สำหรับหลายคน หนังเรื่องแรกเป็นเสมือนความฝันอันงดงามที่อยากจะทำให้สำเร็จ แต่สำหรับผู้กำกับหลายคนนั้นหนังเรื่องแรกของพวกเขานั้นไม่ได้สวยงามหรืออกมาราบรื่นอย่างที่คิด บางคนถูกไล่ออกจากโปรเจ็ท บางคนเกือบสติแตก หรือ บางคนก็เจอการกดดันจากอิทธิพลที่เหนือกว่าตัวเองจนหนังพังพินาศไปก็มี นี่คือ บรรดาผู้กำกับหนังมีชื่อทั้งหลายที่ต้องผ่านประสบการร์อันเจ็บปวดของการทำหนังเรื่องแรกว่า มันไม่ได้สวยงาม แต่มันเต็มไปด้วยเรื่องเล่าอันหวานอมขมกลืนยิ่งกว่า ก่อนที่หลายคนจะนำประสบการณ์นี้มาเป็นแรงผลักดันจนกลายเป็นสุดยอดนักทำหนังหรือมีผลงานดี ๆ ให้เราชมกันในเวลาต่อมา
นี่คือเรื่องราวบางส่วนของพวกเขา !!
David Fincher : Alien3 : 1992
คงอธิบายความยุ่งเหยิงของโปรเจ็ทหนังภาคต่อสัตว์ประหลาดชื่อดังของ FOX ที่สตูดิโอหวังสานต่อความสำเร็จนี้อย่างรวดเร็วหลังความสำเร็จของ Aliens แต่ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี กับการพยายามมองหาเนื้อหาใหม่ ๆ ที่พ้นจากไปใส่ริปลีย์ลงไปแล้วเอาเอเลี่ยนโผล่มาเยอะ ๆ แต่ก็หาเนื้อหาที่ไม่ถูกใจเสียที ท่ามกลางร้อนรนของกำหนดการฉายที่ถูกวางเอาไว้แล้ว แต่ความขัดแย้งระหว่างผู้กำกับคนก่อน ในเรื่องไอเดียสร้างสรรค์ทำให้ FOX ต้องดึงผู้กำกับใหม่มาทำงานแทนก่อนจะเปิดกล้องไม่กี่อาทิตย์ ซึ่งได้ตัวของ ดาวิด ฟิชเชอร์ ที่แจ้งเกิดจากหนังโฆษณาขายรองเท้าของไนกี้เข้ามากำกับหนังเรื่องนี้ให้ โดยที่ตัวผู้กำกับหน้าใหม่คนนี้จะพบว่า หนังเรื่องแรกที่เขาเข้ามากำกับเพราะรักในหนังภาคแรกได้กลายเป็นฝันร้ายที่เขาอยากลืมไปตลอดชีวิต ทั้งการแก้บทไปถ่ายทำไป หรือ กระทั่งไอเดียที่ไม่ลงรอยกับ FOX ในด้านการถ่ายทำ (ซึ่งเรารู้กันดีกว่า ฟิชเชอร์ถ่ายทำแต่ละฉากเกิน 10 เทคแทบทั้งนั้น) ทำให้เขาถูกไล่ออกจากโปรเจ็ทไปถึงสองครั้ง และ ถูกตามกลับมาทำหนังอีกแบบจำใจจนกระทั่งหนังเสร็จสิ้น แม้ว่า Alien3 จะทำเงินไปกว่า 159.8 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ว่าเป็นภาคที่แย่ที่สุด ขณะที่ฟิชเชอร์แสดงความเกลียดชังหนังเรื่องนี้ด้วยการไม่ยอมมามีส่วนร่วมใด ๆ กับหนังเรื่องนี้อีก แม้จะมีการทำ DVD ฉบับพิเศษออกมาในภายหลังก็ตาม ซึ่งฟิชเชอร์กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า
“ไม่มีใครเกลียดหนังเรื่องนี้เท่าผมหรอก”
James Cameron : Piranha Part Two: The Spawning : 1981
