ณ ช่วงเวลานี้คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดถูกกล่าวถึงและพูดมากกว่า อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของชินไค มาโคโตะ ผู้กำกับอนิเมชั่นดราม่าชื่อดังอย่าง 5 centimeters per second หรือ The Garden of word อย่าง Your Name หรือ Kimi No Nawa (หลับตาฝันถึงชื่อเธอ) ไปได้ เพราะ ภาพยนตร์อนิเมชั่นคือ ภาพยนตร์ที่สร้างสถิติทำรายได้ถล่มทลายในญี่ปุ่นโค่นล้มบรรดาหนังดังต่าง ๆ ได้มากมาย รวมทั้งขึ้นติดหนึ่งในอนิเมชั่น 5 อันดับแรกของญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย แถมเมื่อเข้ามาฉายในประเทศไทย มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญเมื่อมันเปิดตัวเอาชนะหนังดังจากฮอลลีวู้ดอย่าง อินเฟอโน่ไปได้อย่างสวยงาม เท่านั้นไม่พอยังโกยเงินทำรายได้จนแทบจะเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นทำเงินสูงสุดบวกกับคำวิจารณ์ที่ดีเลิศ มันจึงถูกมองเป็น Train to Busan เรื่องที่ 2 ในปีนี้ที่กระแสช่วยเหลือหนังที่ไม่น่าจะทำเงินในประเทศนี้ให้ทำเงินแบบหักปากกาเซียนได้ขนาดนี้
นอกจากความสนุกและเนื้อหาของหนังที่ถูกจริตผู้ชมนั้น ตัวภาพยนตร์เองยังถูกเรียกว่า งานศิลปะเชิงวรรณกรรมที่ชวนท้าทายให้ผู้คนตีความเนื้อหาในเรื่องได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันตัวผู้กำกับก็สอดแทรกเรื่องเล่าและทัศนคติเกี่ยวกับวัฒนธรรม ปรัชญาและภาษาของญี่ปุ่นไปแบบชัดแจ้ง จะว่าไปแล้ว นี่คือ หนังที่ถ่ายทอดแนวคิดเชิงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และนี่คือ สิ่งที่ซุกซ่อนเอาไว้ในอนิเมชั่นเรื่องนี้ครับ
1. ภาษา
กล่าวกันว่า ภาษาญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนึ่งระบบภาษาที่แฝงไปด้วยความหมายและถ้อยคำมากที่สุดในโลก แม้จะอ่านเช่นนี้ แต่เมื่ออ่านแยกก็จะมีความหมายแฝงออกมาได้อีกแบบหนึ่ง แม้แต่ชื่อของเรื่องนี้เองก็เช่นกัน หากจะพูดว่า มันคือ หนึ่งในกลวิธีบอกใบ้เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งทีเดียว
เนื่องจากเราติดชื่อแปลของภาษาอังกฤษในเรื่องอย่าง Yours Name มากกว่าทำให้หลายคนไม่ได้สนใจเนื้อหาของชื่อเดิมอย่าง Kimi No nawa ไปหมด
คำว่า Kimi no nawa นั้นนอกจากแปลว่า ชื่อของคุณคือ ? แล้วมันยังมีความหมายแฝงว่า เชือกในคำว่า Nawa ด้วย
นาวะ (名は) ที่แปลว่า "ชื่อคือ" นั้นยังพ้องเสียงกับ นาวะ (縄) ที่แปลว่า เชือก ด้วย ดังนั้นหากจะพูดถึงความหมายแฝงก็คือ เชือกของเธอในความหมายของชื่อนั้นเอง
ภาษาของญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก เพราะ มันไม่มีความตายตัว แต่สามารถบิดผันความหมายได้อย่างไม่จำกัดไม่ต่างกับภาษาไทยของเราเลย เพราะ หาก ตีความบิดผันมันเสียงใหม่ เราจะได้คำที่มีความหมายแฝงออกมาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเรื่องนี้ที่พูดเรื่อง เชือกของเธอ หากใครชมเรื่องนี้จะรู้ว่า มันกำลังจะพูดถึงเรื่องการเชื่อมโยงเข้าหากันไปมาไม่ต่างกับการผูกเชือกเอาไว้นั้นเอง
