ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเขียนต้นฉบับอยู่ตอนนี้ภาพยนตร์ซอมบี้ทุนต่ำเรื่องใหม่จากเกาะญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า One Cut of the dead กำลังสร้างกระแสครั้งใหญ่ให้กับวงการหนัง เมื่อ หนังซอมบี้ทุนต่ำเรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลายไปแล้วทั่วโลกกว่า 10 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างไม่ถึง 30000 เหรียญเท่านั้น และ สร้างปรากฏการณ์คำชมมากมายมหาศาลจากผู้ชมทุกประเทศที่ได้เข้าฉาย โดยเฉพาะ ทางเว็บไซต์ Rottentomato ให้เรตติ้งเรื่องนี้ไว้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำทั้งที่เป็นหนังซอมบี้ทุนต่ำแท้ ๆ
กระนั้นเองหลายคนค่อนคอดว่า หนังทุนต่ำแบบนี้ไร้คุณภาพ ดูไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับหนังทุนสูงของสตูดิโอ แต่ก็มีหนังทุนต่ำหลายเรื่องที่กลายเป็นมาหนังคลาสสิค หรือ ทำเงินมหาศาลในตาราง Box Office บางเรื่องก็ถูกกล่าวขานมาจนถึงวันนี้ บางเรื่องก็เป็นต้นแบบให้หนังหลายเรื่องในปัจจุบัน หรือมี แฟรนไชส์ออกมาในตอนนี้ และนี่คือ 10 หนังทุนน้อยชั้นดีที่กวาดคำชมและเงินไปมากมายจากทั่วโลก
Night of Living Dead (1968)
ก่อนที่โลกจะรู้จักหนังซอมบี้กินคนแบบที่เราคุ้นชินนั้น บนหน้าจอภาพยนตร์เต็มไปด้วยซอมบี้วูดูที่แสนน่าเวทนาและเชยจนหลายคนส่ายหน้า ทว่าในช่วงที่ สงครามเวียดนามกำลังปะทุนั้น อเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะหวาดระแวงของสงครามเย็น ความหวาดกลัวต่อสิ่งอื่น และ ภัยของคอมมิวนิสต์ส่งผลให้หนังวิทยาศาสตร์ได้รับความนิยมกันอย่างมากทำให้หนังซอมบี้วูดูกลายเป็นสิ่งทีล้าสมัย
กระทั้งการมาของหนังซอมบี้ทุนต่ำของบริษัทเล็กที่ชื่อว่า Image Ten ที่ได้แนะนำให้โลกรู้จักหนังซอมบี้แนวใหม่ พวกมันไม่ได้เกิดจากมนต์วูดูอีกแล้ว แต่เป็นซอมบี้ที่ลุกขึ้นมาจากรุมแล้วโจมตีใส่ผู้คนที่อยู่ในบ้านร้างเพื่อจะกินเนื้อของพวกเขาอย่างน่าสะพรึง ท่ามกลางความไม่เข้าใจกันทางความคิดของคนในบ้านว่า จะขังตัวเองในห้องใต้ดินรอสถานการณ์ดีขึ้น หรือ หนีไปเอารถกระบะแล้วขับไปจากที่นี่ดีกันแน่ ?
