Skip to main content

           ความสำเร็จครั้งมโหฬารของภาคที่สี่ของแฟรนไชส์ Jurassic Park อย่าง Jurassic World นั้นเรียกได้ว่า เป็นการหักปากกานักสังเกตที่คาดเดาว่า ภาคต่อของไดโนเสาร์ภาคนี้อาจจะทำเงินได้ไม่มากนัก ทว่า การเปิดตัวในอเมริกากว่า 200 ล้านเหรียญในเวลาเพียงสามวันจนทำลานสถิติของ The Avenger ภาคแรกได้สำเร็จนี่ยังไม่รวมการเปิดฉายทั่วโลกที่ทำเงินไปกว่า 500 ล้านเหรียญทำให้ภาคนี้เป็นภาคต่อที่ประสบความสำเร็จทันที หลายคนคาดกันว่า หนังจะทำเงินถึง 1000 พันล้านเหรียญสหรัฐในเร็ววันนี้ แต่ที่แน่ ๆ ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้หนังมีภาคต่อได้เป็นที่เรียบร้อย และตัวนักแสดงนำอย่าง คริส แพรตต์ ก็เซ็นสัญญาภาคต่อเอาไว้แล้วด้วยเช่นกัน

                แน่นอนว่า หลายคนวิเคราะห์ความสำเร็จของมันเอาไว้หลายส่วน บางคนบอกว่า มันเป็นหนังที่หลายคนผูกผันและเลือกจะมาดูเป็นครอบครัวทำให้หนังทำเงินได้มากกว่าหนังหลายเรื่อง การที่หนังสามารถใช้อารมณ์ในการ Nostalgia หรือ หวนหาอดีตกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หนังสามารถเข้าถึงคนดูได้ทันที วัดได้จากการที่เราได้เห็นบรรดาผู้ปกครองหรือพ่อแม่พาลูก ๆ หลานเข้ามาดูหนังเรื่องนี้กันอย่างคับคั่ง และทำให้บรรดาบุตรหลานพากันชื่นชอบไดโนเสาร์ในยุคใหม่นี้เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่เคยดูภาคแรกมาก่อนนั่นเอง รวมทั้งเนื้อหาที่เป็นการสานต่อภาคแรกได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย

                เนื้อหาของภาคนี้เล่าเรื่องราวหลังเหตุการณ์ในภาคแรกจบลงเป็นเวลาถึง 22 ปีต่อมา เกาะอิสลานูบาร์ และบริษัทอินเจนผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างไดโนเสาร์จากดีเอ็นเอในยุงกับกบได้ถูกบริษัท มาสรานี โกลเบิล คอร์เปอร์เรชั่น ของ ไซมอน มาสรานี นักธุรกิจอินเดียได้เทคโอเวอร์และเปิดสวนสนุกที่ชื่อ Jurassic World ขึ้นในปี 2005 ขึ้น การเปิดตัวไดโนเสาร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีแรก ๆ ทว่าที่นี่ก็ไม่ต่างกับสวนสนุกหรือสวนสัตว์อื่น ๆ ตรงที่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายไดโนเสาร์เก่า ๆ แม้จะมีดาราใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถพ้นไปจากความน่าเบื่อได้ ด้วยเหตุนี้มาสรานีจึงสั่งให้ห้องทดลองของ ด๊อกเตอร์ เฮนรี่ วู ทำการผสมพันธุ์ไดโนเสาร์ตัวใหม่ที่ใหญ่กว่า ดุร้ายกว่า และเขี้ยวเยอะกว่าทีเร็กซ์นามว่า อินโดมินัส เร็กซ์ เพื่อกู้สถานการณ์นี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่พวกเขานั้นจะมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหม่ในสวนสนุกนี้ที่เจ้าอินโดมินัส เร็กซ์ได้หลุดออกมาจากกรง

                แน่นอนว่า สิ่งที่หนังชุดนี้พยายามพูดถึงมาโดยตลอดก็คือ การตั้งคำถามว่า มนุษย์ควรสร้างไดโนเสาร์ขึ้นไหม และเราควรจะก้าวล่วงเข้าไปทำอะไรอย่างเรื่องพันธุกรรมที่ไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์เลยด้วยซ้ำหรือเปล่า ซึ่งเอาจริงแล้วการพูดถึง ความกลัวทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับบรรดาหนังสยองขวัญหรือแนววิทยาศาสตร์มาโดยตลอดอยู่แล้ว เห็นได้จากนิยายเรื่อง Frankenstein ของแมร์รี่ เชลลี่ ที่พูดถึงนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่พยายามชุบชีวิตมนุษย์ให้ฟื้นคืนชีพก่อนจะพบกับความน่ากลัวที่สร้างขึ้นมาเองและนำพาให้ชีวิตของเขากับคนรอบข้างพบกับความตายไปพร้อมกัน ต้องบอกว่า นิยายเรื่องนี้คือ ต้นแบบของบรรดาหนังไซไฟวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่สร้างขึ้นโดยตั้งคำถามว่า มนุษย์จะเป็นพระเจ้าได้หรือไม่ หรือตั้งคำถามต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ว่า เป็นการก้าวล่วงอำนาจของพระเจ้าหรือไม่ ? หากจะมองย้อนกลับไป เราจะพบว่า วิทยาศาสตร์และศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เสมือนตรงกันข้ามกันจึงแทบไม่สามารถหาความคล้องจ้องกันต่อกันได้เลย ดังนั้นไม่แปลกหากแนวคิดว่า มนุษย์จะนำพาภัยพิบัติมาสู่ตัวเอง เมื่อพวกเขาพยายามทำอะไรที่กล่าวล่วงอำนาจของตัวเองเสมอ นี่อาจจะเป็น Theme ที่ภาพยนตร์ชุดนี้พยายามพูดถึงในทุกภาคเท่าที่จะทำได้