นี่ก็ไม่ต่างกับภาษาอื่น ๆ ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น มุซึบิ ซึ่งถูกอธิบายเอาไว้โดยยายของมิตสึฮะ นางเอกของเรื่องเอาไว้ว่า
“มุสึบิ คือ การถักทอ เชื่อมโยง บิดร้อยเป็นปม ขาดออกจากกัน และต่อเข้าใหม่”
ไม่ใช่แค่เชือกเท่านั้น แต่ โชคชะตาของมนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่กาลเวลาไปจนชีวิตก็คือ มุสึบิที่ถูกร้อยเรียงต่อกันแบบไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง
ดังนั้น เรื่องราวของเรื่องนี้จึงเป็น มุสึบิ หรือ เชือกแห่งสายใยที่โยงไปมาและรอที่จะมาบรรจบใหม่อีกครั้ง
เอาจริงเราไม่สามารถหาคำไทยมาแปลให้ความหมายของ มุสึบิ ได้เลย หรือ ใส่ลงมาก็ไม่มีความหมายที่ตรงขนาดนั้น เพราะ แม้ว่าหลายคนจะให้ว่า มุสึบิ คือ พรหมลิขิตแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ตรงขนาดนั้น มันมีความหมายที่คิดว่า พรหมลิขิตคือ หนึ่งในความหมายของมุสึบินั้นเอง
ธีรภัทร เจริญสุข คอลัมนิสต์ท่องเที่ยวได้ให้ความหมายเกี่ยวกับชื่อในทางศาสนาชินโตเอาไว้ดังนี้
“ความเชื่อชินโตถือว่า "ชื่อ" เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของวิญญาณ ใครที่กุม "ชื่อ" ไว้ก็จะสามารถควบคุมวิญญาณของเจ้าของชื่อได้ การอัญเชิญเทพเจ้า การควบคุมสรรพสิ่ง ต้องขานชื่อที่แท้จริงของสิ่งๆ นั้น คนญี่ปุ่นโบราณจะมีชื่อเรียกในแต่ละอายุที่แตกต่างกันไป เช่น ดาเตะ มาซามุเนะ ในวัยเด็กมีชื่อว่าบงเท็นมารุ และเมื่อผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะจึงเปลี่ยนชื่อเป็นมาซามุเนะ และทุกคนมีชื่อแท้จริงซึ่งตั้งไว้ตอนเกิดปิดซ่อนไว้เพื่อมอบให้ผู้ที่จะฝากชีวิตเท่านั้น รวมถึงเมื่อสิ้นชีวิตลง ถือว่าเป็นเทพเจ้า ก็จะมีชื่อหลังความตายสลักไว้บนป้ายสถิตวิญญาณและหลุมศพอีกชื่อหนึ่ง”
ดังนั้นไม่แปลก ภาษาในเรื่องนี้ตั้งแต่ชื่อ มุสึบิ จะเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญและบอกใบ้ถึงสายใยการเชื่อมโยงเข้าหากันระหว่างตัวละครทั้งสองที่หากติดตามกันดีจะพบว่า นี่คือ การใช้เรื่องราวของชื่ออย่างชาญฉลาดที่สุดในหนังอนิเมชั่นครั้งหนึ่งทีเดียว
กระนั้นเองการเล่นคำนั้นก็เป็นสิ่งที่วรรณกรรมญี่ปุ่นหรืออนิเมชั่นได้พูดถึงกันบ่อยครั้ง หากเราซื้อมังงะแนวตลกสี่ช่องมา มุกที่มักจะถูกนำมาใช้เสมอ ๆ คือ มุกภาษาที่เล่นคำไปคำมาจนหลายคนรู้สึกไม่ตลกเลย แต่คนญี่ปุ่นกลับดันฮาแตกไปกับมุกพวกนี้ได้ซะงั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างเชิงวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งอนิเมชั่นที่หยิบยกเรื่อง พลังของคำ มาใช้นั้นก็คือ Kara No kyoukai ตอนที่ 6 ที่มีชื่อว่า Kara no Kyoukai 6: Boukyaku Rokuon ก็หยิบยกตัวละครที่มีความสามารถด้านการใช้ ถ้อยคำมาใช้เช่นกันพร้อมกับคำอธิบายถึงพลังของมันที่เคยมีอยู่เมื่อครั้งบรรพกาลได้อย่างตกใจ
ไม่แปลกว่า kimi no nawa คือ งานที่หยิบจับส่วนตรงนี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
2. ความฝัน
เราสองคนสลับร่างกันในความฝันของอีกคน