ก่อนจะกลายเป็นสุดยอดผู้กำกับของโลกที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเสมอมานั้น ตัวของเจมส์ คาเมร่อนในช่วงเริ่มแรกก็ไม่ได้ต่างกับผู้กำกับหลายคนที่ต้องดิ้นรนอย่างมากในวงการนี้ หลังทำงานเอฟเฟกซ์ให้กับโรเจอร์ คอร์แมน โปรดิวเซอร์หนังเกรดบีชื่อดังในหนังหลายเรื่อง เขาได้โอกาสจากนายทุนชาวดึงตัวเขาไปทำหนังภาคต่อของ Piranha ที่ โรเจอร์ คอร์แมนเคยอำนวยการสร้างมาก่อน เพียงแต่ภาคนี้นั้น Piranha จะบินได้ !! แน่นอนว่า คาเมร่อนซึ่งฝันอยากจะกำกับหนังอยู่แล้วก็ตกลงทำ แม้ว่า บทหนังที่ได้มาจะง่อยแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ตกลงด้วยความเชื่อมั่นว่า ตัวเองจะทำให้มันดีกว่านี้ได้ แต่ก็ต้องพบข่าวร้ายหลังกำกับหนังไปไก้ 5 วัน ว่า เขาโดนไล่ออกจากตำแหน่งผู้กำกับ เนื่องจาก เจ้าของหนังมองว่า เขาทำหนังออกมาไม่ดี (ซะงั้น) ด้วยความแค้น คาเมร่อนจึงเดินทางไปยังโรมเพื่อทำการตัดต่อหนังด้วยตัวเองที่ถ่ายทำเองด้วยความรู้สึกว่า ถ้าหนังจะเจ๊ง หรือ พังพินาศก็ปล่อยให้มันพังด้วยมือตัวเองดีกว่าให้นายทุนปูยี้ปูยำมัน
สุดท้าย Piranha 2 : The Spawning ก็ออกฉายอย่างเงียบ ๆ และล้มเหลวไปในที่สุด ทว่า ความล้มเหลวนี้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เจมส์ คาเมร่อนวางแผนสร้างหนังของตัวเองขึ้นมาว่าด้วย หุ่นยนต์เหล็กที่ย้อนเวลามาไล่ฆ่าหญิงที่จะให้กำเนิดผู้นำโลกที่จะต่อต้านพวกเครื่องจักรที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดในเวลาต่อมา
Gorge A Romero : Night Of Living Dead : 1968
แม้ว่าหนังซอมบี้กินมนุษย์เรื่องนี้ของจอร์จ เอ โรเมโร่ และ เพื่อน ๆ ชาว Image 10 ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาด้วยสมาชิกทั้ง 10 คน ที่หวังจะทำหนังฉายสักเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จมากด้วยทุนสร้างน้อยนิดก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาต้องช็อคก็คือ การที่หนังของพวกเขาตกเป็นของสาธารณะ เนื่องจาก ไม่มีเครื่องหมายยืนยันลิขสิทธิ์ซะงั้น !!
ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงนี้เกิดขึ้นจากก่อนจะฉายหนังเรื่องนี้ในชื่อ Night Of Living Dead นั้น หนังมันถูกใช้ชื่อว่า Night of the Flash eater มาก่อน แต่ถูกเปลี่ยนชื่อกลางคันโดยนายทุนที่นำไปฉาย เนื่องจากกลัวว่า หนังจะมีชื่อพ้องไปกับหนังเรื่อง Flash Eater ที่ฉายก่อนแล้วจะมีปัญหา แต่พวกเขาไม่ได้ใส่เครื่องหมายยืนยันสิทธิ (ตัว R ในวงกลม) ในหนังชื่อใหม่ส่งผลให้หนังไม่มีลิขสิทธิ์และตกเป็นของสาธารณะทันที ใครจะเอาไปสร้าง รีเมค หรือ ทำอะไรกับมันก็ได้ทั้งนั้นโดยที่ทางบริษัทของโรเมโร่ไม่ได้อะไรกับหนังเรื่องนี้เลยเป็นความผิดพลาดที่โรเมโร่เจ็บปวดจนถึงทุกวันนี้ เพราะ นับจากวันนั้นมามีหนังที่ใช้ว่า Night of Living Dead นับ 10 ๆ เรื่องที่มีตั้งแต่หนังภาคต่อที่โรเมโร่ไม่รู้เรื่อง หรือ กระทั่งหนังโป้เรต X ก็ตาม !!
