สิ่งที่คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้ทิ้งเอาไว้ในไตรภาคหนังซุปเปอร์ฮีโร่ The Dark Knight นั้นก็คือ การตั้งคำถามว่า การมีแบ๊ทแมน หรือ ซุปเปอร์ฮีโร่นั้นคือ สิ่งที่ควรจะมีอยู่ในสังคมต่อไปหรือไม่ แน่นอนว่า ประเด็นนี้ตัวโนแลนได้ตอบไปเองในหนังว่า เขาเชื่อมั่นในตัวแบ๊ทแมนและมองว่า การมีฮีโร่หรือศาลเตี้ยคือ สิ่งที่ควรกระทำ เพราะเขาไม่เชื่อมั่นในระบบ กระนั้นเองคำถามที่ว่า ควรจะมีซุปเปอร์ฮีโร่ไหม นั้นได้กลายเป็นสิ่งที่หนังฮีโร่หลายเรื่องได้พากันตั้งคำถามไว้ว่า เราจำเป็นหรือจะต้องมีอำนาจนอกกฎหมายพวกนี้เข้ามาดูแลสังคมของเรา
เราควรไว้ใจคนพวกนี้มากกว่าตัวบทกฎหมายแล้วหรือ ?
หรือว่า กฎหมายไม่มีความสำคัญอีกแล้วนอกจากการให้อำนาจคนกลุ่มหนึ่งอวดอ้างว่า ตัวเองเป็นคนดี แต่เราไม่อาจจะแน่ใจได้ว่า เขาเป็นคนดีอย่างที่อวดอ้างหรือไม่
เหมือนเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับในหนังภาคต่อฮีโร่เรื่อง Captain America: The Winter Soldier (2014) ที่หยิบยกประเด็นที่ว่า เราควรมีฮีโร่จริง ๆ หรือ ? ขึ้นมาเป็นประเด็นหลักที่น่าสนใจ และแน่นอนว่า ประเด็นนี้เองที่กลายเป็นเสมือนให้เราหันหน้ามองย้อนกลับไปว่า ถ้าเรามีฮีโร่ขึ้นมาในสังคมขึ้นมาจริง ๆ มันจะมีสภาพอย่างไร ?
เรื่องราวของกัปตันอเมริกาในภาคนี้เกิดขึ้น หลังจากจบเหตุการณ์ใน The Avengers ไปไม่นานนัก ตัวของ สตีฟ โรเจอร์ส ทหารหนุ่มหลงยุคต้องใช้ชีวิตใหม่ในโลกใบนี้ที่ที่เขาต้องพยายามปรับตัวใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปกว่าที่เขาคาดนัก ตัวของโรเจอร์สเข้าร่วมกับหน่วยงานของชีลด์ (Shield) หน่วยงานลับของรัฐบาลที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนซุปเปอรืฮีโร่ของโลก ซึ่งนำโดย นิว ฟิวรี ผู้อำนวยการของหน่วยที่กำลังวางแผนที่จะสร้างระบบใหม่เพื่อหยุดยั้งอาชญากรรมก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของโรเจอร์ที่มองว่า การกระทำเช่นนี้จะเป็นเสมือนการเร่งปฏิกิริยาของความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่า คำเตือนของโรเจอร์ทำให้ฟิวรีที่รู้สึกไม่มั่นใจกับแผนงานนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงยื่นเรื่องให้กับเลขาธิการของผู้บริหารชีลด์อย่าง อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ ให้ระงับโครงการนี้ไปก่อน ทว่าตัวของฟิวรีก็ถูกลอบสังหารโดยกลุ่มคนลึกลับจนเสียชีวิต โดยเขาได้มอบเอกสารลับให้กับโรเจอร์ก่อนตายที่ส่งผลให้เขาถูกประกาศให้เป็นคนทรยศของชีลด์และถูกองค์กรของเขาไล่ล่า เขาไม่อาจจะไว้ใจใครได้เลย นอกจากตัวของเขาเองเท่านั้นที่ต้องหาคำตอบว่า อะไรอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนี้ รวมทั้งการเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทของเขาอย่าง บัคกี้ ที่กลายเป็น มัจจุราชอหังการ หรือ The winter Soldier ไปแล้ว