                เอียน มัลคอม นักคณิตศาสตร์ หนึ่งในผู้ร่วมผจญภัยในภาคแรกและเป็นตัวเอกของภาคสองนั้นได้กล่าวว่า พระเจ้าสร้างไดโนเสาร์ พระเจ้าทำลายไดโนเสาร์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ มนุษย์ทำลายพระเจ้า มนุษย์สร้างไดโนเสาร์ หากจะบอกว่า มนุษย์นั้นพยายามก้าวล่วงอำนาจของพระเจ้าและอยากเป็นพระเจ้าเสียเองอาจจะย่อมได้ การที่พวกเขาสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมาและมองว่า พวกเขาควบคุมมันได้ (ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เป็นเพศเมียทั้งหมด หรือ กระทั่งใช้รั้วไฟฟ้าหรืออื่น ๆ ก็ตาม) สุดท้ายแล้วผลมันก็ออกมาที่เราได้เห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถควบคุมมันได้ และทำให้พวกมันออกมาอาละวาด รวมทั้งก้าวล่วงสิ่งที่มนุษย์ทำเอาไว้อย่างการ ขยายพันธุ์ หรือ การเป็นอิสระไล่งับคนก็ย่อมเป็นการบอกว่า มนุษย์ไม่สามารถเป็นพระเจ้าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เพียงแต่ว่า หนังทั้งสี่ภาคได้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยจดจำบทเรียนอดีตใด ๆ ไม่พอ ยังเป็นพวกกระหายสงครามแถมหน้าเลือดเห็นแก่ได้อีกต่างหาก

                ดั่งเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคสี่นี้กับ ไดโนเสาร์ที่มีชื่อว่า อินโดมินัส เร็กซ์

                ชื่อของเจ้าไดโนเสาร์นั้นมีความหมายว่า ราชาผู้ดุร้าย มันเป็นไดโนเสาร์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของไดโนเสาร์หลายชนิดทั้ง ทีเร็กซ์ แร็ปเตอร์ รวมทั้งสัตว์อย่าง จระเข้ งู ปลาหมึก ทำให้มันมีขนาดใหญ่กว่า ดุร้ายกว่า และฉลาดเป็นกรด มีความสามารถทั้งการพรางตัวแบบปลาหมึก ความสามารถในการสื่อสารกับไดโนเสาร์ตัวอื่น รวมทั้งดวงตาจับความร้อนแบบงูทำให้มันเป็นไดโนเสาร์ที่อันตรายมาก ๆ

                ราวกับเครื่องจักรสังหาร

                “มันไม่ใช่ไดโนเสาร์” คำพูดอันน่าสนใจในเรื่องนี้ที่อธิบายตัวตนของอินโดมินัส เร็กซ์ ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะที่จริงแล้ว เจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อโชว์ในสวนสัตว์นี้เพียงอย่างเดียว แต่มันถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาวุธในการทำสงครามต่างหาก

                นั่นคือสิ่งที่มันแฝงเอาไว้ มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อฆ่ากันเอง มนุษย์ไม่ได้ฆ่ากันเพื่อกินเหมือนเช่นไดโนเสาร์ แต่เราฆ่ากันเพราะ ผลประโยชน์ ความสนุกสนาน แบบสงคราม เช่นเดียวกับอินโดมินัส เร็กซ์ที่ฆ่าทุกคนเพื่อความสนุกสนานของมันเช่นกัน

                ตรงนี้หากจะมองว่า อินโดมินัส เร็กซ์ก็ไม่ต่างไปจาก Frankenstein เท่าไหร่นัก ตรงที่ตัวของมันถูกสร้างจากไดโนเสาร์หลายชนิดจนไม่รู้ว่า มันคือ ตัวบ้าอะไรแล้ว แน่นอนว่า หลังออกจากกรง สิ่งมันทำคือ วิ่งไปรอบ ๆ เพราะ ทุกสิ่งคือ ของใหม่สำหรับมัน มันจึงมีสภาพไร้เดียงสา แต่ความไร้เดียงสาของมันก็เป็นอันตรายของมนุษย์นั้นหมายความว่า มันไม่เชื่องนั่นเอง

