาวน้อยคนแคระกับเอลฟ์หนุ่มได้กลายเป็นเพื่อนซี้กันไปในที่สุด

          หรือการทำให้กษัตริย์ตัวน้อยอย่าง เพทราก้า แอน เอลดัน ที่ 3 ที่ถูกสอนมาให้ใช้ชีวิตในฐานะกษัตริย์สาวผู้เอาแต่ใจและถือยศถือตัวอย่างมากให้เข้าใจในความแตกต่างคนอื่น ๆ ครั้งหนึ่ง ชินอิจิโร่ถึงกับโกรธเพทราก้าที่กล่าวว่าและทำร้ายมิวเซลอย่างหนักด้วยเหตุผลแค่ว่า เธอเป็นพวกลูกครึ่งเอลฟ์มนุษย์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อยในสายตาคนในเมืองนี้ การที่เพทราก้าทำเช่นนั้นก็ทำให้ชินอิจิโร่โกรธและต่อว่าเธอไปโดยไม่กลัวว่าจะเจอโทษทัณฑ์ เพราะเขามองว่า มิวเซลไม่ได้ผิดอะไรที่เธอเกิดมาเช่นนี้ กระทั่ง หลังเหตุการณ์ลอบสังหารเขาและราชินีจบลง มิวเซลที่ช่วยเหลือราชินีตัวน้อยคนนี้โดยแลกกับการบาดเจ็บสาหัสนั้นก็ทำให้เพทราก้าเปลี่ยนมุมมองในการปกครองคนเสียใหม่ทั้งหมด และกลายเป็นพระสหายกับมิวเซลไปในที่สุด

          เช่นเดียวกับการที่คนในอาณาจักรเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปทีล่ะน้อย เริ่มมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น มีการผลิตภาพยนตร์ขึ้นมาเองบ้าง ทำให้เมืองแห่งนี้กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี ด้วยพลังของมังงะ อนิเมชั่นและเกมที่ถูกนำเข้ามาในประเทศนี้

          ชินอิจิโร่เริ่มรู้สึกว่า เขาจะต้องเปลี่ยนประเทศนี้ได้และมองเห็นอนาคตแห่งความเจริญอยู่เบื้องหน้า

          โดยที่เขาไม่รู้ว่า การกระทำของเขานั้นกำลังส่งผลร้ายบางอย่างออกมาจนได้

          แน่นอนว่า ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ลอบสังหารชินอิจิโร่และราชินีนั้นเกิดขึ้นโดยกลุ่มคนซึ่งได้แก่ ทหารกลุ่มหนึ่งที่มองว่า พวกชินอิจิโร่นั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ดีที่จะมาเผยแพร่วัฒนธรรมในประเทศนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี พวกชินอิจิโร่จึงถูกเรียกว่า ผู้รุกรานจากอีกฝ่ายไป

          แน่นอนว่า ตรงนี้ทำให้ชินอิจิโร่เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า จริงเหรอ

          เขาเป็นผู้รุกรานจริง ๆ หรือ

          กระทั่งช่วงท้ายของอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้เปิดเผยให้เราเห็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนนั้นก็คือ การที่สื่ออย่างอนิเมชั่น มังงะ หรือ เกม เริ่มขาดแคลนลงเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากการที่ทางฝ่ายบริษัทของชินอิจิโร่เริ่มส่งของให้ผิดบ้าง ส่งของมาน้อยบ้าง นั่นทำให้ประชาชนหรือกระทั่งเด็ก ๆ ในประเทศนี้เริ่มเกิดอาการลดแดง หรือ เรียกว่า ติด กันจนขาดไม่ได้ จนเกิดเหตุร้ายไปทั่วเมืองเพราะ การขาดของนั้นเอง และนั่นเองที่ชินอิจิโร่ได้รู้ว่า จุดประสงค์ของบริษัทนี้ก็คือ

          การรุกรานอาณาจักรเอลดันโดยไม่ใช่กำลังทหารนั่นเอง

          รัฐบาลญี่ปุ่นได้วางแผนใช้สื่อโอตาคุเหล่านี้เพื่อเป็นวัตถุในการรุกรานอาณาจักรนี้ที่พวกเขามองว่า ถ้าใช้วิธีนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องสู้กับพวกชาวอาณาจักรนี้ (ด้วยความเกรงกลัวเวทย์มนต์ของในประเทศนี้ไม่ใช่น้อย) เขาเลยใช้แผนในการสัมพันธไมตรีนี้ในการรุกรานแทน

