Skip to main content

            ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนแรงและน่าเบื่อหน่ายของประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เยี่ยงนี้ ซึ่งดูเหมือนจะเข้าขากับอากาศร้อนที่กำลังแผ่ขยายเข้าปกคลุมน่านฟ้าเมืองไทยเสียเหลือเกิน มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนอึดอัดและร้อนเนื้อร้อนใจไม่ใช่น้อยสำหรับประเทศเราตอนนี้ที่ไม่รู้ว่า เรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร เนื่องจาก ระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นั้นก็เกิดความรุนแรงขึ้นเนื่อง ๆ ทั้งระเบิดที่เกิดขึ้นที่บริเวณราชประสงค์จนมีคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีการกราดยิงที่เวทีชุมนุมที่จังหวัดตราด มีการข่มขู่คุกคามคนเห็นต่างไม่เว้นแต่ละวัน มีการด่าทอสารพัดใส่ร้ายจนเราได้แต่ถอนหายใจ อย่างไม่รู้อนาคต มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ล่อแหลมอย่างยิ่งในสถานการณ์ของประเทศเราตอนนี้

          แน่นอนว่า ด้วยสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเยี่ยงนี้ได้ทำให้วงการต่าง ๆ ซบเซากันไปตาม ๆ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมหนังไทยที่ซบเซาไม่ใช่น้อย ค่ายใหญ่ไม่กล้าเอาหนังลงในช่วงเวลานี้บ้าง ค่ายเล็กก็อาศัยจังหวะนี้เอาหนังลงแต่ก็เจ็บตัวกันไป แต่ที่น่าเหนื่อยหน่ายนั้นก็คงเป็นบรรดาหนังทั้งหลายที่ออกฉายกี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็ทำให้เราถึงกับแทบอ้วกออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะ อุดมไปด้วยหนังที่พูดถึงแต่ความรัก ความรัก และก็ความรัก จนเราต้องหันถามคนสร้างหนังทั้งหลายว่า ไม่มีเรื่องอื่นจะเล่าแล้วหรือไง การที่เราเห็นหนังรักออกฉายมาก ๆ นั้นยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า โรงหนังของประเทศไทยนั้นเป็นสถานที่ที่ใช้ในการหลีกหนีความเป็นจริงแบบสุดกู่ เพราะ มันแสดงให้เห็นคนไทยช่างโหยหาความรักเสียเหลือเกิน จนแทบไม่ได้แตะต้องปัญหาหรือพูดถึงอะไรเลยนอกจาก ความรัก การตั้งคำถามถึงความรักมุมมองต่าง ๆ มีแต่เรื่องราวแบบนี้ที่เราต้องถามว่า มันจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน

          พูดตามตรงครับว่า น่าเหนื่อยหน่ายใจไม่ใช่น้อยสำหรับคนดูหนังอย่างเรา จริง จะบอกเลย

          ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ คนไทยเองก็มีรสนิยมดูหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อพอกัน เรามีอุดมคติเชื่อว่า หนังคือ ความบันเทิง ดังนั้นคนไทยจึงไม่นิยมดูหนังที่มีประเด็นเครียด ๆ เพราะ ใช้มันเพื่อหนีความจริงอยู่แล้ว ไม่แปลกที่หนังที่ประสบความสำเร็จในตารางทำเงินนั้นคือ หนังแนวตลก รัก หรือ ผี ทำให้มีหนังแนวนี้ออกมาอย่างมากมายในช่วงนี้ ขณะที่หนังทริลเลอร์ ฆาตกรรม หรือ สืบสวน สอบสวนนั้น ไม่เป็นที่นิยมเลยในประเทศ อาจจะด้วยเหตุผลว่า มันเครียดไปก็เป็นไปได้

          แน่นอนว่า เมื่อวงการหนังไทยนั้นน่าเบื่อและแทบมองไม่เห็นอนาคต ผมก็ลองมองไปยังประเทศในเอเชียของเราดูบ้างว่า จะมีหนังเรื่องไหนที่น่าสนใจและพอให้ผมได้รู้สึกว่า ยังมีหนังที่ไม่ได้พูดแต่เรื่องความรักบ้างไหม