                การที่อินโดมินัส เร็กซ์ หลุดออกมาแล้วอาละวาดไปทั่ว ไล่กินคน ทำให้ สวนสนุกกลายเป็นนรก เมื่อมันทำให้บรรดาไดโนเสาร์หลุดออกมาเต็มไปหมด มนุษย์ผู้ถือดีว่า เป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่มองดูเหล่ายักษ์ใหญ่ในกรงด้วยสายตาเหยียดหยามและดูหมิ่นว่า เอ็งก็ไม่ต่างกับหมาน้อยในกรงต้องถึงคราววิ่งป่าราบ เมื่อบรรดา ไดโนเสาร์หลุดออกมาไล่กินมนุษย์ในสวนสนุกนี้จนเป็นแดนมรณะกันไปเลยทีเดียว ต้องบอกว่า มนุษย์ได้รับรู้ตัวตนของตัวเองว่า เอาจริงแล้ว พวกเขาไม่ใช่ราชาหรือห้วงโซ่สูงสุดของเกาะนี้

                แต่เป็นไดโนเสาร์ที่พวกเขามาดูนั่นล่ะ

                ประเด็นว่าด้วยห้วงโซ่ที่เรียกว่า ยอดปิระมิดนั้นจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจ หากจะมองว่า หนังเรื่องนี้พูดถึงประเด็นนี้ผ่านตัวของอินโดมินัส เร็กซ์ที่ถูกสร้างให้เป็นจุดสูงสุดของสวนสนุกแห่งนี้ ทว่า ความที่มันไม่สามารถเข้าพวกใด ๆ ได้เลยกับบรรดาไดโนเสาร์ (ยกเว้นแร็ปเตอร์ที่ตัวมันมียีนส์ของมันด้วย) ทำให้ไม่แปลกที่บรรดาไดโนเสาร์อย่าง ทีเร็กซ์ต้องต่อสู้กับมันเพื่อรักษาสถานภาพของมันเอาไว้ (นั่นคือ ห้วงโซ่สูงสุด) รวมทั้งแร๊ปเตอร์ชื่อ บลู ที่โอเว่น เกรดี้ที่พระเอกเลี้ยงมาต้องร่วมมือกับทีเร็กซ์เอาชนะเจ้ายักษ์นี้ให้จงได้ ไม่เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะนี้จะต้องถูกทำลายเพราะ ไดโนเสาร์ที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่าง อินโดมินัส เร็กซ์นั่นเอง

            สุดท้ายมนุษย์ควบคุมมันไม่ได้ นอกจากปล่อยให้ธรรมชาติจัดการกันเอง

                ชีวิตย่อมมีหนทาง คำพูดอันน่าจดจำของเอียน มัลค่อมอาจจะเป็นตัวชี้กำหนดในการตั้งคำถามของหนังชุดนี้ตลอดมา ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามควบคุมธรรมชาติ หรือ บรรดาไดโนเสาร์ในเรื่องมากแค่ไหน สุดท้ายมันก็จบลงด้วยมนุษย์ต้องหนีออกจากเกาะแห่งนี้ปล่อยให้บรรดาไดโนเสาร์หลุดออกจากกรงและใช้ชีวิตของมันตามทางที่มันควรจะเป็น แม้ว่าอินเจ็นจะยังคงอยู่ รวมทั้งด๊อกเตอร์วูผู้สร้างไดโนเสาร์อย่าง อินโดมินัส เร็กซ์ เองก็หนีรอดไปพร้อมกับการทดลองที่เหลืออยู่ ดังนั้นเราอาจจะเห็นความวิบัติที่เกิดขึ้นในอนาคตนี้ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ผู้กระหายสงครามและละโมบได้เสมอ

                จงอย่าลืมว่า ตอนจบในหนังดังหลายเรื่องบอกเราว่า มนุษย์นั่นล่ะคือ ตัวการที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ต่างกับไวรัส รวมทั้งการทำลายตัวเองด้วย

                อินโดมินัส เร็กซ์ อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหม่ที่เราไม่คาดคิดก็เป็นได้

                ดังคำพูดที่ว่า

                มนุษย์คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยรู้จักจำบทเรียนในอดีตของตัวเอง และ ชอบคิดไปเองว่า ตัวเองคือพระเจ้า ทั้งที่ตัวเองไม่ได้สักเสี้ยวของพระเจ้าหรือธรรมชาติเลยสักนิด

                ภาพของทีเร็กซ์ร้องคำรามลั่นในสวนสนุกที่ไร้ผู้คนและกลับสู่ธรรมชาติอีกครั้งอาจจะเป็นการย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า

                เรามันก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย

+++++++++++++++

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