นี่คือ สิ่งที่ Kimi No Nawa กล่าวถึงการสลับร่างกันของสองตัวเอกในเรื่องอย่าง ทาคิ กับ มิสึฮะ ที่จะสลับร่างไปใช้ชีวิตของอีกฝ่ายในความฝันของแต่ล่ะคน ซึ่งจุดเริ่มต้นจากบทกวีของ โอโน โนะ โคมาจิ กวีหญิงโฉมงามในยุคเฮอันบท "ถ้าฉันรู้ว่าเป็นเพียงฝัน" 夢としりせば [ยูเมะโตะชิริเซบะ] ซึ่ง ธีรภัทร เจริญสุข ได้กล่าวไว้ดังนี้
「思いつつ寝 ればや人の見えつらむ
夢としりせばさめざらましを」
[คิดถึงเขาผู้นั้น หลับเพียงได้พบเจอ เพื่อพบเห็นต่อหน้า
ถ้าฉันรู้ว่าเป็นเพียงฝัน ฉันก็ไม่อยากตื่นอีกเลย]
ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีโลกอนิเมะเล่าเรื่องของความฝัน โดยใช้บทกวีหรือกลอนมาบอกเล่า เพราะ นี่คือ อีกครั้งที่บทกวีชื่อดังของจวงจื่อได้ถูกนำมาใช้อย่างมีชีวิตอีกครั้ง
“ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันไปว่าเป็นผีเสื้อโบยบินไปมาอย่างสบายใจ ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ผีเสื้อตัวนี้ไม่รู้เลยว่า มันคือจวงโจว(ชื่อเดิมของจวงจื่อ) แต่แล้วในทันใดก็ตื่นขึ้นรู้สึกตัวว่า ตัวคือจวงโจว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เป็นการยากที่จะบอกได้ว่า ตนเองเป็นจวงโจวที่ฝันไปว่าเป็นผีเสื้อตัวนั้น หรือว่า ผีเสื้อตัวนั้นฝันไปว่า มันเป็นจวงโจว”
นี่คือ หนึ่งในเรื่องที่ถูกอ้างอิงมากที่สุด แม้แต่ในโลกของอนิเมะเองก็มีการอ้างอิงเรื่องนี้บ่อยครั้งผ่านทางภาพยนตร์อนิมชั่นอย่าง papirika ของ ซาโตชิ คง ก็เป็นผลงานที่เกี่ยวกับความฝันที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งในการให้มนุษย์เราสามารถสร้างฝันได้เอง หรือ กระทั่งงานเก่าของเขาอย่าง Perfect Blue ก็พูดถึงอัตลักษณ์ของเรื่องนี้ได้ชัดแจ้งในการพูดฝันที่ทำให้คนเราเปลี่ยนไปอีกคน นี่คือ สิ่งยืนยันว่า ความฝันอยู่คู่กับคนเอเชียมานานแล้ว
หลายคนที่ชมพากันสงสัยว่า ทำไมต้องลืม ทำไมพระเอกไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิดเดียว เช่นเดียวกับนางเอกที่มือสลับร่างมาแล้ว ทำไมไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่
คำตอบนั้นก็คือ ไม่มีใครจำรายละเอียดทั้งหมดของความฝันได้หรอกครับ
หากพูดก็คือ ต่อให้ฝันนั้นดีแค่ไหน เราก็จะหลงลืมไปในที่สุด ทั้งชื่อ และเรื่องราวของความฝัน เราจะจำไม่ได้อยู่ดี แม้จะมีการเขียนบันทึกช่วยจำเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงรายละเอียดไว้นักราวกับว่า ทุกอย่างไม่เคยเกิดจริง หากจะมองว่า นี่คือ ความฝันก็เป็นไปได้
สิ่งที่น่าสนใจ หนังสือให้รายละเอียดที่น่าสนใจไว้ว่า ยายของมิตสึฮะเองก็บอกพระเอกในร่างหลานสาวว่า ตัวเองก็เคยฝันถึงชีวิตใครสักคนเหมือนกันแต่จำไม่ได้แล้ว ทำให้พระเอกรู้ว่า นี่คือ ความสามารถคนในตระกูลนี้ที่เป็นมิโกะทำให้สามารถฝันเห็นชีวิตคนอื่นได้ หากแปลคือ พวกเขาสามารถสลับร่างกับใครสักคนก็ได้ตามแต่สายใยที่โยงกันไปมาผ่านมุสึบิหรือเชือกที่ว่านั้นเอง
แม้จะมีคำบอกใบ้จากยายว่า
“เมื่อประสบการณ์มากขึ้น ความฝันจะค่อย ๆ เลือนรางไป”
คำกล่าวนี้เกิดขึ้นจริง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองคนก็ลืมเลือนแม้แต่ชื่อของอีกฝ่าย มีเพียงภาพความฝันที่ยังคงตราตรึงมิลืมเลือนว่า พวกเขากำลังตามหาใครสักคนอยู่