หนังทุนต่ำที่กำกับโดย ผู้กำกับโฆษณาหน้าใหม่ที่มีชื่อว่า จอร์จ เอ โรเมโร่ คนนี้ ใช้ทุนสร้างด้วยระดมทุนจากชาวเมืองและเพื่อน ๆ ทั้งสิบคนเป็นเงินทุนกว่า 114000 ดอลลาร์ และ เลือกถ่ายทำเป็นหนังขาวดำเพื่อประหยัดทุนสร้างลง และ เพื่อซ่อนงานเมคอัพที่ไม่เนียนไปด้วย กระนั้นเองก็ได้อารมณ์หนังข่าวได้ดีเหมือนกัน
ทว่า หนังก็หาคนฉายไม่ได้หลายปีเนื่องจาก ยุคนั้นหนังส่วนมากเป็นหนังสีทำให้หนังขาวดำต้องมองหาผู้จัดจำหน่ายสักพักจนกระทั่งมีค่ายซื้อไปฉาย ก่อนจะประสบความสำเร็จในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อมันทำเงินไปได้ถึง 1 ล้านในช่วงแรกที่ออกฉาย และ ทำเงินมาได้เรื่ยอจนปัจจุบันด้วยการคาดคะแนว่า มันน่าจะทำเงินไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ดีงาม
กระนั้นเองหนังก็ซวยอีกเมื่อ หนังเรื่องนี้ไม่มีลิขสิทธิ์จากความผิดพลาดทางเทคนิค เนื่องจากมีการเปลี่ยนชื่อเรื่องของหนังกลางคันทำให้ไม่มีการใส่เครื่องหมายยืนยันสิทธิลงไปในหนังเรื่องนี้ส่งผลให้หนังไม่มีลิขสิทธิ์จนกลายเป็นของสาธารณะที่ทำให้ใครจะนำหนังเรื่องนี้ไปทำอะไรก็ได้จนถึงปัจจุบัน โดยที่คนทำหนังชุดนี้ไม่ได้เงินมาอีกเลย
ทว่า คุณปะการสำคัญของหนังเรื่องนี้คือ การถือกำเนิดของหนังซอมบี้ที่เรารู้จักกันมาถึงปัจจุบันและกลายเป็นศักราชและกฎต่าง ๆ ของหนังซอมบี้ที่คนยึดถือกันมานานนับทศวรรษ
ไม่มีใครไม่รู้จักซอมบี้ของโรเมโร่ และ นำมาสู่ความป๊อปของสิ่งที่เรียกว่า ซอมบี้ในเวลาต่อมา
2.Halloween (1978)
หาก Night of Living Dead คือต้นกำเนิดหลักไมล์สำคัญของหนังแนวซอมบี้กินคน หนังฆาตกรที่ไล่ล่าพี่เลี้ยงเด็กในคืนวันฮาโลวีน ของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่องนี้ก็จุดเริ่มต้นของหนังที่ถูกเรียกว่า Slasher Film หรือ หนังเชือดในยุคต่อ ๆ มา ทั้งที่ทุนสร้างของหนังเรื่องนี้อยู่ในขั้นน่าเวทนาอย่างยิ่ง หนังทุนสร้างแค่ 300000 เหรียญเท่านั้น ทุนสร้างและงบไปอยู่กับดาราใหญ่ในเรื่องอย่าง Donald Pleasence เกินครึ่ง และ ใช้ทีมงานหน้าใหม่เกือบหมด รวมทั้งนักแสดงนำหญิงอย่าง เจมี่ ลี เคอร์ติสเองก็ไม่เคยเล่นหนังมาก่อนด้วย เรียกว่า อนาคตของหนังเรื่องนี้มืดมนตั้งแต่เริ่มด้วยซ้ำไป
แถมหนักกว่านั้นคือ คาร์เพนเตอร์ไม่มีงบกระทั่งซื้อหน้ากากให้กับไมเคิ่ล เมเยอร์ ด้วยซ้ำ ทำให้ทีมงานต้องหาหน้ากากที่สุดในร้านอย่าง หน้ากากของวิลเลี่ยม แชตเนอร์ ใน Star Trek มาใช้แทน (เนื่องจากมันถูกสุด) พวกเขาพ่นสีตกแต่งมันใหม่ให้กับ นิค คาสเทิ่ล สวมเป็นไมเคิ่ล เมเยอร์ แทน
