คิชิดะ จุน เป็นเด็กหนุ่มมัธยมปลายที่มองเห็นคนตายได้ และ ข้าง ๆ เขานั้นมี ฮายาคาวะ เคียวโกะ เพื่อนสมัยเด็กที่ถูกฆ่าตายและมาปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเขา ท่ามกลางเรื่องราวสยองขวัญ ลึกลับที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา
ภาพปก เสียงกระซิบจากคนตาย เล่ม 8
เรียกว่าคงไม่มีการ์ตูนเรื่องใดที่ได้รับการพูดมากที่สุดในตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตเท่ากับผลงานการ์ตูนสยองขวัญเรื่อง เสียงกระซิบจากคนตาย (Shibito no koe wo kiku ga yoi) ผลงานของ ซาชิโกะ ฮิโยโดริ ที่เคยวางจำหน่ายในบ้านเรามาแล้วกับสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ แต่ ก็ออกได้เพียงเล่มเดียวก่อนที่ทางสำนักพิมพ์จะมีปัญหาบางประการกับทางต้นสังกัดของการ์ตูนเรื่องนี้ และ ต้องยกเลิกการพิมพ์เล่มต่อไปในที่สุด ทว่า หลังจากไม่มีค่ายใดในไทยนำมาแปลใหม่จึงทำให้มีเพจเฟสบุ๊คนำเรื่องนี้มาแปลไทยจนกลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างมากมาย เนื่องด้วยเนื้อเรื่องแนวสยองขวัญที่มีทั้ง ผี ฆาตกรโรคจิต มนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาด ที่บ่อยครั้งก็ไม่มีคำอธิบาย ไม่การบอกเล่าความเป็นมาใด ๆ จน ทำให้หลายตอนชวนหัว หักมุม จนเกือบเป็นอาการเมากาวด้วยซ้ำ แต่ด้วยบุคลิกของตัวละครทั้งชายและหญิงที่มีเอกลักษณ์ความน่ารักและเอกลักษณ์ รวมทั้งบรรดาสิ่งสยองขวัญทั้งหลายก็ออกแบบมาได้ติดตาจึงไม่แปลกที่บรรดาแฟนการ์ตูนจะชื่นชอบเรื่องนี้มากจนมียอดแฟนเพจ เสียงจากคนตาย ถึง 20945 ไลท์ (ระหว่างเขียนบทความนี้) ในระยะเพียงไม่กี่เดือน นี่แสดงให้เห็นว่า เนื้อหาของเรื่องนี้มีความน่าสนใจของบรรดานักอ่านอย่างยิ่งจนมีการรอคอยตอนต่อกันแทบทุกวัน
(Yamiyo ni Asobu na Kodomotachi , Freud Stein no Futago สองผลงานเก่าของ ซาชิโกะ ฮิโยโดริ)
แน่นอนว่า ความสำเร็จนี้มาจากปลายปากกาของ ซาชิโกะ ฮิโยโดริ หรือ อีกนามปากกาว่า อุงุอิสึ โยโกะ นักเขียนการ์ตูนสาวที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญแบบสั้น ๆ อย่าง Yamiyo ni Asobu na Kodomotachi , Freud Stein no Futago และ เรื่อง เสียงกระซิบจากคนตาย เป็นผลงานเรื่องยาวแรกของเธอ (ที่ไม่โดนตัดจบก่อน) โดยมีโทนที่ต่างจากงานเก่า ๆ ที่คราวนี้จะเน้นไปที่หนุ่ม ๆ แทน เนื่องจากลงให้อ่านกันในนิตยสา แชมเปี้ยน RED ของสำนักพิมพ์อาคิตะ
“บ.ก บอกว่า อยากให้ชื่อเรื่องหวาน ๆ มีสาว ๆ เยอะ ๆ ก็เลยวาดเรื่องที่มีพระเอกเป็นเด็กหนุ่มแล้วก็มีวิญญาณของเพื่อนสมัยเด็กแล้วก็มีผู้หญิงอีกเยอะแยะคอยตามกรี้ดกราดพระเอกนี่ละคะ แต่ก็อยากลองวาดเรื่องสยองขวัญด้วย แต่บ.ก. กลับบอกว่า มันหวานตรงไหน ?”