มีทฤษฏีน่าสนใจว่า เรื่องของเรื่องนี้มีความจริงเพียงตอนต้นของเรื่องที่ทาคิกับมิสึฮะตื่นขึ้นก่อนไปทำงานเท่านั้นเอง และจบลงด้วยการที่ทั้งสองมาเจอกันที่บันได แสดงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝันที่ทั้งคู่ฝันให้กันก็ได้
เพราะมนุษย์นั้นไม่สามารถแน่ใจว่า อันไหนความฝันอันไหนความจริง แบบที่ค๊อบใน Inception พูดว่า เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่า ความฝันกับความจริง หากไม่มีลูกข่างหมุน แต่บางครั้งมันอยู่ที่การตัดสินใจของเราเอง
ดังนั้น เรื่องราวของ Kimi No Nawa คือ การที่เราดำดิ่งไปในความฝันของสองคนนี้ก็เป็นไปได้ เพราะ สุดท้ายนี่คือ เรื่องราวบุปเผสันนิวาสที่เชื่อมโยงสองคนกันนั้นเอง
3. เวลา
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างในเรื่องนี้คือ การที่หนังให้เห็นว่า ทั้งทาคิ และ มิสึฮะสลับร่างกันก็จริง แต่ช่วงเวลาทั้งคู่นั้นเหลื่อมล้ำกันถึงสามปีทีเดียว ซึ่งหลายคนสงสัยว่า เป็นไปได้ด้วยหรือ ทำไมต้องเล่าแบบนั้น หากพูดหยาบ ๆ คือ การทำแบบนั้นจะนำไปสู่ความดราม่า แต่ ในความเชื่อแล้วนี่คือ หนึ่งในเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น และ เอเชียที่ชื่อว่า
เวลาไม่เคยเป็นเส้นตรง
“อนาคต อดีต และ ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ไม่มีอะไรถูกแยกออกไป”
นี่คือ สิ่งที่คนดูอนิเมะน่าจะคุ้นชินอยู่แล้ว การเล่าแบบไม่ลำดับเวลา การเลื่อมเวลา ลูบและช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งจะว่าไปเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับอนิเมะญี่ปุ่นหรือวรรณกรรมญี่ปุ่นมานานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นงาน สืบสวนโยโคมิโซะ เซชิ อย่าง คินดะอิจิ ก็เคยมีการเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลาเช่นกัน หรือ ไลท์โนเวลเรื่อง Suzumiya Haruhi เองก็มีการพูดถึงลูบเวลาที่ไม่สิ้นสุด endless eight ที่ทำให้ตัวละครติดอยู่ในลูบปิดเทอมหน้าร้อนกว่าหนึ่งล้านปีทีเดียว (แถมเป็นหนึ่งประสบการณ์เลวร้ายของคนดูเช่นกันที่ต้องดูอะไรซ้ำกันกว่า 8 ตอน) เรียกว่า เป็นหนึ่งการแสดงให้ถึงลูบและช่วงเวลาที่วนเวียนไปไม่สิ้นสุด รวมทั้งในเรื่องนี้เองตัวละครเองก็โดดข้ามไประหว่างช่วงเวลาได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ทำให้เกิดลูบและโลกที่แตกต่างไป ซึ่งนับว่า เป็นไลท์โนเวลและอนิเมะที่พูดถึงเวลาได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
รวมทั้งอนิเมะอย่าง Kara no Kyoukai 5 Mujun Rasen อนิเมะมูฟวี่ตอนที่ห้าของเรื่องนี้ที่พาเราไปพบกับการเล่าเรื่องลำดับเวลาอันไม่สิ้นสุด ซึ่งต้องใช้สมาธิและการลำดับเรื่องเล่าสมกับเกลียววังวนและเรื่องราวที่ซ้อนทับไปมาในช่วงนี้
การเล่าเรื่องแบบเหลื่อมเวลานี้ไม่ได้แนบเนียนนักเพราะ ชินไคต้องการบอกใบ้เรื่องราวเอาไว้อยู่แล้ว อยู่ที่เพียงคนดูจะสังเกตได้หรือไม่ ผ่านรายละเอียดต่าง ๆ เช่น สิ่งของรอบตัว ข่าว หรือ กระทั่งวันเวลา ซึ่งหากจับได้ เราก็อยู่เหนือกฎ แต่หากไม่ได้เราก็คงอึ้งไม่เหมือนกันทีเดียว