          ซึ่งตรงนี้เองที่ผมเลือกใช้คำว่า การรุกรานเชิงวัฒนธรรม น่ะเอง

          การรุกรานนี้ทำให้ผมนึกถึงสงครามที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบนโลกอันเป็นผลมาจากรุกรานโดยใช้สินค้าแบบนี้ ซึ่งผลของมันก็คือ การเสียดินแดนของประเทศยักษ์อย่างจีนที่ต้องเสียเกาะหนึ่งให้กับประเทศอังกฤษไปช่วงเวลาหลายปีเลยทีเดียว

          ครับ ผมนึกถึงสงครามฝิ่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในปี .. 2382 ที่ทำให้จีนต้องเสียฮ่องกงให้อังกฤษไปนั้นเอง

          และในอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็เสมือนการนำสงครามฝิ่นมาแปลงนั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนจากฝิ่นเป็นสินค้าโอตาคุเท่านั้น

          ตามแผนการเดิมนั้น เมื่อฝ่ายเอลดันรับสื่อจากทางญี่ปุ่นไปพอสมควรแล้ว ทางนั้นจะเริ่มลดการส่งของลงทีล่ะน้อยทีล่ะน้อยจนกระทั่งสินค้าขาดแคลนอย่างหนัก และทำให้เอลดันอยู่ในสภาวะติดยาอย่างแท้จริง เมื่อนั้นญี่ปุ่นจะเริ่มมีการต่อรองผลประโยชน์กับทางอาณาจักรแลกกับของเหล่านั้น

          แน่นอนว่า สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการจากอาณาจักรแห่งนี้ก็คือ สนธิสัญญาในการขนเอาถ่านหินและพลังงานทั้งหลายจากประเทศนี้แลกกับสินค้าโอตาคุเหล่านี้ไปนั่นเอง

          ที่จริงแล้ว ญี่ปุ่นมองว่า ยังไงก็อาณาจักรเอลดันก็ต้องยอมรับข้อตกลงนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ เพราะ มันเกิดการระบาด หรือที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า Outbreak ไปแล้ว

          ทว่าพวกเขาดันคาดการณ์ผิดตรงที่ชินอิจิโร่ไม่เห็นด้วยกับการหลอกใช้เขาในการยึดครองอาณาจักรแห่งนี้ และที่สำคัญเขามองว่า พวกคนใหญ่คนโตนั้นกำลังเอาสิ่งที่เขารักมาใช้ในทางที่ผิด เขาจึงตัดสินใจต่อต้านด้วยการทำสิ่งที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ต้อง

          นั่นก็คือ การสร้างอนิเมชั่น มังงะ และ วรรณกรรมขึ้นมาเอง

          ด้วยเหตุผลว่า ในอาณาจักรเอลดันแห่งนี้นั้นมีคนที่มีความสามารถในด้านนี้มากมาย อาทิ เอลเบล สาวน้อยเผ่าหมาป่าที่มีความสามารถด้านการวาดรูปแบบที่หาใครเทียบไม่ได้ หรือ กระทั่งนักเรียนของชินอิจิโร่เองที่มีความสามารถในการแปลไลท์โนเวลหรือกระทั่งทำอนิเมชั่นเกิดขึ้นมากมาย และเมื่อมีคนที่มีความสามารถมากขนาดนี้การทำสื่อโอตาคุเองในสายตาของชินอิจิโร่นั้นเป็นไปได้

          ทว่า การทำแบบนั้นก็ย่อมทำให้แผนการฝิ่นของญี่ปุ่นเจ๊งไปด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะกำจัดชินอิจิโร่ซะ แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดว่า ทางอาณาจักรเอลดันจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชินอิจิโร่ในฐานะคนสำคัญของอาณาจักรนี้และด้วยความสามารถของราชินีตัวน้อยที่ยื่นเจรจากับทางผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นด้วยตัวพระเอกโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ทางฝ่ายนั้นไม่คิดว่า พระองค์จะเข้าใจภาษาและทุกอย่างหมดแล้ว ก็ทำให้แผนการยึดครองอาณาจักรนี้จบลงไปด้วย

          ในที่สุดอาณาจักรเอลดันก็หลุดพ้นจากการเป็นทาสอาณานิคมเชิงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไปได้ แม้ว่าจะทำให้ชินอิจิโร่ต้องเสียการสนับสนุนจากทางญี่ปุ่นไปก็ตาม ชินอิจิโร่ก็ยินดีเพราะ เขารู้แล้วว่า เขาไม่ใช่คนนอกในประเทศแห่งนี้อีกแล้ว แต่เขากลายเป็นคนใน คนสำคัญ ของประเทศนี้ไปแล้ว