เสน่ห์สำคัญของการ์ตูนเรื่องนี้ นอกจาก บรรดาตัวละครชายหนุ่มหญิงสาวที่มีเอกลักษณ์ความป่วยและผิดแปลกไปจากปกติแล้ว ตัวเรื่องราวยังได้รับอิทธิพลมาจากสื่อต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์สยองขวัญดัง ๆ เกมดัง ๆ ไปจนถึงการ์ตูนเรื่องอื่นถูกนำมาบิด Plot ใหม่จนมีความตลก ความชวนหัว หักมุมได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าหลายคนจะมองว่า เรื่องไม่มีที่มาที่ไปหน่อย ทว่า หลายคนก็บอกว่า นี่คือ ผลงานที่เป็นเหมือนมรดกของงานการ์ตูนสยองขวัญเรื่องเก่า ๆ อย่าง ผลงานของอาจารย์คาซูโอะ อูเมซุ , จุนจิ อิโต้ไปจนถึง โยสุเกะ ทาคาฮาชิ ที่มีพวกเขาล้วนแล้วมีส่วนคล้ายคลึงกันโดยเฉพาะการหยิบเอาสิ่งที่เรียกว่า เรื่องใกล้ตัวมาใช้
“ผมอาศัยไอเดียจากชีวิตประจำวัน บางครั้งก็เอามาจากวิทยุ ถ้าฟังดูน่าสนใจก็จะลองหยิบมามองแบบกลับหัวกลับหาง ผมพยายามไม่เค้นความสยอง หากคิดว่า อันไหนเข้าท่าก็ขยายเรื่องและเพิ่มส่วนที่สยองเข้าไปทีหลัง โดยวางแนวทางของเรื่องเอาไว้แล้วค่อยวางพล็อต”
(อ.จุนจิ อิโต้)
จุนจิ อิโต้ นักเขียนการ์ตูนสยองขวัญในตำนานยอดฮิตที่บ้านเราคุ้นเคยกันดี เอ่ยถึงแนวคิดหลัก ๆ ของเขาก่อนจะเขียนงานขึ้นมา ซึ่ง เนื้อหาของเขาเองก็หยิบสิ่งที่ใกล้ ๆ ตัวเขามาทำใหม่ให้ดูน่าขนลุกและไม่มีที่มาที่ไป อาทิ Tomie ที่เล่าเรื่องเด็กสาวที่ถูกฆ่าตายแล้วกลับมาเรียนหนังสือปกติในวันต่อมา หรือ Gyo (ปลามรณะ) ที่เล่าเรื่อง ปลามีขาเหล็กที่ขึ้นมาจากทะเลแล้วเล่นงานภูเขาจนทั้งเมืองเหม็นไปทั่ว อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ก้นหอยมรณะ ที่อิโต้บิดเอาแนวคิดสยองขวัญนี้มาใช้เช่นกัน โดย เขาบอกว่า เขียนการ์ตูนเรื่องนี้ขึ้น เนื่องจากจ้องก้นหอยนาน ๆ แล้วเกิดรู้สึกว่า มันต้องมีอะไรแน่ ๆ ยิ่งจ้องยิ่งคิดยิ่งเลิดเทอญไปทุกที
แนวคิดของอิโต้ก็คล้ายกับอาจารย์ของเขาอย่าง คาซูโอะ อูเมซุ นักเขียนการ์ตูนสยองขวัญในตำนานจากผลงานอย่าง ฝ่ามิตินรก ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจนได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง รวมทั้งงานอื่น ๆ อาทิ Senrei ที่เล่าเรื่องน่าสยองขวัญของอาจารย์หนุ่มรูปหล่อที่ถูกเด็กสาวคนหนึ่งหลงใหลโดยไม่รู้ว่า ในร่างกายอันน่ารักนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ หรือ งานเรื่องสั้นของเขาอย่าง Hebi shoujo ก็เล่าเรื่องของงูผีที่วางแผนสังหารเด็กสาวชาวกรุงคนหนึ่งเพื่อจะสวมรอยเป็นเธอเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองแทน แนวคิดเหล่านี้มาจากการหยิบยกเรื่องธรรมดาใกล้ตัวมาใช้ แล้วบิดมันใหม่แบบที่อิโต้เป็นแล้วนำไปสู่เรื่องราวสยองที่ยากแก่การอธิบาย