ความที่หนังทุนน้อยไม่ได้ปิดโอกาสสร้างสรรค์ให้กับหนังเรื่องนี้ เมื่อ คาร์เพนเตอร์สร้างหนังให้ออกมาโทนลึกลับ เพื่อประหยัดงบ เขาแทบไม่ให้เห็นฉากเชือดเต็ม ๆ บนจอ และ ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูเหมือนปีศาจมากกว่าฆาตกร สร้างความกลัวให้คนดูอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญคือ การสร้างสูตรของหนังสยองขวัญที่ชื่อว่า Final Girl ขึ้นมา อันเป็นสูตรหนังที่ว่า หนังเชือดจะต้องมีนางเอกคนสุดท้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับฆาตกร และ ที่สำคัญความบทหนังฉลาดมาทำให้ตัวละคร ลอรี่ สโตรก เป็นต้นแบบของนางเอกสุดแกร่งที่หลายคนจดจำไปในที่สุด
Halloween กลายเป็นหนังสยองขวัญที่ประสบความสำเร็จทันที แม้ว่าช่วงแรกของหนังนั้นจะหาคนจัดจำหน่ายไม่ไดหลายปี แต่เมื่อมันได้ฉายก็สร้างปรากฏสำคัญจนกลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในตารางหนังทั่วโลก (มันทำเงินไปกว่า 70 ล้านดอลลาร์จากทุนสร้างแค่ 300000) สร้างชื่อเสียงให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และ เป็นจุดกำเนิดความยิ่งใหญ่ของจอห์น คาร์เพนเตอร์ในยุค 80 เช่นเดียวกับ เจมี่ ลี เคอร์ติส ที่ดัง ๆ พลุแตกไม่ต่างกับแม่ของเธอด้วยซ้ำ
3. Mad Max (1979)
ท่ามกลางบรรยากาศซ้ำซากจำเจในหนังแอ็คชั่นนำมาสู่การพยายามครั้งสำคัญของผู้กำกับชาวออสเตรเลียนามว่า จอร์จ มิลเลอร์ ได้ตัดสินใจทำหนังแอ็คชั่นในโลกดิสเทอเบียเรื่องนี้ขึ้นว่าด้วยตำรวจหนุ่มผู้ออกไล่ล่าพวกแก๊งทรชนที่สังหารลูกเมียของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมเรื่องนี้ด้วยทุนสร้างเพียง 300000 ดอลลาร์เท่านั้น และ หนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของหนังแนวโลกล่มสลายที่เล่าเรื่องเพียงง่าย ๆ แต่กลับกินใจผู้คนพร้อมกับทำให้คนได้รู้จักกับพระเอกหน้าใหม่อย่าง เมล กิปสัน อีกด้วย
หนังทำเงินไปได้ถึง 100 ล้านดอลลาร์จากการฉายทั่วโลก มีภาคต่อตามมาถึง 4 ภาค กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับทุกคน แต่ที่มากกว่านั้นคือ การมิลเลอร์สานต่องานด้วยการทำภาคสองที่เป็นต้นแบบให้งานแนวโลกล่มสลายในหลายปีต่อมาได้อย่างมันสุด ๆ ขึ้นมา
ที่สำคัญหนังถูกบันทึกไว้ว่า เป็นหนังที่ทำกำไรสูงสุดหลายปีจนกระทั่งถูกทำลายลงด้วย The Blair Witch Project และ Paranormal Activity ในเวลาต่อมา
Evil dead (1981)
จะเป็นยังไงถ้ากลุ่มนักศึกษาบ้าหนังอยากทำหนังสยองขวัญกันเอง แบบไม่มีความรู้ด้านหนัง นอกจากความบ้าหนังเกรดบีล้วน ๆ ?