นี่คือสิ่งที่กัปตันอเมริกาผู้นี้จะต้องเผชิญหน้าในคราวนี้
แน่นอนว่า สิ่งที่กัปตันอเมริกาภาคนี้ได้ทำนั้นคือ การสานต่อประเด็นในภาคแรกของหนังที่ตั้งคำถามว่า ถ้าทหารหนุ่มหลงยุคคนหนึ่งมาใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันมันจะเป็นเช่นไร และนี่คือ คำตอบครับ หนังมันไม่ได้ให้เรามองเห็นเฉพาะชีวิตที่แสนน่าตลกขบขันกับการใช้ชีวิตผิดยุคเท่านั้น แต่มันยังพาเราร่วมกระโจนไปสำรวจโลกใบใหม่ที่แตกต่างไปจากที่เขาเคยรู้จักและต้องพยายามปรับตัวให้ชินกับมัน
ไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวโรเจอร์สจะต้องเผชิญหน้ากับภรรยาของตัวเองที่บัดนี้แก่ตัวแถมยังล้มป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ที่รุมเร้าเธออยู่ตลอดเวลา ขณะที่เขายังคงหนุ่มแน่นไม่แก่ตัวลงเสียที มันสะท้อนภาพความจริงที่เขาต้องยอมรับว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วจนยากจะหวนคืนได้
โอเค ถ้าเป็นคนปกติแล้ว คงอาจจะคลั่งไปเลยก็ได้เมื่อต้องเจอเช่นนี้ ทว่าสตีฟ โรเจอร์ส ก็พยายามยอมรับความจริงนี้และหาทางที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้ต่อไป แม้ว่าตัวเขาจะเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานในความทรงจำของคนอเมริกันไปแล้วก็ตาม เขาก็ยังทำหน้าที่ในการพิทักษ์โลกต่อไปกับหน่วยชีลด์ของเขาเอง แม้ว่าจะไม่แน่ใจในความคิดของฟิวรี่หรือเพื่อนร่วมงานอย่าง แบล็ควิโดว์ นัก โรเจอร์สก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำหน้าที่ภารโรงเก็บกวาดขี้ของฟิวรี่ต่อไป กระทั่งเหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้ฉุกคิดว่า
อะไรกันแน่คือ ภัยคุกคามโลก
ตัวโรเจอร์เองนั้นหลับไปหลายสิบปีทำให้เขาไม่ได้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายของประเทศหลายอย่าง จะว่าไปเขาฟื้นขึ้นมาในช่วงหลังจบสงครามก่อการร้ายและสงครามเย็นได้จบลงไปด้วยซ้ำไป นั่นเองที่ทำให้เขาไม่รู้ว่า ชีลด์กำลังทำนั้นอาจจะเป็นการเร่งปฏิกิริยาความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ต่างหาก
ครับ จะว่าไป ชีลด์กำลังทำซ้ำรอยเดิมกับสิ่งที่อเมริกาเคยทำเมื่อหลายสิบปีนั่นก็คือ การสร้างความกลัวให้กับคนอื่นโดยไม่จำเป็นน่ะเอง
หากมองย้อนกลับไปยังสงครามเย็นที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น เราจะพบว่า มันเกิดขึ้นเพราะความหวาดระแวงของสองประเทศใหญ่อย่าง อเมริกา และ โซเวียต ที่เร่งขยายอาณาเขตลัทธิความเชื่อของตัวเองออกมาอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่า เมื่อฝ่ายใครครอบครองอาณาเขตได้กว้างก็ทำให้อีกฝ่ายมีชัยภูมิและทรัพยากรในการทำสงครามได้ดีเช่นกันจึงไม่แปลกว่า บรรยากาศของโลกในตอนนั้นตรึงเครียดกันไปยกใหญ่อันเนื่องจากความกลัวที่ครอบคลุมทั้งฝ่ายนั่นเอง