          และผมก็มาเจอหนังเรื่องนั้นจนได้ครับกับ หนังจากประเทศเกาหลีใต้ เรื่อง The Terror Live

          The Terror Live เป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นทริคเลอร์อาชญากรรมที่กำกับโดย คิม บุง ยอง ที่กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 และทำรายได้ในเกาหลีใต้ไปพอสมควรรวมทั้งได้รับการโหวตจากเว็บไซต์ Imdb ที่ 7.2. ที่นับว่าเป็นคะแนนที่ไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับหนังเรื่องนี้

          เรื่องราวของ The Terror Live เกิดขึ้นในวันที่แสนธรรมดาวันหนึ่ง ณ สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ยุนยองหวา อดีตนักข่าวชื่อดังกำลังทำรายการวิทยุ คุยข่าว ในช่วงเวลาบ่าย ๆ ที่มีคนฟังเพียงหยิบมือ นั่นเองที่ทำให้ยุนยองหวารู้สึกเบื่อหน่ายและหวังจะหาทางกลับไปจัดรายการทีวีให้ได้อีกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งโชคดีหรือโชคร้ายก็มาหาเขา เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งอ้างตัวเป็นผู้ก่อการร้ายที่ต้องการคุยกับเขา ในตอนแรกยุนยองหวาไม่สนใจพยายามปิดสายนี้ กระทั่งชายคนนั้นตะโกนบอกเขาว่า ถ้าปิดสายของสะพานมาโปจะถูกทำลาย เขาจึงตะโกนท้าทายให้ชายคนนั้นระเบิดสะพานไปเลยด้วยคำหยาบคาย และชั่ววินาทีนั้นเอง สะพานมาโปก็ถูกระเบิดจริง ๆ ดั่งตาเห็น ท่ามกลางความสับสนของทุกคนในสถานี ยุนยองหวาตั้งสติได้ก่อนและถามโปรดิวเซอร์ของเขาว่า ได้อัดเสียงที่สนทนาเอาไว้หรือไม่ และเมื่อได้ยินว่า มีการอัดเสียงเอาไว้ ยุนยองหวาที่รู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด เขาคิดว่า เขามีโอกาสจะได้กลับไปทำงานทีวีอีกครั้ง ถ้าได้สัมภาษณ์สดผู้ก่อการร้ายคนนี้ เขาจึงโทรไปต่อรองกับผู้อำนวยการสถานีเรื่องนี้ และในที่สุดเขาก็ได้สัมภาษณ์ผู้ก่อการร้ายคนนี้สมใจ ทว่านั่นเองที่เขาได้พบว่า การสัมภาษณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาก็ได้

          สิ่งที่น่าสนใจสำหรับหนังเรื่องนี้นอกจากการดำเนินเรื่องโดยใช้โลเคชั่นเพียงโลเคชั่นเดียวนั่นก็คือ ในห้องส่งวิทยุเพียงห้องเดียวเกือบทั้งเรื่องเท่านั้น ความยอดเยี่ยมของมันก็คือ การที่มันเป็นหนังระทึกขวัญที่พูดถึงชนชั้น สังคม และ การเมืองของประเทศเกาหลีใต้ไปพร้อม ๆ กันด้วย

          แน่นอนว่า หนังมันตั้งคำถามถึงสื่อสารมวลชนของเกาหลีใต้ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะหนังแทบจะตีแผ่สื่อไว้ว่า เลือดเย็น โหดร้าย และ น่าจะเป็นผู้ร้ายตัวจริงของหนังเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ

          เพราะอะไร

          แน่นอนว่า หนังมันพาเรากระโจนไปตามติดการสัมภาษณ์ผู้ก่อการร้ายคนนี้กับยุนยองหวาในทันทีทันใด ด้วยจิตใจของเราที่พยายามเอาใจช่วยชายคนนี้ให้สามารถสัมภาษณ์ผู้ก่อการร้ายคนนี้และจับตัวเขาได้ตามสูตรของหนังทั่วไป ทว่าสิ่งที่เราได้จากดูพฤติกรรมของยุนยองหวานั้น เราจะพบว่า เขาเป็นตัวละครที่มีสภาพไม่น่าเอาใจช่วยเลยแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ เริ่มจากการที่เขาเลือกจะปกปิดเทปการสัมภาษณ์ของเขากับผู้ก่อการร้ายทั้ง ๆ ที่เขาควรจะโทรบอกตำรวจเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับเลือกจะเก็บมันไว้ก็เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการกลับไปเป็นผู้อ่านข่าวอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งนิสัยชอบพูดจาหยาบคาย ไม่ไว้หน้าใคร คิดหาแต่ผลประโยชน์ท่าเดียว แน่นอนว่า นอกจากยุนยองหวา ที่เรารู้สึกได้ถึงความเลือดเย็นของมนุษย์แล้ว อีกคนที่เรารู้สึกได้ถึงความเลือดเย็นนั่นก็คือ ผู้อำนวยการสถานีของยุนยองหวานั่นเอง ซึ่งเขานั้นคิดเพียงอย่างเดียวก็คือ การทำเรตติ้งของรายการนี้ให้ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยไม่สนใจว่า ใครจะต้องตายหรือสังเวยกับระเบิดด้วยซ้ำ เพราะ สิ่งที่เขาต้องการคือ ดราม่า ดราม่าที่จะทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็น เขาพูดออกมาในเชิงแล้งน้ำใจว่า ให้ปฏิเสธข้อเสนอของผู้ก่อการร้ายไปซะ ซึ่งหมายความว่า ตัวประกันที่เหลืออยู่บนสะพานที่ขาดสองท่อนจะต้องตายทั้งหมด

          รวมทั้งอดีตภรรยาของยุนยองหวาที่เป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามอยู่ที่สะพานนั่นด้วย

          แน่นอนว่า พอเห็นคนสำคัญของตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ยุนยองหวาก็ทำอะไรแทบจะไม่ถูกเหมือนกัน จิตใจของเขาเริ่มหวั่นไหวประกอบกับเหตุผลของผู้ก่อการร้ายนั้นทำให้เขาถึงกับลังเลขึ้นมาเหมือนกัน

          เพราะผู้ก่อการร้ายนั้นที่วางระเบิดสะพานแห่งนี้นั้นไม่ได้เพราะ เขาไม่ได้ต้องการฆ่าคนบริสุทธิ์ เขาไม่ได้ต้องการแก้แค้นอเมริกัน แต่สิ่งที่เขานั้นก็เพื่อให้รัฐบาลเกาหลีใต้ที่ให้ดำเนินการซ่อมสะพานเนื่องจากมีงานประชุมสุดยอดผู้นำโลกเมื่อสามปีก่อนจนมีผู้เสียชีวิตถึงสามรายในวันนั้นแต่ไม่เป็นข่าวเลยด้วยซ้ำนั้นช่วยเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งสามคนนั้น

          และขอให้ประธานาธิบดีขอโทษญาติผู้เสียชีวิตเหล่านั้นด้วยตัวเอง

          ครับ แน่นอนว่า คำขอนี้เป็นคำขอที่เรารู้สึกว่า มันช่างเป็นคำขอที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย มันเป็นคำขอที่ฟังเหมือนง่าย ๆ แต่เอาจริงแล้วทำยากเหลือเกินครับ

          เพราะ สิ่งที่ฝ่ายมั่นคงกล่าวอ้างก็คือ จะไม่มีการเจรจากับผู้ก่อการร้ายใด ทั้งสิ้น

          พร้อม ๆ กับที่ทางสถานีของยุนยองหวานั้นกดดันเขาให้ถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ จนกว่าตำรวจจะสามารถจับตัวคนร้ายได้ แต่ที่น่าสนใจคือ พลังอำนาจของสื่อนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน น่ากลัวจนเรารู้สึกว่า สื่อมวลชนนี่ล่ะคือ ปัญหาสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้ไม่อาจจะจบลงได้อย่างมีความสุขเหมือนกับนิยายอย่างที่มันควรจะเป็น