Zack Snyder : Dawn of the dead : 2004
การประกาศว่า จะรีเมคหนังซอมบี้สุดคลาสสิคของแซ็ค ชไนเดอร์ ผู้กำกับหนังหน้าใหม่ที่สร้างชื่อจากโฆษณา และ เจมส์ กันส์ นักทำหนังอินดี้จอมห่ามที่จับมือกันรีเมคหนังคลาสสิคอย่าง Dawn of The Dead ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดอีกเรื่องของเขา ซึ่งว่าด้วย กลุ่มคนที่รอดชีวิตในวันที่ผีดิบลุกขึ้นมากินคนแล้วต้องมาหลบกันในห้างสรรพสินค้านั้น ทั้งสองคนก็พบว่า การทำหนังเรื่องนี้มันยากมากตรงที่มันมีแฟนคลับมากมายกว่าที่คิด และ หลายคนไม่พอใจมากที่พวกเขาพยายามจะรีเมคมันขึ้นมาจนถึงขั้นขู่ฆ่ากันเลย
โดยทั้งเจมส์ กันส์ และ ชไนเดอร์ต่างได้รับอีเมล์มากมายกว่าหลายร้อยฉบับที่มีใจความเขียนมาว่า อย่าได้ยุ่งกับหนังเรื่องนี้ในแบบภาษาละมุ่นละม่อม บางคนเขียนมาบรรยายถึงความรู้สึกที่ชอบหนังเรื่องนี้พรรณาหลายหน้ากระดาษอย่างยืดยาว แต่หนัก ๆ ถึงขั้นจะเอาปืนยิงกันส์และชไนเดอร์ให้ตายเลยด้วยซ้ำไป บางคนจะเอามีดเสียบพวกเขาก็มี ทำเอาสองนักทำหนังหน้าใหม่ตกใจด้วยความไม่คิดว่า หนังเรื่องนี้จะมีแฟนคลับเดนตายมากมายขนาดนี้และพวกเขาก็ตั้งใจจะทำมันให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกพวกแฟน ๆ ฆ่าตายภายหลัง (ฮา)
สุดท้ายหนังทุนสร้าง 28 ล้านทำเงินทั่วโลกไปกว่า 102.4 ล้านดอลลาร์ พร้อมคำวิจารณ์ที่ดีและปลุกกระแสหนังซอมบี้อีกระลอก รวมทั้งแจ้งเกิดสองหนุ่มให้กลายเป็นผู้กำกับซุปเปอร์ฮีโร่ชั้นนำของยุคในเวลาต่อมา
Kevin cosner : Dances With Wolves : 1990
แม้ว่า เควิน คอสเนอร์ เป็นดาราบล็อกบัสเตอร์ชั้นนำของฮอลลีวู้ดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคต้น 90 โดยเฉพาะบรรดาหนังดัง ๆ อย่าง Robin Hood หรือ The Bodyguard ที่ทำเงินมหาศาลไม่ใช่น้อย ๆ จนเป็นเบอร์หนึ่งของวงการในตอนนั้น แต่ทว่ากับการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่ เนื่องจากหนังอีพิคกว่าด้วย นายทหารอเมริกันที่เข้าไปช่วยเหลือและผูกมิตรกับอินเดียแดงในสงครามเรื่องนี้นั้นดูไม่น่าสนใจนัก แต่ที่หนักคือ นี่คือ งานที่คอสเนอร์พยายามอย่างมากที่จะผลักดันมันชนิดว่า เอาชีวิตการทำงานของตัวเองไปแขวนไว้ด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าจะเป็นใช้เวลาสร้าง 5 ปี งบของหนังที่วางเอาไว้ในตอนแรกไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์ทะลุไปถึง 22 ล้านดอลลาร์ ทำให้ตัวของคอสเนอร์ต้องเอาเงินส่วนตัวควักจ่ายเอง เนื่องจากว่า ค่ายหนังไม่ยอมจ่ายให้อีกแล้ว อีกทั้งนิสัยความเป้ะของคอสเนอร์ที่ทำทุกอย่างสมจริง ทั้งการถ่ายทำ เสื้อผ้า การรบ ฉากของหนังที่เรียกว่า อลังการงานสร้างราวกับของจริงนั้นกลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นของหนังอย่างมาก และ รวมทั้งการถ่ายทำนานนับปีอย่างทรหดจนหลายคนเชื่อว่ามันต้องล้มเหลวแน่นอน