          ชินอิจิโร่ในประเทศนี้เป็นทั้งอาจารย์ของเหล่านักเรียน ทูตสัมพันธไมตรีระหว่างญี่ปุ่นและราชอาณาจักรเอลดัน พระสหายของราชินีเพทราก้า และเจ้านายและคนที่รู้ใจของมิวเซลไปแล้ว

          และชินอิจิโร่มั่นใจว่า สักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนแปลงอาณาจักรแห่งนี้ให้มุ่งหน้าสู่ความเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพที่คนทุกชนชั้นอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ชินอิจิโร่หวังจะมีวันที่คนทุกเผ่าพันธุ์หมดอคติซึ่งกันและกันและเป็นเพื่อนกันได้ ทุกคนเล่นเกมกันได้ อ่านการ์ตูนกันได้ ดูอนิเมชั่นกันได้โดยไร้สิ่งที่เรียกว่า

          อคติและการเหยียดหยามทางเผ่าพันธุ์

          อย่างที่มิวเซลและราชินีเพทราก้ายังเป็นพระสหายกันได้

          และทำไมคนทั้งอาณาจักรทุกเผ่าจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้

          นี่คือ ความฝันของชินอิจิโร่ที่ตัวเขาพยายามอย่างเต็มที่จะทำให้อาณาจักรแห่งนี้มีสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเสียที แม้ว่าจะต้องเหนื่อยเพียงใด เจออุปสรรคมากน้อยเพียงใดก็ตาม เขาก็เชื่อมั่นหากตามใดที่ยังมีทุกคนอยู่เคียงข้าง เขาก็อาจจะทำความฝันนี้ได้สำเร็จแน่

          ดั่งเช่นที่มิวเซล เมดสาวของเขาบอกว่า

          แค่คุณมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว อย่างน้อยก็ตัวของฉันนี่แหละคะ

          ดั่งเช่นที่มิวเซลบอกเขาได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น และการเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังจะนำพาประวัติศาสตร์หน้าใหม่มายังอาณาจักรแห่งนี้

          อนาคตของอาณาจักรเอลดันในมือของพวกชินอิจิโร่จะเป็นเช่นไร

          ช่างน่าติดตามยิ่งนัก

…..

ศัพท์ที่ใช้ในบทความนี้มีหลายคำที่ใช้คำศัพท์ในวงการการ์ตูนมาเขียน ซึ่งเป็นศัพท์แสลงที่จะต้องมีการอธิบายให้ฟังดังนี้ครับ

1. โอตาคุ หมายถึง กลุ่มคนที่ชอบอะไรสักอย่างมาก ๆ จนถึงขั้นคลั่งไคล้มากราวกับแฟนพันธุ์แท้ อาทิ การ์ตูน อนิเมชั่น เกม หรือกระทั่ง การทหาร รถไฟ เป็นต้น เพียงโอตาคุไม่ใช่ความหมายทีดีนัก เพราะ เป็นชนชั้นที่น่ารังเกียจสำหรับคนญี่ปุ่นทั่วไป มักมีอิมเมจเป็นหนุ่มตัวอ้วนใส่แว่นกับเป้ใบใหญ่ ๆ

2. สินค้าโอตาคุ หมายถึง สินค้าที่ถูกผลิตมาขายโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ โอตาคุเหล่านั้น ซึ่งในเรื่องใช้เรียก อนิเมชั่น มังงะ เกม หรือ ไลท์โนเวลว่า สินค้าโอตาคุในการเรียกเหมารวม

3. มังงะ คือ ชื่อเรียกหนังสือการ์ตูนในภาษาญี่ปุ่น

4. ไลท์โนเวล คือ วรรณกรรมเล่มเล็กที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาง่าย ๆ มีภาพประกอบ และที่สำคัญสามารถนำไปดัดแปลงเป็นอนิเมชั่น เกม และ มังงะได้ง่าย

5. ฮิคิโคโมริ คือ อาการทางจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นมักใช้เรียก คนที่ขังตัวเองอยู่ในห้องนาน ๆ จนขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไป คนพวกนี้จะไม่ติดต่อสื่อสารกับใครนอกจากอยู่หน้าจอคอมเล่นเกมออนไลน์ไปบ้าง หรือทำอะไรไปบ้าง เป็นการตัดตัวจากสื่อสารไปโดยสิ้นเชิง หลายคนบอกว่า มันเกิดจากความผิดหวังในชีวิตของตัวเองบ้าง หรือรับความจริงไม่ได้บ้าง ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมากมายเลยทีเดียว

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