ก็ไม่แปลกที่ว่า ชีลด์จะเพาะเลี้ยงนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกระทิของไฮดร้าหรือกระทั่งนาซีเอาไว้เพื่อพัฒนาอาวุธและกำลังของตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งสะท้อนมาจากสงครามเย็นนี้นั่นแหละ
ดังนั้น ตัวโรเจอร์สซึ่งไม่ได้อยู่ในสงครามเย็นนี้ก็จริง แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงในสิ่งที่เหนือกว่า แน่นอนว่า ฮีโร่เองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความกลัว ความหวาดระแวง ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศอื่น แต่ยังหมายถึงตัวอเมริกาเองที่เกิดความกลัวขึ้นมาต่อสิ่งที่อธิบายไม่ได้
ลองคิดดูนะครับโลกที่มีซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Ironman , Hulk , Captain America , The Punisher หรือกระทั่ง Hawkeye เดินไปเดินมานั้น มันเป็นโลกที่น่าอยู่ตรงไหนกันครับ
และการมาของเทพเจ้าสายฟ้าอย่าง ทอร์ ซึ่งจริง ๆ คือมนุษย์ต่างดาว รวมเหตุการณ์ใน The Avengers เป็นเสมือนการจุดไฟให้เกิดความกลัวแก่โลก และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาเองที่กลัวว่า สักวันหนึ่งพวกเขาอาจจะถูกมนุษย์ต่างดาวที่ไม่รู้จักโจมตีเอาก็เป็นได้ ฉะนั้นเขาจึงเริ่มทำการค้นคว้าสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้นมา (เพราะ ทีม Avengers เป็นแค่การรวมตัวเฉพาะกิจเท่านั้น) รวมทั้งการพยายามสร้างฮีโร่ที่ทำงานให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Iron patriot ใน Ironman 3 ขึ้นมาก็ตอกย้ำให้เห็นถึงความกลัวของอเมริกาที่มีต่อสิ่งที่ไม่รู้จักอย่าง มนุษย์ต่างดาวได้อย่างดี
ทว่ามันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้อเมริกาคลายความหวาดกลัวไปได้ และโครงการที่สร้างขึ้นเพื่อหยุดยั้งการเกิดอาชญากรรมด้วยยานบินทันสมัยนี้ก็เกิดขึ้น โดยหวังว่า มันจะสามารถคลายความกลัวให้กับอเมริกาได้
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเลยครับ
เพราะ ใครจะคิดว่า โครงการที่มีขึ้นเพื่อปกป้องชาวอเมริกันนั้นจะกลายเป็นโครงการที่ถูกใช้เพื่อทำลายคนอเมริกันด้วยกันเอง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการแทรกซึมขององค์การอาชญากรรมโลกอย่าง ไฮดร้า
หากต้องทำให้เข้าใจตัวองค์กรนี้ต้องย้อนกลับไปในสงครามโลกกันเลยทีเดียว องค์กรไฮดร้านั้นเป็นองค์กรลับที่ถูกสร้างขึ้นโดยนายพลชาวเยอรมันนาม โยฮันน์ ชมิดท์ หรือ ไอ้กะโหลกแดง ที่พยายามรวบรวมแหล่งพลังงานรวมทั้งทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะครอบครองโลก ซึ่งหลังจากการต่อสู้กับกัปตันอเมริกาในช่วงท้ายของสงครามโลก ชมิตย์ได้หายตัวไปและกัปตันอเมริกาก็ถุกแช่แข็งในขั้วโลก อันเป็นการสิ้นสุดของไฮดร้าในยุคแรกไป
แต่ดูเหมือนว่า ไฮดร้า จะยังไม่ตายไปจริง ๆ สมดังคำกล่าวขององค์กรที่ว่า "ตัดไป 1 หัวจะงอกออกมาอีก 2 หัว" ตามตำนานกรีกเลยทีเดียว