เอาจริงแล้วเวลาเป็นสิ่งที่เป็นตัวละครอีกตัวของเรื่อง เพราะ เวลานี่ล่ะพาพวกเขามาเจอกัน และ พรากพวกเขาออกจากกันอย่างเจ็บปวด แต่ เวลานี่แหละที่ทำให้พวกเขาได้มาเจอกันอีก ก่อนจะจากกันไปอีกหน
นี่คือ สิ่งที่เรียกว่า หรือ มุสึบิในเรื่องที่หนังให้เราเห็นว่า ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงกันเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอนและเรื่องราวได้อย่างน่าตื่นตะลึง เราคงไม่แปลกใจที่ได้เห็นฉากไคลแม็กซ์ที่ทั้งสองคนเจอกันบนยอดเขา ทั้งที่อยู่คนล่ะช่วงเวลากัน แต่พวกเขาได้เจอกันจนได้ในช่วงเวลาที่เรียกว่า คาวาตาเระโดคิ หรือ ยามสนธยา หรือ โพลเพล้ก็เป็นเรื่องของเวลาเช่นกัน
หากจะบอกว่า เวลานี้แหละที่ทำให้ ดาวหางแยกส่วนแล้วตกลงมาเหมือนเมื่อ 1200 ปีก่อน เวลาก็ทำให้ทั้งสองคนต้องหาทางแก้ไขอันนี้ร่วมกันพร้อมกับได้ใช้เวลาร่วมกันแบบสั้น ๆ อันน่าประทับใจนี้ด้วยนั้นเอง
4. สลับร่าง
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้งานนี้น่าสนใจคือ การที่ชินไคหยิบยกไอเดียเรื่องการสลับร่างมาเล่าใหม่อีกครั้งทั้งที่เรารู้ดีว่า พล็อตนี้มันโหลจนไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็ตามแต่ สิ่งที่หนังมันเล่าได้น่าสนใจคือ การพูดว่า ฉันกับเธอคือคนคนเดียวกัน
กล่าวกันว่า มนุษย์นั้นมีสองเพศในร่างเดียวกันอยู่แล้ว หากจะตีความในส่วนนี้ ทั้งทาคิและมิสึฮะ คือ คนคนเดียวมาแต่ต้น พวกเขาไม่ต่างกับดาวหางที่แตกและแยกออกเป็นสองส่วนในช่วงเวลาที่ต่างกัน หากการสลับร่างคือ การทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ความปรารถนาของกันและกัน อันบ่งบอกถึงคำว่าบุปเผอาจจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจได้บ้างว่า บางครั้งคนเราก็ตกหลุมรักกันในความฝัน หรือ รักแรกพบอาจจะเกิดขึ้นเพราะ เรารู้จักกันมานานแล้ว
ไม่แปลกที่ทั้งสองคนเมื่อสลับร่างกันแล้วต่างผูกผันกับเรื่องราวของอีกฝ่ายจนแทบเป็นคนคนเดียวกัน แม้ว่าช่วงแรกจะดูติดขัดเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขากลับมีตัวตนที่แนบสนิทกับอีกฝ่ายราวกับเป็นคนคนเดียวกันแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นมิสึฮะที่กลายเป็นทาคิทำงานใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์คบหากับเพื่อนสองคน และ รุ่นพี่สาวอย่างสนิทใจ (จนความสัมพันธ์ก้าวหน้า) หรือตัวทาคิที่กลายเป็นมิสึฮะแล้วมีความผูกผันเพื่อนของมิสึฮะสองคน (ในแบบเป็นเพื่อนสนิทกันแบบน่าตกใจ) หรือการเรียก ยตสึฮะ น้องสาวของมิสึฮะว่า เป็นน้องสาวตัวเองก็แทบจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทั้งสองคนคือคนคนเดียวกันไปแล้ว
นี่ไม่ต้องบอกว่า ตัวทาคิสะเทือนใจกับความตายของคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะน้องสาวและเพื่อนของมิตสึฮะแค่ไหน หากตีความส่วนตรงนี้ก็คือ ทาคิกับมิตสึฮะคือคนคนเดียวกันแต่แรกแล้ว