คำตอบคือ หนังสยองขวัญเรื่องนี้ไงละ
แซม ไรมี่ และ พ้องเพื่อนที่รักการทำหนังและทำหนังสั้นออกมาฉายแถวบ้านได้ตัดสินใจจะระดมทุนทำหนังยาวขึ้นมา โดยเขาได้นำเนื้อหาจากหนังสั้นของตัวเองแนวสยองขวัญอย่าง Within the woods มาขยายใหม่ โดยเล่าเรื่องง่าย ๆ อย่าง วัยรุ่น 5 คนไปพักบ้านร้างกลางป่าก่อนจะปลุกผีร้ายออกมาจากตำราโบราณแล้วเข้าสิงร่างของพวกเขาทีละคนให้ฆ่าคนที่เหลือ ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญให้กับพวกเขา ทั้งการถ่ายทำแบบกองโจรสุดแสนทรหดจนนักแสดงหลายคน (ที่เป็นเพื่อนกันนี่ละพากันร้องว่า โหดเกินนนน) การเผชิญหน้ากับอากาศหนาวเย็นในกระท่อมกลางป่า เอฟเฟกซ์ง่อย ๆ ที่ทำกันเอง และ อื่น ๆ ที่พวกเขาใส่พลังลงไปเต็มไปพิกัดทั้งที่ทุนสร้างมันแค่ 350000 เหรียญเท่านั้น แต่พวกเขาก็จัดหนังเต็มกำลังอย่างบ้าคลั่ง
หนังออกฉายพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในช่วงแรกที่ไม่ดีนักว่า โหดเกินไป แต่หลังจากสตีเฟ่น คิง ได้ชมหนังเรื่องนี้และเอ่ยปากชมว่า มันเป็นหนังสยองขวัญที่ดีมาก ๆ หนังเองก็ได้รับการตอบรับแง่บวก จนได้ฉายในโรงภาพยนตร์ใหญ่ ๆ และ โรงไทร์อินจนทำเงินไปได้ราว 2.4 ล้านดอลลาร์ !!
ที่ตลกกว่าคือ เมื่อหนังถูกส่งลงวีดีโอ มันกลายเป็นหนังที่มียอดเช่าสูงสุดในเกาะอังกฤษ และ เป็นหนังที่ม้วนวีดีโอหายบ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์ (พูดคือ โดนขโมยมากสุด) กล่าวกันว่า หนังเรื่องนี้ในแบบไม่ตัดท่อนความโหดของหนังในอดีตหายากมาก และ วีดีโอที่มีฉบับนี้ราคาดีมากในตลาดมืดอีกด้วย
ความสำเร็จนี้ทำให้หนังมีภาคต่อ ซีรีย์ เกม คอมมิค และ สินค้ามากมาย เป็นหนังสยองขวัญในตำนานที่แฟนหนังเหล่านี้ยกย่องและพูดว่า อยากดูหนังน่ากลัว หา Evil dead มาดูสิ !!
The Terminator (1984)
หลังผิดหวังกับการถูกไล่ออกจากโปรเจ็ทหนังเรื่องแรกอย่าง Piranha 2 : The Spawning ไปแล้ว ผู้กำกับหน้าใหม่ที่เป็นอดีตมือเอฟเฟกซ์ของโรเจอร์ คอร์แมน อย่าง เจมส์ คาเมร่อนก็รีดเร้นความโกรธแค้นและอัตคัดของตัวเองมาผสมกับความฝันที่เขาเห็น ภาพโครงกระดูกเหล็กในกองเพลิง ให้กลายเป็นบทหนังเรื่อง The Terminator อันว่าด้วย หุ่นยนต์เหล็กจากโลกอนาคตที่ถูกส่งมาเพื่อไล่ล่าสังหารสาวเสิร์ฟคนหนึ่งทีจะกลายเป็นคนให้กำเนิดผู้นำโลกที่จะต่อต้านกองทัพเครื่องจักรนี้ ก่อนจะตกลงยอมเซ็นสัญญากับโปรดิวเซอร์สาวอย่าง เกล เอน เฮิร์ด ในราคา 1 เหรียญเพื่อแลกกับสิทธิกับการกำกับหนังเรื่องนี้ ทว่า กว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ เขาต้องผ่านความเจ็บปวดของสตูดิโอต่าง ๆ ที่ปัดบทหนังอย่างไม่มีใยดี แต่สุดท้ายก็เป็น โอไรออน ที่รับหนังเรื่องนี้มา พร้อมกับทุนสร้าง 6 .4 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าต่ำมากสำหรับการทำหนังไซไฟสักเรื่อง