ไฮดร้าเข้ามาแทรกซึมในอเมริกาผ่านทางนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรที่ถูกกวาดต้อนมา ซึ่งนำโดย อาร์นิม โซล่า นักวิทยาศาสตร์ร่างแคระของไฮดร้าและอีกมาก ซึ่งส่งผลให้ไฮดร้าสามารถแทรกซึมเข้าไปในหน่วยงานต่าง ๆ ของอเมริกาแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพนตากอน รัฐสภา หรือ กระทั่งชีลด์เองก็มีคนของไฮดร้าเข้ามาในแทรกซึมอยู่มากมาย แม้กระทั่งเลขาธิการผู้ยึดมั่นในความดีอย่าง อเล็กซานเดอร์ เพรียซ เองก็เป็นพวกของไฮดร้าเหมือนกัน
นี่เองที่ทำให้เรามองเห็นภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในอเมริกาว่า มันกำลังถูกกลืนกินด้วยองค์กรชั่วร้ายที่วางแผนจะเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ โดยที่ไม่ให้ใครขัดขวางเลยสักคนเดียว
ผมไม่แปลกใจว่า ต่อไปนี้ ไฮดร้าจะกลายเป็นองค์กรร้ายใหญ่ พอ ๆ กับขบวนการช็อคเกอร์ในไอ้มดแดงเลยทีเดียว เพราะอย่างที่เรารู้ว่า ไฮดร้าได้ไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใครหลายคนจนเรียกว่า คงมีใครหลายคนที่มีบัญชีคิดกับไฮดร้าอีกมากมายแน่ ๆ
ไม่ว่าจะเป็น โทนี่ สตาร์คที่หนังภาคนี้บอกเราว่า พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเป็นสิ่งที่ไฮดร้าทำ นี่ยังไม่รวมไปถึงวีรเวรต่าง ๆ ที่แฟน ๆ คอมมิคคงรู้แล้วว่า ความสูญเสียของฮีโร่หลาย ๆ คนนั้นมีไฮดร้าอยู่เบื้องหลังแทบทั้งสิ้น
และแน่นอนว่า เมื่อไฮดร้าแทรกซึมอยู่ได้เช่นนั้น ก็ส่งผลให้ตัวของคนดูที่เคยเชื่อมั่นว่า อเมริกาทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อโลกใบนี้เกิดความกังขาและมึนงงว่า เฮ้ย กูเชื่อใจเอ็งไม่ได้แล้ว
สถานะของเราจึงไม่ต่างกับตัวของโรเจอร์ที่เจอกับเหตุการณ์นี้จนไม่อาจจะเชื่อใจใครได้ การที่เขาต้องถูกหน่วยงานที่ตัวเองมองเหมือนบ้านไล่ล่า ถูกประเทศที่เขาเลือกรับใช้เพื่อปกป้องผู้คน (ซึ่งล้อเลียนกับอุดมการณ์ของเขาที่มองว่า อเมริกาคือ ผู้ถูกต้องและนาซีคือ พวกเลวร้ายที่ต้องจัดการ ตามนัยยะ ศัตรูอยู่ข้างนอก) หักหลัง สภาพของกัปตันอเมริกาผู้นี้จึงไปไม่เป็นเอาเสียเลย เมื่อความเชื่อที่มองโลกแค่ด้านเดียวของเขามาตลอดนั้นถูกสั่นคลอนจนเขาต้องทำใจเลยด้วยซ้ำ
"ทหารหลงยุค" คำพูดของโลกิ ใน The Avengers นั้นเป็นเสมือนการพูดถึงชายหนุ่มที่หลุดมายังโลกใบนี้ในเชิงเย้ยหยัน เพราะ โลกิ รู้ดีว่า ชายคนนี้ไม่ได้หลงยุคในเชิงเวลา แต่หลงยุคกระทั่งอุดมการณ์ของเขาที่ไม่อาจจะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายแบบนี้ได้ หากจะพูดกัปตันอเมริกานั้นคือ ฮีโร่ที่มีความคิดแสนบริสุทธิ์ เขามองโลกในแง่เดียวนั่นก็คือ การปกป้องผู้คน เขามองว่า การเป็นทหารคือการช่วยเหลือมวลชนจากสงคราม ตามโฆษณาชวนเชื่อในยุคนั้น เขามองว่า ถ้าเขาหยุดฮิตเลอร์ได้ก็น่าจะหยุดสงครามได้ และนั่นคือ สิ่งที่ช่วยขับดันให้เขาเป็นทหาร