อีกส่วนที่หากจะพูดกันคือ การนำเรื่องนี้แหละมาตีเพศสภาพใส่มิตสึฮะว่า ตัวเธอเองต้องการเป็นผู้ชายเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นจากสภาวะน่าเบื่อหน่ายทั้งการมีปัญหากับพ่อ การถูกเพื่อนรุมว่า หรือ ความไม่มีอนาคตในเมืองนี้ จึงไม่แปลกที่มิตสึฮะจะห้าวขึ้น เท่ขึ้นจนกระทั่งมีสาวมาสารภาพรักกันทีเดียว หรือ ทาคิที่แม้จะเป็นผู้ชายแต่ก็เข้มแข็งเกินไปจนหาความอ่อนโยนไมได้ การได้พลังสาวของมิตสึฮะเข้าไปช่วยทำให้เขาเปลี่ยนไปเช่นกัน
รุ่นพี่ของเขาจึงใช้คำว่า
“มีใครบางคนเปลี่ยนเขาให้ดีขึ้นและน่ารักขึ้น”
ไม่ใช่ทาคิเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในทางดีขึ้น ทั้งมีความพยายามและความมุ่งมั่นในชีวิต ตัวมิตสึฮะก็เข้มแข็งขึ้นพอจะเผชิญหน้ากับความกลัว ความผิดหวังเพื่อปกป้องอนาคตของตัวเองได้เหมือนกัน
นั้นนับไปสู่บทสรุปที่สุดท้ายแล้วทั้งสองคนเอาชนะชะตากรรมที่ถูกเขียนเอาไว้ได้สำเร็จด้วยการเชื่อมโยงตัวตนเดียวกันทั้งสองเอาไว้นั้นเอง
แต่บางครั้งนี่อาจจะเป็นหนึ่งในการวางแผนที่ชาญฉลาดของตัวละครหนึ่งที่ซ่อนอยู่ก็ได้
5. สิ่งเหนือธรรมชาติ และ ภัยพิบัติ
อย่างที่กล่าวไว้ว่า Kimi No Nawa คืองานที่หยิบเรื่องราวเชิงวัฒนธรรมของคนเอเชียและโดยเฉพาะญี่ปุ่นมาใช้ได้อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะความเชื่อด้านภูตผีปีศาจและเทพเจ้าที่แฝงอยู่ในเรื่องอย่างชัดเจนจนแทบเป็นงานถ่ายทอดเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่ง
คาวาตาเระโดคิ หรือ ยามสนธยา ภาษาชาวบ้านคือ โพล้เพล้สนธยา ตามความเชื่อของคนเอเชียนั้น เวลานี้คือ เวลาที่สิ่งที่ไม่ใช่คนจะถูกปลดปล่อยออกมาและมีชีวิตในยามค่ำคืน ความฝันเองก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยามค่ำคืนเช่นกัน จึงไม่แปลกหากในสถานะนี้ โลกมิตสึฮะ คือ โลกแห่งความตาย แบบเดียวกับที่ยายของเธอบอกว่า ข้ามฝั่งแม่น้ำนั้นไปคือ ยมโลกหรือ ปรภพ สิ่งที่ไม่ใช่โลกของเรา การที่ทั้งสองคนสลับร่างกันเป็นครั้งสุดท้ายคือ การพบเจอกันของสองโลกที่เป็นไปได้ มิสึฮะและคนในหมู่บ้านตายไปแล้ว ส่วน ทาคิคือคนเป็น การเจอกันบนนั้นคือ ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายที่ทาคิได้มอบภารกิจให้มิตสึฮะเพื่อก้าวข้ามปรภพมาสู่แห่งความจริง
แน่นอนว่า หากจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้เราจะพบว่า ภายใต้ความวุ่นวายของการสลับร่างนั้นมันมีเบื้องหลังที่ตัวละครตัวหนึ่งถูกเอ่ยชื่อ แต่ ไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ตัวละครตัวนี้แหละคือ คีย์เวริ์ดสำคัญของเรื่องที่นำพาให้เรื่องราวทั้งหมดนำมาบรรจบกัน
คามิ หรือ เทพเจ้านั้นเอง
ผมไม่แน่ใจว่า ศาลเจ้าของมิตสึฮะนั้นนับถือ เทพเจ้าอะไร แต่การพูดถึงเทพเจ้าในเรื่องนี้นั้นน่าสนใจมาก มันอาจจะเป็นการพูดเทพที่ไม่มีรุปร่างแน่ชัด แต่มีตัวตนพอดลบันดาลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ให้มันเป็นไป
มิตสึฮะตะโกนลั่นบอกว่า อยากไปเกิดเป็นหนุ่มฮ็อตในโตเกียวเพราะ เบื่อหน่ายชีวิตบ้านนอก ที่ไม่มีวันฝัน ไม่มีความหวังใด ๆ นี้ คือสิ่งที่พระเจ้าดลบันดาลให้ไปสลับร่างในตัวทาคิ หาก จะตีความคือ มิตสึฮะไปเกิดเป็นทาคิในอีกชาติหนึ่งแล้ว ส่วนทาคิไปเกิดเป็นมิตสึฮะแทน ซึ่งทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นนอกจากมุสึบิและเชือกที่เชื่อมโยงทั้งสองไปด้วยกัน