(อ. คาสึโอะ อูเมซุ)
ซึ่งอาจารย์ อูเมซุกล่าวถึงแนวคิดที่ทำให้งานสยองขวัญของเขาได้รับความนิยมและกลายเป็นพิมพ์เขียวของงานสยองขวัญเรื่องต่าง ๆ ยุคหลังว่า
(บรรดางานสยองขวัญ อ. อูเมซุ)
“ผมขับเน้นความกลัวจากที่สิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นในบรรยากาศทะมึนไม่สามารถไว้วางใจสิ่งใด ๆ ได้แม้แต่คนใกล้ตัว พ่อ แม่ ครู อาจารย์ แม้แต่คนรัก ขณะที่โครงสร้างของเรื่องจะซ่อนความหมายของความหมายบางประการอันจะนำไปสู่ บทจบแบบหักมุมและปลายเปิด”
การเล่าแบบปลายเปิดนี้ได้รับความนิยมมากและส่งอิทธิพลมายังนักเขียนการ์ตูนรุ่นหลัง ๆ อาทิ Eko Eko Azarak (มนต์ดำมรณะ) ผลงานอาจารย์ซานิจิ โคกะ (ที่พึ่งเสียชีวิตไปไม่นานนี้) ที่เล่าเรื่องเด็กสาวแม่มดที่มีชื่อว่า คุโรอิ มิสะ ที่เป็นทายาทแม่มดแล้วเดินทางไปยังโรงเรียนต่าง ๆ แล้วบ่อยครั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวลึกลับที่แฝงอยู่ รวมทั้งเผชิญหน้ากับจิตใจอันดำมืดของมนุษย์ไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้โด่งดังมากจนมีฉบับรวมเล่มถึง 20 เล่มจบ และ ตัวของมิสะก็กลายเป็นต้นแบบของแนวสยองขวัญที่มี Theme ว่า ด้วยตัวเอกที่ย้ายโรงเรียนไปที่อื่น ๆ แล้วไปเจอเรื่องสยอง และจบในตอนนี้แบบนี้
“ผมมองว่า เรื่องสยองขวัญมักสะท้อนจิตใจของมนุษย์เอง”
อาจารย์ซานิจิ โคกะ เอ่ยสัมภาษณ์กับนิตยสารในวาระที่การ์ตูนเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์คนแสดง และ มองว่า คุโรอิ มิสะ เป็นเหมือนตัวแทนของคนดูที่เข้าไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวสยองขวัญที่บ่อยครั้งเกิดจากตัวของมนุษย์ด้วยกันทำให้เกิดขึ้น
“มิสะเป็นเด็กผู้หญิง ถึงเธอจะเป็นแม่มด ผมก็คิดว่า เธอเลือกก็อยากจะเป็นเด็กธรรมดา อยากมีเพื่อน ไปโรงเรียน มีคนรัก และ ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องราวแบบนี้ นี่คือสิ่งผมอยากให้คนดูได้เห็นจากเรื่องนี้