โดยที่เขาไม่ทันคิดว่า หลังการต่อสู้กับกะโหลกแดงจบลงนั้น โลกที่เขาหวังจะให้สงบสุขนั้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย
จะว่าไปแล้ว การที่กัปตันอเมริกาได้พบว่า อุดมการณ์ของเขานั้นล้าสมัยไปแล้วในยุคนี้ก็ไม่ได้ต่างกับโทนี่ สตาร์ค ใน ไอออนแมน ภาคแรก ที่ได้พบว่า อาวุธของเขาที่สร้างขึ้นมาหวังจะใช้เพื่อสร้างความสงบสุขแก่โลกนั้น ดันเป็นการทำให้เกิดสงครามไปทั่วแทน แถมตัวเองยังเจอระเบิดของตัวเองเล่นงานเข้าจนบาดเจ็บสาหัสแทนเสียอีก ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า จะต้องหันมาทำอะไรสักอย่างแทน
เหมือนเช่นที่ตัวโรเจอร์ได้พบว่า เขาจะต้องหยุดแผนการของไฮดร้าให้ได้ พร้อม ๆ กับจัดการยุบหน่วยชีลด์ไปพร้อม ๆ กันด้วยเหตุผลว่า มันไม่ได้ต่างกับไฮดร้าเลย มันพังไปแล้ว
และสันติภาพก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จากการฆ่าฟันกัน
การมาของวินเตอร์ โซลเยอร์ ซึ่งก็คือ เพื่อนของเขา เป็น ภาพสะท้อนของกัปตันอเมริกา ไม่ต่างกับโจ๊กเกอร์เป็นภาพสะท้อนของแบ๊ทแมน มันได้บอกเราว่า ตัวโรเจอร์สโชคดีที่เขาได้หลับไปในทุ่งน้ำแข็งแห่งนั้น ขณะที่เพื่อนรักของเขานอกจากบาดเจ็บไปทั่วร่างแล้วยังต้องถูกล้างสมองใส่ความจำใหม่เข้าไป และทำหน้าที่เป็นมือสังหารให้กับพวกไฮดร้ามาตลอดหลายปี การถูกล้างสมองนั้นก็ไม่ต่างกับอุดมการณ์เรื่องชาติที่โรเจอร์สถูกฝังในหัวไว้เสียเท่าไหร่ ดังนั้นการที่เขาได้พบกับความจริงว่า สิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดนั้นพังทลายนั้น
ก็เหมือนกับที่วินเตอร์ โซลเยอร์ ได้รู้ความจริงว่า เขาคือ ใครเหมือนกันนั่นแหละ
จะว่าไปแล้วการปะทะกันของชุดความคิดที่ว่า ใครกันแน่คือ ฝ่ายถูกระหว่าง อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ ผู้บริหารไฮดร้าที่เชื่อว่า โลกสามารถสงบสุขได้หากเราใช้กำลังอันเด็ดขาดและกำจัดต้นตอปัญหาได้ หรือความคิดของฟิวรีที่มองว่า โลกเราไม่มีวันล้างความชั่วร้ายให้หมดสิ้นไปได้ และต้องแก้ไขไปที่ล่ะจุดอย่างละมุนละม่อม มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นการสร้างความกลัวให้กับผู้คนแทน
แล้วแบบนั้นฮีโร่จะต่างอะไรกับเผด็จการชั่วร้ายกันเล่า
เมื่อมองตรงนี้จะพบว่า ทั้งสองคนมีแง่มุมในการมองโลกที่ต่างกัน อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ อาจจะมองโลกในแง่มุมโรแมนติคและเชื่อว่า ยูโทเปียจะเกิดขึ้นได้ หากมีกำลังเข้มแข็ง (ซึ่งคล้ายกับมุมมองของฮิตเลอร์) ขณะที่ฟิวรีที่เคยเชื่อในมุมมองนี้ก็เปลี่ยนความคิดเมื่อได้พบกับโรเจอร์สที่มองว่า ไม่มีสันติภาพใดเกิดขึ้นจากความกลัว และ เขามองว่า โลกใบนี้ไม่อาจจะปราศจากความชั่วร้ายไปได้ ประดุจดั่งเหรียญสองด้าน ความดีย่อมคู่กับความชั่ว ไม่อาจจะแตกแยกกันไปได้ เหมือนเช่นที่กัปตันอเมริกาย่อมคู่กับวินเตอร์ โซลเยอร์ ไม่มีวันจากแยกไปได้