ทว่า ทุกอย่างผิดถนัดเมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉายแล้วทำเงินไปได้ 424 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลกกลายเป็นหนังคาวบอยที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล แถมยังเกริกเกียรติเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ คว้ามาได้สำเร็จอีกต่างหาก ส่งให้ชื่อของเควิน คอสเนอร์ เป็นสุดยอดนักแสดงและผู้กำกับที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนั้นไปในทันที
เรียกว่า ความพยายามไม่เคยทำร้ายคนที่ตั้งใจจริง ๆ
Blade Trinity : David S. Goyer : 2004
“บ่อยครั้งคนเขียนบทเก่ง ๆ ก็เป็นผู้กำกับที่ดีไม่ได้” คำนี้เป็นคำพูดที่น่าสนใจเมื่อในวงการภาพยนตร์เราได้เห็นบรรดามือเขียนบทชั้นเทพที่อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของหนังมากมายก้าวขึ้นมากำกับหนังแล้วล้มเหลว ตัวอย่างที่น่าสนใจก็ได้แก่ มือเขียนผู้อยู่เบื้องหลังหนังฮีโร่สุดดาร์กอย่าง The Dark Knight ของคริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง เดวิด เอส โกเยอร์ ที่เคยอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฮีโร่นักล่าแวมไพร์ผิวสีอย่าง เบลด ที่เขาทำหน้าที่เขียนบทและวางโครงเรื่องมาตลอด และ ตัวหนังทำเงินไปได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลก จนมีภาคต่อมาจนถึงภาคที่ 3 แล้ว หายนะก็เริ่มขึ้นเมื่อผู้กำกับสองภาคแรกอย่าง สตีเฟ่น นอร์ริงตัน (Blade) และ กิเยอโม่ เดอเตลโร่ (Blade 2) ไม่ได้กลับมากำกับหนังภาคนี้แล้ว และ ตัวหนังมีคิวต้องเปิดกล้องทำให้สตูดิโอตัดสินใจผลักดันตัวของ เดวิด เอส โกเยอร์ ขึ้นมากำกับหนังเรื่องนี้เองเป็นเรื่องแรกในชีวิต
ทว่าการผลักดันโกเยอร์ขึ้นมานั้นทำให้นักแสดงนำในเรื่องนี้อย่าง เวสลีย์ สไนป์ไม่พอใจนัก เนื่องจากไม่เชื่อในมือของนักเขียนบทหนุ่มคนนี้ที่แม้จะเขียนบทมาทุกภาค แต่การฝากหนังเรื่องนี้เอาไว้กับเขาเป็นเรื่องที่เขาไม่เอาด้วย แต่ด้วยสัญญาที่เซ็นต์ไว้ทำให้เวสลีย์ต้องมารับบทเบลดอีกครั้งพร้อมกับค่าเหนื่อยที่แพงขึ้น