เช่นเดียวกับเรื่องราวของยามางิชิ เด็กหนุ่มดวงซวยที่มักจะเจอเรื่องราวสยองขวัญตลอดเวลา ซึ่งบ่อยครั้งก็หาคำอธิบายใด ๆ ไม่ได้ อย่างตอนดัง ๆ ที่เขาถูกคนทั้งโรงเรียนไล่ฆ่าตามคำสั่งใครสักคนให้ฆ่ายามางิชิ เป็นต้น ซึ่งมาจากมังงะที่มีชื่อว่า ชั่วโมงเรียนพิศวง (Gakkō no Kaidan) (จำนวน 15 เล่มจบ)ของ โยสุเกะ ทากาฮาชิ
“นี่เป็นเรื่องสยองขวัญที่ผมเขียนขึ้นมาจากการแต่งเอง ผมชอบเรื่องเล่าสยองขวัญ บ่อยครั้งฟังมันตอนแคมป์ไฟ มันน่ากลัวและบ่อยครั้งก็ไม่มีที่มา แค่น่ากลัวก็พอแล้ว ถ้ามีสิ่งที่อธิบายได้ มันก็ไม่น่ากลัว”
โยสุเกะ ทาคาฮาชิกล่าวถึงเนื้อหาในช่วงแรกเป็นเรื่องสั้นสยองขวัญจบในตอนที่มีทั้งหักมุมบ้างจนคนดูตามไม่ทัน หรือ โรแมนติคและโศกเศร้า ผ่าน ตัวเอกอย่าง ยามางิชิที่มักซวยถูกฆ่าตายบ่อย ๆ จนได้รับความนิยมและได้มีเรื่องยาวต่อเนื่องตั้งแต่เล่ม 6 เป็นต้นมาที่มีการเพิ่มบทของคุณครูแม่มดผู้มีพลังอย่าง คุด้ง คุกิโกะมา ให้เนื้อหาซอฟลง แม้จะยังน่ากลัวอยู่ เนื่องจากอยากให้เด็ก ๆ อ่านได้ง่ายขึ้น จึงไม่แปลกที่ญี่ปุ่นจะมีหนังสือการ์ตูนแนวสยองขวัญตาหวานออกมาวางจำหน่ายมากมาย แต่ละเรื่องก็มักจะเล่าเรื่องของครอบครัว เด็ก โรงเรียน ผสมผสานไปกับความสยองขวัญนั้น โดยเรื่องที่ดัง ๆ นั้นก็ได้แก่ Zekkyo Gakkai (คลาสเรียนหวีดผวา) ของสำนักพิมพ์ บงกชคอมมิค ที่มีศูนย์กลางของเรื่องคือ วิญญาณเด็กสาวที่ชื่อว่า โยมิ ที่จะคอยมาเล่าเรื่องสยองขวัญในแต่ละตอน โดยมากมักเป็นเรื่องเขย่าขวัญที่หยิบเอาสิ่งที่เรารู้กันในสังคมญี่ปุ่น อย่าง การกลั่นแกล้งในโรงเรียน , การทำร้ายในครอบครัว , ความมืดมิดในใจของเด็กและตัวละครในเรื่อง แน่ละว่า แต่ละเรื่องมีบทสรุปในเชิงสั่งสอนศีลธรรม และ เพื่อให้ข้อคิดแก่เด็ก
“เรื่องสยองขวัญมักมาจากผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องให้เด็กฟัง เรื่องเล่าพวกนี้เลยมีลักษณะใช้สั่งสอนให้เด็กไม่ทำ หรือ ทำตามที่ต้องการ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่อง การ์ตูนของฉันจะนำเรื่องพวกนี้มาเล่าและตั้งคำถามว่า เด็ก ๆ จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ยังไงค่ะ บ่อยครั้งพวกเขาก็ตกลงสู่หลุมดำมืดของจิตใจและเอาตัวไม่รอด”