          เมื่อชมหนังเรื่องนี้ เราจะมองเห็นกระบวนที่เรียกว่า กระบวนการสร้างวีรบุรุษของสื่อมวลชนออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง เราเห็นสื่อมวลชนมุ่งเป้ารายงานภาพ นาทีที่รถคันหนึ่งกำลังร่วงตกลงแม่น้ำไป โดยในนั้นมีชายคนหนึ่งที่เป็นพ่อของเด็กสาวสองคนอยู่ด้วย แน่นอนว่า การตายของเขาถูกประโคมโดยสื่อมวลชนทั้งหมดโดยทันที มีทั้งการสัมภาษณ์ญาติของเหยื่อ มีทั้งการไว้อาลัยและประณามการกระทำของผู้ก่อการร้ายโดยพลัน ซึ่งแม้แต่ผู้ก่อการร้ายเองยังแสดงเสียงเศร้าออกมาว่า เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน และไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

          แต่สื่อมวลชนก็พยายามจะวางบทให้ผู้ก่อการร้ายคนนี้เป็นเสมือนปีศาจร้าย ทั้งการโจมตีมั่วซั้ว การเล่นกับความรู้สึกของคนที่ทำให้คนเห็นด้วยกับการจับกุมหรือฆ่าเขาเสียเหมือนที่ผู้อำนวยการของยุนยองหวาบอกกับเขาว่า ประชาชนต้องให้ผู้ก่อการร้ายคนนี้ตาย

ไม่ใช่ได้รับการขอโทษและจับกุมได้ง่าย ๆ อย่างที่ยุนยองหวาต้องการ

          นั่นคือ การเล่นกับดราม่าของคนน่ะเอง

          และการที่สื่อสารมวลชนในเรื่องนั้นหวังเพียงแต่เรตติ้งและผลประโยชน์ของตัวเองจนไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่า จะมีใครตายหรือสังเวยกับเหตุการณ์นี้อีกกี่คน เพราะยิ่งมีดราม่ามากก็ยิ่งมีเรตติ้งดีและยอดโฆษณาเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ผมเคยได้ยินสมัยเรียนวิชาสื่อ อาจารย์ที่สอนเคยบอกว่า สำหรับสื่อมวลชนแล้ว โลกที่แสนสงบสุขนั้นน่าเบื่อยิ่งนัก เพราะมันขายข่าวได้ยาก ต่างจากโลกที่วุ่นวายมาก ๆ พวกเขาจะหาข่าวได้ง่ายและที่สำคัญมีคนสนใจมากขึ้นด้วย นั้นยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า สื่อมวลชนที่เป็นเสมือนทางสว่างของผู้คนนั้นกลับกลายเป็นความมืดมิดเสียเอง

          เมื่อสร้างปีศาจได้แล้ว การทำลายปีศาจจะต้องเกิดขึ้น ทว่า สำหรับยุนยองหวาแล้วเขาเริ่มรู้สึกเอนเอียงไปทางผู้ก่อการร้ายมากขึ้นทุกที

          และยิ่งมากขึ้นเมื่อเขาได้รู้ว่า  ชีวิตและความผิดของเขาถูกดึงไปให้กับสำนักข่าวอีกแห่งเปิดโปงและซักถามโดยผู้อำนวยการของเขาเองที่ทำแบบนี้เพื่อลงโทษตัวเขาที่ไม่ยอมอ่านข่าวที่ต้องการให้อ่าน และหวังจะให้ผู้ก่อการร้ายคนนี้ได้รับการขอโทษ ทว่าสิ่งที่เขาได้รับการตอบแทนคือ การทรยศของเพื่อนร่วมงานที่เอาความลับของเขาไปปล่อย รวมทั้ง ผู้อำนวยการสถานีที่ลอยตัวเอาตัวรอดไปคนเดียว (รวมทั้งได้ความชอบไปด้วย) โดยทิ้งให้เขาต้องรับกรรมไปเพียงคนเดียว เพราะ อดีตที่ถูกนำมาขุดคุ้ยจนเละเทะของเขาได้ทำให้รายการมีเรตติ้งถึง 7.00 กว่าด้วยซ้ำไป