แต่นั่นก็เป็นฝันร้ายของโกเยอร์ด้วย เมื่อทั้งคู่ทะเลาะกันหนักในเรื่องบทบาทและเรื่องราวของหนังจนแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อถ่ายทำนั้นตัวของโกเยอร์จะเขียนช็อตโน๊ตให้สไนป์แทน และ เป็นยังงี้จนเป็นสงครามในกอง แต่ที่ทำให้หลายคนต้องปวดหัวคือ หลายฉากในหนังเรื่องนี้ สไนป์ไม่ได้เข้าฉากเองแต่ให้สตันท์เข้าฉากแทนซะงั้น จนกระทั่งในที่สุด Blade ภาคนี้ก็ถ่ายทำเสร็จและกลายเป็นภาคที่ล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และตารางหนังทำเงินจนต้องปิดไตรภาคของหนังชุดนี้ไปในที่สุด
The Mummy : Alex Kurtzman : 2017
“นี่มัน มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ลภาคใหม่เหรอ ?” คำอุทานแรกของบรรดาแฟนหนังสยองขวัญที่เห็นตัวอย่างของหนังรีเมคจากหนังสยองขวัญคลาสสิคอย่าง The Mummy นำแสดงโดยตัวทอม ครูซ ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับหนังสายลับของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่เปลี่ยนองค์กรลับมาเป็นสาวมัมมี่ตัวร้ายแทน ความผิดพลาดนี้ต้องบอกเลยว่า เกิดขึ้นจากการขึ้นมากำกับหนังครั้งแรกของ มือเขียนบทชั้นเทพจาก Star Teak อย่าง อเล็กซ์ เคริ์ตแมน นั่นเอง
ลางร้ายของหนังเริ่มต้นเมื่อ ผู้กำกับคนแรกของหนังเรื่องนี้อย่าง เลซ ไวส์แมน เดินออกจากโปรเจ็ทเนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกับทีมสร้าง เช่นเดียว อังเดรส มุชเชตติ ที่ออกจากโปรเจ็ทไปทำ IT แทน ทำให้ค่ายตราลูกโลก อย่าง ยูนิเวลิ์ดแซล ผลักดันมือเขียนบทอย่าง เคริ์ตแมนขึ้นมาทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทำหนังเลย !! และนั่นทำให้เขาถูกนักแสดงนำอย่าง ทอม ครูซ เข้ามาครอบงำและจัดการทุกอย่างแทนหมด ทั้งการปรับบทหนังใหม่ให้เขาเด่นขึ้น และ เปลี่ยนหนังสยองขวัญไปเป็นหนังแอ็คชั่นระดับอีพิคราวกับเป็นอีธาน ฮันส์ ซะงั้น
ผลของมันคือ แม้ว่าหนังจะทำเงินไปพอสมควร แต่เสียงกร่นด่าของแฟน ๆ และนักวิจารณ์ก็สับซะยับจนจักรวาล Dark Universe ที่วางเอาไว้ต้องชะงักและรื้อใหม่หมด ส่วนตัวเคริ์ตแมนก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการคุมจักรวาลนี้เป็นที่เรียบร้อย
Stephan King : maximum overdrive : 1986
“แม้แต่คนเก่ง ๆ ก็ทำหนังแย่ ๆ ออกมาได้”
สตีเฟ่น คิง เอ่ยถึงตัวเองที่มีโอกาสได้กำกับหนังเป็นเรื่องแรกในชีวิตกับการหยิบเอาเรื่องสั้นของตัวอย่างที่มีชื่อว่า Truck ที่ว่าด้วยบรรดาเครื่องจักรกลที่นำโดยรถบรรทุกสุดยอดออกไล่ล่าบรรดาผู้คนอย่างสุดยอด ในชื่อเรื่อง Maxinum Overdrive