คนที่ทำได้คือ เทพเจ้าหรือ คามินั้นแหละ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทพเจ้าไม่มีรูปร่างแต่เรารู้สึกได้ถึงตัวตนนั้นได้ทั้งเรื่อง เพราะ หากย้อนไป ญี่ปุ่นมีการตีความสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้าหรือเทพเจ้าบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในอนิเมะ ไม่ว่าจะเป็น ไลท์โนเวลหรืออนิเมะเรื่อง Suzumiya Haruhi ที่ตีความว่า โลกใบนี้คือ ความฝันของเด็กสาวที่ชื่อฮารุฮิเท่านั้น เธอจึงเป็นพระเจ้าเพราะสร้างโลกนี้ขึ้นมา และ ความเป็นพระเจ้านี้สามารถยักย้ายไปมาได้ จนต้องถามว่า พระเจ้ามีรูปร่างจริง ๆ หรือไม่ด้วยซ้ำ เช่นเดียวเรื่อง Kara no Kyoukai 5 Mujun Rasen ที่แสดงให้เห็นถึงพลังงานที่ชื่อว่า อารยะ ซึ่งคือ จิตวิญญาณการอยู่รอดของมนุษย์ที่มีอยู่ในแบบที่ไม่มีตัวตนจนเกิดเป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำลายลูบที่มนุษย์สร้างขึ้นจนพังทลาย นี่ยังไม่รวมถึงการแสดงให้เห็นพระเจ้าอาจจะเป็นตัวละครที่เข้าใจอะไรไม่ได้เลย
(รูปลักษณ์พระเจ้าใน Kara No Kyoukai เป็นหนึ่งในบุคลิกของชิกิ นางเอกของเรื่อง)
“ไม่มีใครยั้งรู้เจตนาของพระเจ้าได้หรอก”
ซึ่งหากจะพูดแล้วเนื้อหาจริง ๆ ของการสลับร่างนั้นคือ การช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านจากภัยพิบัตินี้ต่างหาก
หากเรารู้ล่วงหน้า เราจะป้องกันมันได้
ความฝังใจของภัยพิบัติสึนามและแผ่นดินไหว รวมทั้งเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุคุชิมะ คือ สิ่งฝังใจของคนญี่ปุ่นอย่างมาก อย่างที่เรารู้ว่า มันได้สร้างความตาย และ ความเสียหายให้ผู้คนมากเพียงใด หลังเหตุการณ์หนัง ญี่ปุ่นจึงมีภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดความเจ็บปวดนี้ออกมาหลายเรื่อง แต่เด่น ๆ ในปีนี้คือ ShinGodzilla และ Kimi No Nawa ที่เล่าเรื่องภัยพิบัติที่มาเยือนและไม่มีทางรับมือได้
มีเพียงมนุษย์ต้องเอาตัวรอดเท่านั้น
พูดคือ ไม่มีทางหยุดยั้งได้
มีเพียงแค่การรักษาชีวิตคนเอาไว้เท่านั้น เพราะ บ้านเรือน เมืองสามารถสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตคนสร้างใหม่ไม่ได้ ไม่แปลกที่เรื่อง Kimi No nawa จะให้ความสำคัญกับชีวิตคนมากกว่า
ตัวหนังบอกว่า เมื่อ 1200 ปีก่อนมีดาวหางเคยตกลงมา และกำลังจะตกมาอีกในปีนี้ ไม่ต่างกับสึนามิ ที่มีสัญญาณเตือนมาแล้วแต่คนไม่รู้ ซึ่งหากมองว่า นี่คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนแล้วนั้นก็ต้องหาทางป้องกันอยู่ดี
(นิยายภาคเสริม Kimi no nawa Another side : earthbound ที่รวมเรื่องสั้นของตัวละครในเรื่อง รวมทั้ง ยตสึฮะ
น้องสาวของมิตสึฮะที่ย้อนเวลาไปในช่วง 1200 ปีก่อน)
ยิ่งมีการเสริมว่า น้องสาวของมิตสึฮะเคยย้อนเวลาไปในเมื่อ 1200 ปีก่อน ตามเนื้อหาในนิยาย ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า หรือว่า เนื้อหาที่แท้จริงของการสลับร่างคือ การหาทางยับยั้งไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ต่างหากเล่า