เราจึงไม่มีวันกำจัดความชั่วไปได้
ดังนั้นหากจะหาคำตอบว่า หนังมันพาไปหาอะไรนั่นก็คือ การกระโจนไปถามเราย้อนว่า เราควรจะมีฮีโร่จริง ๆ ในโลกนี้เหรอ เราควรปล่อยให้อำนาจพิเศษพวกนี้มีอำนาจจริงเหรอ
หรือว่า เราควรถามย้อนไปว่า เราควรเชื่อมั่นในระบบและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของมันดีกว่าหรือเปล่า
แน่นอนว่า การที่มีฮีโร่เดินเพ่นพ่านไปทั่วอเมริกาได้แบบนี้ย่อมสะท้อนถึงระบบกฎหมายของอเมริกาที่เรียกว่า ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการสร้างความยุติธรรมจนผู้คนต้องหันไปพึ่งอำนาจพิเศษเหล่านี้กันเอง
ลองนึกย้อนไปยังต้นกำเนิดของฮีโร่เหล่านี้เราจะพบว่า พวกเขาล้วนเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดอันแสนสาหัสในชีวิต พวกเขาล้วนพบกับความเจ็บปวดในชีวิตที่ต้องสูญเสียคนรักหรือคนใกล้ชิดไปโดยที่ตัวบทกฎหมายไม่อาจจะลงโทษคนผิดได้ ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์ คาสเซิ่ล (The Punisher) ที่สูญเสียครอบครัวของเขาด้วยน้ำมือของมาเฟียใจโฉด , ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่เสียลุงของเขาด้วยฝีมือของโจรกระจอก , แม็ต เมอร์ด๊อก ทนายตาบอดที่เสียพ่อจากน้ำมือของเจ้าพ่ออาชญากรรม นี่ยังไม่รวมถึงฮีโร่คนอื่น ๆ ที่ล้วนแล้วถือกำเนิดจากแรงขับมหาศาลอันเกิดจากกฎหมายที่ไม่สามารถให้ความยุติธรรมกับพวกเขาได้ทั้งนั้น
ไม่มีใครหรอกครับที่อยากเป็นฮีโร่เพียงเพราะ มันเท่ ทุกคนย่อมมีความเจ็บปวดในชีวิตที่พวกเขาต้องหาทางสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ซึ่งระบบหรือกฎหมายไม่อาจจะให้ความยุติธรรมได้
พวกเขาจึงลุกขึ้นมาเป็นศาลเตี้ยเพราะหวังจะช่วยให้สังคมมันดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ช่วยให้ใครไม่ต้องกลายเป็นฮีโร่แบบพวกเขาอีกหรือมากกว่านั้นก็คือ ไม่ให้พวกเขากลายเป็นวายร้ายในอนาคตแทน
เพราะเส้นแบ่งของฮีโร่กับวายร้ายนั้นเป็นเพียงแค่เส้นด้ายบาง ๆ ก็เท่านั้นเอง
ดังนั้นหากไม่อยากให้สังคมมีแต่ฮีโร่หรืออำนาจพิเศษพวกนี้เดินเผ่นพ่านก็มีเพียงแค่ ทำให้ระบบกฎหมายของสังคมนี้ทำงานกันอย่างเต็มที่และมอบความยุติธรรมให้คนได้ก็เท่านั้นเอง
เราก็ไม่จำเป็นต้องมีฮีโร่เลยด้วยซ้ำไป ถ้ามีระบบมันถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นคือ สิ่งกัปตันอเมริกาภาคนี้หาคำตอบให้กับเรา เพียงแค่ว่า เรารู้อยู่ตลอดว่า
มันไม่มีวันเป็นจริง
และเราก็ยังคงต้องพึ่งพาอำนาจพิเศษเหล่านี้ต่อไปไม่จบสิ้น สังคมที่มีฮีโร่นั้นจึงเป็นเสมือนการนับถอยหลังสู่ความหวาดระแวงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอนาคตอันใกล้นี้
…..
ติดตามอ่านรีวิวหนัง หนังสือ อนิเมชั่น ในสไตล์ของผู้เขียนได้ที่ แฟนเพจ จิบชา รับลม กับมิสเตอร์อเมริกันครับ
https://www.facebook.com/amarica2029