เพราะ ต้องการตัวอาร์โนลด์มารับบท Terminator หุ่นสังหารในเรื่องทำให้งบหนังแทบไม่เหลือจะจ้างดาราดัง ๆ คนอื่นได้ และ ค่าทำเอฟเฟกซ์ก็อัตคัดเหลือเกิน แถมการถ่ายทำที่คาเมร่อนต้องสู้กับการโดนสตูดิโอเข้ามาควบคุมงานตลอดเวลากลายเป็นฝันร้ายที่อยากจะร้องไห้ (นี่ยังไม่รวมถึงการถูกอ้างว่า ลอกงานชาวบ้านด้วย ยิ่งทำให้คาเมร่อนปวดหัวจนนอนไม่หลับไปหลายวัน) สุดท้ายแล้วเมื่อหนังออกฉายได้สำเร็จ หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อมันทำเงินไปได้ถึง 40 ล้านดอลลาร์ และ ขายดีมาในตลาดโฮมวีดีโอ รวมทั้งสร้างชื่อให้กับทางอาร์โนลด์ และ คาเมร่อนได้สำเร็จ และถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังไซไฟแอ็คชั่นระทึกขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาล และ มีภาคต่อที่ดีกว่าภาคแรกในหลายปีต่อมา
The Blair Witch Project (1999)
คงไม่มีหนังเรื่องใดที่ถูกพูดบ่อยครั้งว่า เป็นหนังทุนต่ำที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ทั้งการประชาสัมพันธ์ การสร้างความสนใจ และ ความอยากรู้ให้คนดูมากกว่าหนังเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะในช่วงปีที่หนังออกฉาย สิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ตยังไม่ได้แพร่หลาย ตัวหนังถูกโปรโมทสร้างมาจากฟุตเตจจริงทำเอาหลายคนตกใจและแห่กันไปดูหนังเรื่องจนทำเงินถล่มทลายในเมืองไทยทีเดียว ก่อนที่หลายคนจะบอกว่า อะไรของมันวะ ดูไม่เข้าใจ บางคนมึนกับการนำเสนอเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่คลิกและเข้าใจหนังถึงกับกลัวการเดินป่าในตอนกลางคืนไปเลยทีเดียว
ต้องบอกว่า ความดีงามนี้มาจากสองนักทำภาพยนตร์มือสมัครเล่นอย่าง Daniel Myrick และ Eduardo Sánchez ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาด้วยทุนจำกัดเพียง 60000 ดอลลาร์เท่านั้น พร้อมกับการวางแผนถ่ายทำอย่างชาญฉลาด อย่าง การใช้นักแสดงหน้าใหม่ การวางโครงเรื่องที่คลุมเครือไม่มีบทสรุป หรือ การใช้กระแสเน็ตไปพร้อมกับการสร้างตำนานแม่มดแบลร์ขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นไวรัลชิ้นโตที่ทำให้หนังทุนต่ำเรื่องนี้ทำเงินไปได้ถึง 248 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นหนังทุนต่ำที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลช่วงหนึ่งด้วยซ้ำแม้ว่า จะไม่มีบทสรุปแต่หลายคนก็บอกว่า หนังมันกดดันและน่ากลัวจริง ๆ
น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้มีภาคต่อตามมาสองภาค แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับภาคแรก เช่นเดียวกับสองผู้กำกับที่ตอนนี้เหมือนติดร่างแหความสำเร็จจนไม่มีหนังออกมาให้ดูอีกเลยจนปัจจุบัน