          ตรงนี้เองที่ทำให้ยุนยองหวารู้สึกว่า เขาถูกทรยศ

          เหมือนเช่นที่เขาทำกับอดีตภรรยาของเขาด้วยการขโมยข่าวของเธอไปส่งทำให้เขาได้รับรางวัลผู้สื่อข่าวยอดเยี่ยมไปนั่นเอง

          วินาทีนั่นเองที่ยุนยองหวารู้สึกว่า เขาหมดสิ้นจริง ๆ แล้วในตอนนี้

          ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า ตัวเราในฐานะคนดูนั้นรู้สึกว่า ความผิดของยุนยองหวานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขุดคุ้ยเอาตอนนี้เลยสักหน่อย เพราะ สิ่งที่ควรจะทำตอนนี้คือ การเจรจากับผู้ก่อการร้ายและช่วยเหลือตัวประกันที่อยู่บนสะพานมากกว่า

          และทางเดียวที่ทำได้ก็คือ การให้ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้มาขอโทษเท่านั้น

          ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น นี่คือ สิ่งที่ยุนยองหวาคิดมาตลอดจนกระทั่งตัวจริงของคนร้ายถูกเปิดเผยและนั่นยิ่งทำให้เรารู้สึกเลยว่า

          นี่มันบ้าอะไรกัน

          เพราะตัวจริงของผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่วางแผนระเบิดสะพานมาโปแห่งนี้ก็เพราะ ต้องการได้ยินคำขอโทษของประธานาธิบดีที่ทำให้พ่อของเขาซึ่งเป็นคนงานก่อสร้างจนจนคนหนึ่งเสียชีวิตลงเพียงเพื่อทำโอทีเอาเงินเพียง 25 เหรียญเท่านั้น

          แต่การเสียชีวิตของพ่อและคนงานอีกสองคนนั้นแทบจะไม่มีสื่อมวลชนหรือใครสนใจเลยแม้แต่คนเดียว

          ไม่มีแม้แต่การเยียวยา ไม่มีแม้แต่การถามหา

          ไม่มีแม้กระทั่งตัวตนในสังคม

          เอาจริงแล้ว ผู้ก่อการร้ายหนุ่มคนนี้ก็ทำเรื่องเลวร้ายหลายอย่าง อาทิ การวางระเบิดสะพาน หรือ กระทั่งการฆ่าผู้บัญชาการทหารตายคากล้องเพราะ ผู้บัญชาการคนนี้กล่าวว่าร้ายและดูถูกเขา แต่เมื่อมองดูสถานะของเขาแล้ว ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้จะมีใครที่ไหน

          สนใจเรื่องของเขาบ้าง

          ความอำมหิตของหนังก็คือ การให้เราเห็นว่า คนเรานั้นไม่เคยเท่ากัน ชีวิตของคนงานก่อสร้างจน หรือที่เรียกว่า ชาวไพร่นั้นช่างไร้ค่าเมื่อเทียบกับคนชนชั้นกลางขับรถสวย หรือผู้บัญชาการทหาร ยังไม่ได้เลย

          ราวกับว่า ตายไปก็ไม่มีใครสนใจ

          แม้กระทั่งรัฐเองก็เช่นกัน

          เพราะอย่างที่เห็นรัฐบาลนั้นเพียงต้องการรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้รวมทั้งแสดงสิ่งที่สื่อมวลชนหรือมวลชนชั้นกลางทั้งหลายต้องการออกไป (อย่างการบอกว่า เราไม่เจรจากับผู้ก่อการร้าย)

          ตรงนี้ทำให้ยุนยองหวาที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ต่างกับคนพวกนั้นด้วยซ้ำได้หวนตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า มันเกิดขึ้นเพราะ อะไร ก็ต่อเมื่อชีวิตของเขานั้นหมดสิ้นลงหมดสภาพเทวดากลายเป็นไพร่แบบที่ชายหนุ่มคนนั้นเป็นไปแล้ว