เอมิ อิชิคาว่า ผู้เขียนมังงะเรื่องนี้เขียนถึงความคิดในการนำเรื่องราวเขย่าขวัญนี้มาเป็นการ์ตูน ซึ่งแน่นอนว่า เธอก็เป็นหนึ่งในนักเขียนสยองขวัญตาหวานชั้นนำที่เข้าใจดีว่า เรื่องรางสยองขวัญนั้นมีคุณค่าในเชิงสังคมมากเพียงใด เช่นเดียวกับอาจารย์ โช คามาคุระ ผู้แต่ง นูเบ มืออสูรล่าปีศาจ ที่หยิบเอาตำนานผี เรื่องเล่าต่าง ๆ มาตีความใหม่พร้อมกับใส่มุมมองในเชิงสายตาผู้ใหญ่ว่า เรื่องเล่าพวกนี้มีมานานแล้ว และถูกดัดแปลงไปตามกาลเวลา แต่จุดหมายของมันไม่เคยเปลี่ยนนั้นคือ การใช้เรื่องเล่าสะท้อนสังคมและสะท้อนถึงภัยรอบตัวที่มีต่อเด็ก ๆ ซึ่งนูเบเองก็เป็นหนึ่งในงานสยองขวัญที่มีอิทธิพลต่อหลายคนในยุค 90 และโด่งดังจนมีอนิเมชั่นและภาคต่อออกมาในตอนนี้ด้วย
จึงไม่แปลกหากว่า เสียงกระซิบจากคนตายนี้จะเป็นเหมือนมรดกสำคัญของงานชั้นครูเหล่านี้และมันได้ต่อยอดพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นงานสยองขวัญที่โดดเด่นมาก ๆ และ ที่สำคัญมันเต็มไปด้วยการคารวะงานชั้นครูอื่น ๆ อาทิ การคารวะนอสเฟอราตู หนังแวมไพร์เรื่องแรกของโลก หรือ การคารวะงานของ HP Lovecraft ในตอนที่ 34 (โลกที่เปลี่ยนไป) หรือ ผีที่ล้อเอ็กโซซิสต์แบบเต็ม ๆ ,ครอบครัวประหลาดที่อธิบายไม่ได้ว่าเป็นตัวอะไรในตอนที่ 5 จึงไม่แปลกที่นอกจากเนื้อหาของเรื่องที่ต้องลุ้นว่า จะเล่นอะไรแล้ว ตัวเนื้อหายังทำให้เราสนุกกับการถ่ายทอดงานชั้นครูเหล่านี้ไปพร้อมกันว่าจะตีความหรือนำมาใช้ใหม่ได้อย่างไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตัวมังงะสยองขวัญเรื่องนี้ก็มีแง่มุมในการสะท้อนจิตใจอันดำมืดของมนุษย์ ภาพความเลวร้าย สิ้นหวัง และ ความเจ็บปวดอันเกิดขึ้นความโศกเศร้า ผิดหวัง โกรธแค้น ที่บ่อยครั้งวิญญาณก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากลอยไปลอยมารอดูคนชิบหายกันไปแค่นั้น เพราะ สุดท้ายแล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สิ่งที่มองไม่เห็นหรือสัตว์ประหลาด มนุษย์ต่างดาว พวกนั้น
แต่เป็นจิตใจของมนุษย์เอง
และเชื่อว่า หลายคนคงกำลังจดจ่อรอชมเรื่องราวของคิชิดะและฮายาคาวะต่อไปว่า พวกเขาจะเผชิญหน้ากับเรื่องเล่าเขย่าขวัญนี้เรื่องใดอีก
* ปัจจุบัน Shibito no koe wo kiku ga yoi ยังไม่มีสำนักพิมพ์ไทยใดนำมาจัดพิมพ์ใหม่จึงสามารถอ่านฉบับแปลไทยได้ที่เพจเสียงคนตาย ซึ่งปัจจุบันแปลไปถึงตอนที่ 38 แล้ว และ ขณะที่ต้นฉบับออกมาทั้งหมด 9 เล่ม และ เล่มที่ 10 กำลังจะวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้