SAW (2004)
“ชายสองคนลืมตาตื่นขึ้นมาห้องปิดตายที่มีศพอยู่กลางห้อง พวกเขาถูกมัดด้วยโซ่จนหนีไปไหนไม่ได้ พวกเขาไม่รู้จักกัน แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังเป็นเหยื่อในเกมของฆาตกรชื่อดังที่ชื่อว่า จิ๊กซอว์”
คงไม่มีหนังสยองขวัญเรื่องใดในปี 2004 ที่ดังเท่ากับ SAW แล้ว ภายหลังความอ่อนแรงของหนังสยองขวัญหลายเรื่อง SAW กลับพุ่งทะลุขึ้นมาด้วยไอเดียของหนังที่ดูเรียบง่าย แต่ ผ่านการคิดที่แสนซับซ้อน เนื้อหาส่วนใหญ่เล่าเรื่องในห้องปิดตายนี้พร้อมกับเกมมรณะที่ทำให้คนดูต้องลุ้นว่า พวกเขาจะเอาชีวิตรอดยังไง รวมทั้ง ใครคือ จิ๊กซอว์กันแน่ ซึ่งไอเดียนี้มาจากสองหนุ่มนักศึกษาภาพยนตร์อย่าง ลี แวนเนลล์ และ เจมส์ วาน ที่ทำหนังขึ้นมาด้วยไอเดียที่ว่า มนุษย์เราจะรู้จักคุณค่าชีวิตที่เหลืออยู่ หากเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาก่อน ซึ่งเกิดจากตัวแวนเนลล์นั้นปวดฟันจนแทบบ้ามาแล้ว ก่อนจะช่วยกันปั่นบทนำไปเสอนสตูดิโอนับสิบแต่ไม่มีที่ใดสนใจเลย แถมโดนด่าว่า ก็แค่หนังห่วย ๆ เรื่องหนึ่งด้วยซ้ำ
จนกระทั่งสตูดิโออิสระอย่าง ไลออนเกท ได้เข้ามารับหนังเรื่องนี้ไปดูแลพร้อมกับมอบทุนสร้างให้ 1 ล้านดอลลาร์เพื่อทำหนังเรื่องนี้ พร้อมกับให้วานกำกับหนังเรื่องนี้เอง ด้วยทุนสร้างแค่นี้ทำให้วานใช้นักแสดงหน้าใหม่ทั้งหมด เน้นเรื่องราวแนวสืบสวนระทึกขวัญ ก่อนจะทำคนดูล้มกลิ้งกับจุดหักมุมในหนังที่ทำหลายคนบอกว่า เป็นหนึ่งในหนังหักมุมที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง และ กลายเป็นต้นกำเนิดของหนังแนว Torture Porn หรือ ทรมานบันเทิงที่พาเหรดสร้างกันเป็นล่ำเป็นสันในเวลาต่อมา
หนังทุนสร้าง 1.3 ล้านดอลลาร์นี้ (เพิ่มมาจากการถ่ายทำอีก 3 แสน) ทำเงินทั่วโลกไปกว่า 103 ล้านดอลลาร์พร้อมคำวิจารณ์ชั้นเยี่ยม และ ทำให้ SAW เป็นแฟรนไชส์ทรงคุณค่าของฮอลลีวู้ดไปอีกเรื่องทำให้สตูดิโออิสระอย่าง ไลออนเกท เป็น สตูดิโอชั้นนำที่ผลิตงานดี ๆ ออกมากมายจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งทั้งวานที่เปลี่ยนจากไอ้ตี๋ นักศึกษาภาพยนตร์กลายเป็นผู้กำกับงานชุกของวงการไปในที่สุด
Paranormal Activity (2007)
หลัง The Blair Witch Project ครองตำแหน่งหนังสยองขวัญทุนต่ำที่ทำกำไรสูงสุดจนไม่มีใครโค่นแชมป์ได้มาหลายปี สุดท้ายแล้วสถิติก็มาถูกทำลายด้วยการมาของหนังสยองขวัญแนวเรียลลิตี้แบบเดียวกันที่ใช้ทุนน้อยกว่าถึง 6 เท่าอย่าง Paranormal Activity ที่ใช้ทุนสร้างเพียง 15000 ดอลลาร์เท่านั้น และ ที่สำคัญหนังดำเนินเรื่องอยู่แค่ในบ้าน ใช้กล้องเพียงไม่กี่ตัว และ มีนักแสดงโนเนมเล่นแค่ไม่กี่คน เท่านั้น แต่ปรากฏว่า หนังทำเงินไปได้มหาศาลกว่า 193 ล้านดอลลาร์ !!