          เมื่อเขาไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งภรรยาของเขาเองก็ตายจากเหตุการณ์นี้ด้วย

          เพราะ ความเห็นแก่ตัวของรัฐบาล ไม่สิ ต้องบอกว่า เพราะความเห็นแก่ตัวของประชาชนชาวเกาหลีใต้ทั้งหมดนั่นแหละ

          เอาจริง ชายหนุ่มผู้ก่อการร้ายนั้นไม่ได้ต้องการให้ใครตายเลยสักคน การระเบิดของเขาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่มีคนบนสะพานซะด้วยซ้ำ (เพราะติดไฟแดง) ทำในการระเบิดทั้งสองคนไม่มีคนตายเพราะ การระเบิดเลย (ยกเว้นรถยนต์ที่ตกลงไปเพราะ โชคร้าย) ตรงนี้เองที่ทำให้ยองยุนหวารู้ว่า ชายหนุ่มไม่ได้มีเจตนาฆ่าคน เขาเพียงต้องการให้คนมาสนใจเท่านั้นเอง

          สุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจจะฟังเขาเลยสักคน แม้กระทั่งยุนยองหวาเองก็ตาม

          และในที่สุด ชายหนุ่มผู้ก่อการร้ายก็ถูกฆ่าตายด้วยคมกระสุนปืนของรัฐบาลตามบทบาทที่ถูกวางเอาไว้ว่า เขาจะต้องตาย

          คนใหญ่คนโตพวกนั้นวางบทไว้ว่า เขาจะต้องตายด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ว่า เขาระเบิดสะพาน แต่เขาทำเหยียบหน้าเหล่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นเข้าเต็มตีนที่มาท้าทายอำนาจของพวกเขาและทำให้พวกคนใหญ่โตทั้งหลายรู้สึกว่า การถูกเหยียบหน้าโดยคนตัวเล็ก โดยไพร่ตัวเล็ก คนหนึ่งแบบนี้เป็นเรื่องเสียหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจะต้องตายเพื่อให้รัฐบาลยังคงอำนาจและมีความศักดิ์สิทธิ์ต่อไป โดยไม่สนใจว่า เขาเองก็เป็นประชาชนอีกคนหนึ่งเหมือนกันที่ถูกรัฐกระทำให้ต้องพบกับความวิบัติ และการที่เขาไม่สามารถไปเรียกร้องความยุติธรรมจากใครได้ ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่นอกลู่นอกทางแบบนี้

          ก่อนจบลงด้วยความตายที่รัฐมอบให้เขาในฐานะปีศาจร้ายที่ต้องถูกกำจัดนั่นเอง

          โดยที่ไม่มีใครสนใจข้อเสนอของเขา ไม่มีใครสนใจการกระทำของเขา

          และไม่มีใครฟังคำเตือนของเขาเลย

          และส่งผลให้ตัวประกันบนสะพานทั้งหมดเสียชีวิตลง

          แต่รัฐบาลกลับได้ประโยชน์เต็ม ๆ เมื่อเขาได้โยนสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับชายหนุ่มและยุนยองหวารับผิดไปในฐานะผู้ก่อการร้ายที่รัฐออกคำสั่งให้ต้องถูกสังหารสถานเดียว

          เพื่อปกปิดความผิดพลาดของพวกเขา ทั้งเรื่องคนงานที่ตายและเรื่องที่รัฐบาลเพิกเฉยต่อการเสียชีวิตของผู้คน

          ดังนั้น ยุนยองหวาจะต้องตายในฐานะผู้ก่อการร้ายเท่านั้น

          ตอนนี้เองที่ยุนยองหวาที่หมดสิ้นทุกอย่างแล้วทั้งชื่อเสียง เงินทอง การงาน ชีวิต รวมไปทั้งอดีตภรรยาได้รู้สึกว่า ทำไมกันหน่อแค่คำง่าย ๆ อย่างคำว่า ขอโทษ นั้น นักการเมืองถึงพูดไม่ได้