เวลาหนึ่งเดียวเต็มที่ทั้งสองคนสลับร่างกันนั้นมีคำบอกใบ้ต่าง ๆ มากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้รับรู้ถึงมันเลย พระเจ้าจึงตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์นี้เพื่อให้ทั้งสองรับรู้ถึงภารกิจที่มอบหมายให้นั้นก็คือ การช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านนั้นเอง
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกมิตสึฮะต้องทำ ส่วนผลพลอยได้คือ การที่พวกเขาได้รักกันนั้นเอง
“ขอโอกาสสุดท้ายให้ผมเถอะ”
คำพูดนี้ของทาคินั้นหมายถึงการได้เจอมิตสึฮะอีกครั้ง หรือ สลับร่างเป็นเธอเพื่อยับยั้งเหตุการณ์ความตายนี้ ซึ่งหากจะบอกก็คือ การบอกเขาเข้าใจแล้วว่า การสลับร่างนี้คืออะไร และเขาต้องมอบหมายมันให้มิตสึฮะให้ได้
เพราะคนที่จะแก้ไขมันคือ มิตสึฮะนั้นเอง
(ก็ไม่แปลกหรอกที่มิตสึฮะจะบอกว่า ฉันเห็นกับตา เพราะ มันหมายความว่า ทั้งทาคิและมิตสึฮะกลายเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว)
ดังนั้นการที่คนรอดชีวิตกันได้หมดนั้น หากจะพูดในเชิงว่า ไม่มีความตายเกิดขึ้นแบบ 1200 ปีที่แล้วก็คือ ภารกิจสำเร็จ
ที่เหลือคือผลพลอยได้
แต่ก็มีคนกล่าวว่าไอ้ที่หมู่บ้านหายไปเนี่ยเพราะ มิตสึฮะเบื่อบ้านนอก ท่านเทพเลยจัดหายไปทั้งเมืองเลย ทำให้ต้องเข้ากรุงไปทั้งแก๊งค์ทีเดียว
6. มันคือพรหมลิขิต
อย่างที่เกริ่นไว้ว่า เรื่องนี้มีปลายเปิดมากมายให้เรานั่งคิดว่า สรุปแล้วนี่คือ เรื่องราวของอะไรกันแน่ตามแต่ความคิดของอรรถรสที่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ที่คนดูจะเชื่อแบบไหน เราอาจจะเชื่อว่า นี่เป็นเพียงความฝันของตัวละครในต้นเรื่องที่ถูกเล่าเป็นตุเป็นตะไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกันแน่
แต่สิ่งที่มันย้ำคือ นี่คือ เรื่องราวของพรหมลิขิต
เราไม่รู้ว่า สายใยที่ทำให้คนเรามารักกัน เจอกัน และ รู้จักกันนั้นเป็นแบบใด เราไม่รู้เราเคยเจอคนคนนี้มาก่อนไหม เราไม่อาจจะรู้ได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่แน่นอนคือ Kimi No nawa คือ หนังที่สะท้อนถึงความหวัง ความฝัน และ ความเชื่อมั่นของคนญี่ปุ่นที่มีต่อกันและกัน ต่อเวลาและอนาคตที่บอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกคนก็มีความหวังที่จะต้องเดินต่อไปตามความฝันนั้น ๆ
มันคือ ภาพยนตร์แห่งความหวังของคนญี่ปุ่นโดยแท้จริง
ไม่แปลกที่มันจะประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์อย่างมากในตอนนี้ส่งชื่อของชินไค มาโคโตะให้กลายเป็นหนึ่งในอนิเมเตอร์ยุคใหม่อีกคนนอกจาก มาโมรุ โฮโซดะ และ โยชิอุระ ยาสุฮิโระ แห่ง Time of eve ไปในที่สุด
เชื่อว่า นี่คือ น่าจะเป็นอนิเมะที่ถูกกล่าวขานไปอีกนานแสนนานไม่ต่างกับ Spirited Away เลยนั้นเอง
ป.ล. ขอบคุณข้อมูลจากคุณธีรภัทร เจริญสุข และบทความศาสนาชินโต
(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153853485726809&set=a.179824101808.128902.684336808&type=3)
ขอบคุณบทความชื่อแฝงของ หฤษฎ์ มหาทน
(https://www.facebook.com/1030548200366605/photos/a.1031137236974368.1073741828.1030548200366605/1177766115644812/?type=3)