โครงเรื่องของหนังง่ายมาก มันว่าด้วยเรื่องของสองสามีภรรยาที่พบว่า บ้านของเขามีอะไรบางอย่างแปลก ๆ เลยตั้งกล้องเอาไว้ ก่อนจะพบกับเรื่องสยองขวัญจนขนลุก ซึ่ง หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับที่ไม่เคยมีประสบการณ์ถ่ายหนังใหญ่เลยอย่าง Oren Peli เป็นคนเขียนบทและกำกับเอง พร้อมกับได้นักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์มารับบทคู่รักที่ต้องเจอปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ด้วยกัน ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความสมจริงและเข้าขากันจนเหมือนกำลังดูฟุตเตจจริง ๆ ของพวกเขาด้วยซ้ำไป ทว่า หลังจากถ่ายเสร็จแล้ว เมื่อพยายามขายมันให้กับสตูดิโอต่าง ๆ หนังกลับถูกปัดเนื่องจากไม่มีใครเชื่อมั่นในความศรัทธานี้ ส่งผลให้ตัวของผู้กำกับตัดสินใจฉายหนังตามเมืองต่าง ๆ สร้างกระแสให้คนดูสนใจ พร้อมกับไวรัลต่าง ๆ ที่ทำให้คนดูพากันขนลุก ความดีงามของอินเตอร์เน็ตทำให้หนังเรื่องนี้ไปเข้าตาสตีเว่น สปีลเบิร์กเข้าและให้พาราเม้าท์ซื้อหนังเรื่องนี้มาฉายก่อนจะกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการภาพยนตร์อย่างเช่นทุกวันนี้
และ ตอนนี้ตัวหนังก็มีภาคต่อตามมาถึง 6 ภาคและทำเงินรวม ๆ กันทุกภาคไปกว่า 1000 ล้านดอลลาร์และจะมีภาครีบู้ทมาอีกในอีกไม่นาน บ่งบอกถึงความสำเร็จของหนังชุดนี้อย่างที่เห็น
ไทบ้านซีรีย์ (2017-2018)
สำหรับหนังไทยแล้วทุนสร้างเพียง 3 ล้านบาทนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกินที่จะทำหนังดี ๆ ออกมาได้สักเรื่อง (หนังหลายเรื่องใช้ทุนสร้างกว่า 10 ล้าน และ หากต่ำกว่านั้นจะเป็นหนังทุนต่ำทันที ทว่า กลับมีหนังอีสานเรื่องหนึ่งที่ใช้เพียงนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้กำกับก็เป็นนักศึกษาภาพยนตร์มหาวิทยากรุงเทพที่ยังเรียนไม่จบ (ในตอนนั้น) และทีมงานที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก นอกจาก ทำเอ็มวีเพลงกันเล่น ๆ ลงยูทูป มาช่วยกันฟอร์มทีมทำหนังขึ้นมาด้วยเงินทุนที่ได้จากนายทุนใจถึงคนหนึ่งใน ศรีสะเกษ ด้วยความหวังว่าจะทำหนังเลิฟคอมเมดี้แบบอีสานไทบ้านขึ้นมาเกาะกระแสหนังอีสานที่กำลังมาแรงในตอนนั้นจาก ผู้บ่าวไทบ้าน ทว่า ตัวหนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่แม้จะมีโครงเรื่องว่าด้วย ลอด หนุ่มอีสานที่ต้องจีบสาวมาเป็นแฟนให้ได้โดยมีแคนดิเดตอย่าง หมอปลาวาฬผู้แสนน่ารัก และ ครูแก้วจอมเฮี้ยว นี้ กลับจับใจคนดูจนทำเงินไปได้ 20-30 ล้านบาท เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ทำให้ทีม เซิ้งโปรดักชั่น เป็นที่รู้จัก ทั้งการทำเรื่องให้ครื้นเครงสนุกสนานแบบคนอีสาน ทั้งการทำขับเน้นภาพของอีสานยุคใหม่ที่ไม่ได้เหมือนอีสานในสายตาคนเมืองอีกต่อไป ทำให้สารของหนังจับใจคนดูอย่างมาก อีกทั้งเพลงประกอบหนังก็ทำวิวไปได้ถึง 100 ล้านไลท์เกือบทุกเพลง เป็นความสำเร็จขั้นต้นของหนังเรื่องนี้
และล่าสุดในปีนี้หนังได้นำซีรีย์ที่ถ่ายเอาไว้มาตัดต่อใหม่เป็นหนังภาคต่อ (หลังหาช่องลงฉายไม่ได้) และด้วยทุนสร้างที่มากขึ้นเป็น 6 ล้าน หนังภาคนี้ทำเงินมหาศาลไปถึง 80 ล้านบาท !! จากการฉายทั่วประเทศ เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของพวกเขาไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค เช่นเดียวกับเพลง ระเบิดเวลาที่ได้ 100 ล้านวิวไปแล้วเช่นกัน ทำให้ภาคต่ออย่าง ไทบ้านซีรีย์ 2.2 ได้รับการจับตามองว่า สถิติของพวกเขาจะไปจบที่ไหนกัน ?
One cut of the dead (2017-2018)
หนังซอมบี้ทุนต่ำจากญี่ปุ่นที่ใช้ทุนสร้างเพียง 27000 เหรียญเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของความพยายามที่น่าสนใจว่า บ่อยครั้ง เราตัดสินหนังจากทุนสร้างไม่ได้ อย่างที่บอกคือ ถ้าทุนน้อยแต่เต็มไปด้วยความไอเดียสร้างสรรค์อย่างมากจนกลายเป็นขวัญใจของแฟนหนังทั่วโลก และ ตอนนี้มันทำเงินไปได้กว่า 10 ล้านเหรียญ เรียกว่ามากกว่าทุนสร้างไปสิบเท่าด้วยซ้ำ
ชินอิจิโระ อูเอดะ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำทั้งหมด 8 วัน พร้อมกับทีมนักแสดงหน้าใหม่ทั้งหมด และ ทีมงานจากหนังสั้นที่รู้จักกันมาทำหนังเรื่องนี้ แม้ว่าทุนจะน้อยแต่พวกเขาได้ใช้ความสร้างสรรค์และการคารวะหนังแนวซอมบี้ให้ออกมาในสภาพที่เรียกว่า บ้าบอ และ มันสุด ๆ จนไม่แปลกว่า หนังมันจะได้รับคำชมและทำรายได้ไปมหาศาลในตอนนี้ (แม้ว่าช่วงแรกของหนังนั้นจะไม่ได้รับการตอบรับจากคนดูนักก็ตาม) โดยต้องขอบคุณ Third Window Films บริษัทผู้คร่ำหวอดด้านหนังเอเชียตะวันออกจากอังกฤษ และค่ายยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดอย่าง Nikkatsu ตัดสินใจควักเงินซื้อสิทธิ์หนังไปจัดจำหน่ายและกำลังดังสุด ๆ ในตอนนี้
ใครอยากสัมผัสหนังทุนต่ำชั้นดีเรื่องนี้สามารถไปชมกันที่ได้โรงภาพยนตร์ครับ ตอนนี้หนังกำลังสร้างกระแสดีบอกต่อกัน บอกเลยว่า เราไม่อยากให้คุณพลาดหนังเรื่องนี้ครับ เรียกว่า กระแสดีจนต้องไปดูจริง ๆ
ป.ล. ขอบคุณ Golden A ที่นำหนังเรื่องนี้มาให้ชมกันครับ รีบไปดูนะครับ เดี๋ยวหนังหลุดจากโรง