          ทำไมพวกเขาถึงทำเรื่องแค่นี้ให้ประชาชนไม่ได้

          ประชาชนเป็นเพียงเบี้ยของรัฐบาลเท่านั้น ชนชั้นไพร่อย่างพวกเขานั้นเป็นแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่จะตายยังไงก็ได้เท่านั้นหรือในสายตาของคนพวกนี้

          ยุนยองหวาคิดในใจแบบนั้น ขณะที่เวลาของเขาใกล้หมดลง เสียงปืนดังขึ้นใกล้ตัวของเขามากขึ้นทุกที

          และเขาก็ตัดสินใจทำบางอย่าง

          ยุนยองหวาได้ตัดสินใจกดสวิตย์ระเบิดให้อาคารสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ระเบิดไปพร้อม ๆ กัน หมายจบชีวิตของตัวเองลงในวินาทีนี้ ความตายของเขานั้นเกิดขึ้น หลังจากที่เขารู้ว่า สิ่งที่เขาเชื่อ เขาเข้าใจมาตลอดไม่ใช่สิ่งที่เขารู้เลย เขาไม่เคยคิดว่า เขานั้นจะเป็นเพียงฟันเฟื่องอันเล็ก ๆ ที่ไร้ค่าของประเทศนี้

          ฟันเฟื่องที่จะถูกถอดออกเมื่อไหร่ก็ได้

          วินาทีตึกแห่งนี้ถล่มลงมานั้นก็ไม่ต่างกับความฝันของยุนยองหวาที่พังทลายเหมือนกับตึกแห่งนี้ที่แม้จะสร้างสูงเทียบฟ้าเพียงใดก็ไม่อาจจะขึ้นพระอาทิตย์ได้

          เขาเองก็ไม่ต่างกับอิคารอสที่พยายามบินไปให้ถึงพระอาทิตย์อันสูงเสียดฟ้า ทว่า ปีกของเขากลับไฟนั้นแผดเผาจนร่วงหล่นลงมาบนพื้นดิน

          ความฝันเพียงชั่วประเดี๋ยว กลับกลายเป็นความจริงอันแสนโหดร้าย

          ที่บอกกับเราเพียงว่า โลกใบนี้โหดร้ายเสมอ

          โดยเฉพาะชีวิตชาวไพร่นั้น ยิ่งเรียกว่า โหดร้ายจนแทบหาแสงสว่างไม่เจอ

          กระนั้นเองก็มีเสียงเดียวที่เท่าเทียมกันนั่นคือ ความตาย

          เพราะสุดท้ายความตายนั่นแหละ คือความยุติธรรมเดียวที่ธรรมชาติให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะยากดีมีจนเพียงไร จะเป็นประธานาธิบดี เป็นพระราชา ชนชั้นกลาง ไพร่ หรือ สัตว์ก็ต้องตายทั้งนั้น

          เหมือนเช่น ยุนยองหวาที่หลับตาลงในชั่ววินาทีที่ตึกกำลังถล่ม

          พร้อมกับที่ทุกอย่างได้ดับวูบไป

…..

ป.ล. ต้องบอกว่า ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วอิจฉาประเทศเกาหลีใต้ไม่ใช่น้อย เพราะ อุตสาหกรรมหนังของประเทศเขานั้นไปไกลกว่าที่เราคิดนักจริง ๆ เพราะอย่างที่เรารู้งานแนวทริลเลอร์ระทึกขวัญของเกาหลีใต้นั้นเชื่อขนมกินได้เสมอมา เราได้ยินชื่อของ Oldboy , The Chaser , The Memories of Murder หรือกระทั่ง I Saw The Devil ที่ต่างเป็นหนังทำเงินหรือได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดีด้วยซ้ำไปในหลายปีที่ผ่านมา ย่อมแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมหนังของประเทศเขานั้นไปไกลยิ่งกว่าประเทศเราจริง ๆ

         

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