ทว่าการกำกับหนังเรื่องนี้ของคิงก็ไม่ต่างกับฝันร้ายที่เขาอยากจะลืม ๆ มันไปให้พ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุในกองถ่ายอันเกิดจากเครื่องตัดหญ้าบังคับวิทยุขัดข้องจนเศษไม้กระเด็นเข้าตาของผู้กำกับภาพเรื่องนี้จนตาบอดคากองถ่าย !! ทำให้เขาถูกฟ้องจากตากล้องคนนี้เป็นเงินกว่า 18 ล้านดอลลาร์ (ก่อนจะไกล่เกลี่ยได้) ไม่พอคิงยังพบว่า พวกเครื่องจักรในหนังเรื่องนี้เจ้าอารมณ์กว่าที่คิดจนควบคุมไม่ได้ ทั้งที่เขาคิดว่า ควบคุมพวกมันง่ายกว่านักแสดงด้วยซ้ำ ที่หนักไปกว่านั้นคือ เขาแทบไม่มีใครปรึกษาในหนังเรื่องนี้เลย เนื่องจากไม่มีกล้าขัดเขาส่งผลให้หนังออกมาเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ทุกที
สุดท้ายหนังถ่ายทำจนเสร็จโดยที่คิงจะปรากฏตัวในตัวอย่างของหนังแล้วชี้หน้าคนดูพร้อมบอกว่า “ผมจะทำให้พวกคุณกลัวจนขนหัวลุก” ซึ่งหนังออกฉายในช่วงปี 1986 ด้วยทุนสร้าง 10 ล้านดอลลาร์แต่ทำเงินไป 7 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงจนคิงยอมรับว่า หนังมันห่วยแตก ปัญญาอ่อน สุด ๆ จนไม่กลับมาทำหนังอีกเลย
Frank darabont : The Shawshank Redemption : 1994
หนังเรื่องแรกของนักเขียนบทมือฉมังที่กว่าจะได้สร้างต้องใช้เวลานานมาก โดยเขาใช้เงินหนึ่งดอลลาร์ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องสั้นว่าด้วย มิตรภาพในห้องขังของนักโทษสองคน จากนักเขียนขวัญใจของเขาอย่าง สตีเฟ่น คิง เขาวางแผนจะกำกับมันเอง เนื่องจากประทับใจในเรื่องนี้อย่างมากและอ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างขึ้นใจ ทว่าหลังจากเสนอโปรเจ็ทผ่านที่บริษัท Castle Rock ได้นั้น เขาต้องพบข่าวร้ายว่า นักแสดงนำหนังอย่าง ทอม ครูซ ต้องการให้เปลี่ยนจากเขาที่ไม่มีประสบการณ์ทำหนังมาเป็น ร๊อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับหนังเรื่อง Stand By Me แทน เนื่องจากไม่เชื่อมือของผู้กำกับหน้าใหม่อย่างเขา
โดย Castle Rock ก็กลัวว่า ครูซจะไม่ยอมเล่นจึงพยายามตะล่อมให้ดาราบ๊องต์ยอมรับเงินค่าบทหนังและถอนตัวจากการเป็นผู้กำกับไป ทำเอาเจ้าตัวถึงกับปวดใจ เนื่องจากกำลังถังแตกไม่มีเงินแม้กระทั่งจ่ายค่าเช่าบ้าน และ ข้อเสนอนี้ก็เย้ายวนเขามาก แต่เขาปฏิเสธไป แต่ทางบริษัทก็เสนอว่าจะให้ทุนเขาทำหนังเรื่องอื่น ๆ อีกหากยอมถอนตัวจากเก้าอี้ผู้กำกับเรื่องนี้ แต่สุดท้าย ลิซ กลอตเซอร์ โปรดิวเซอร์หญิงของหนังเรื่องนี้ที่มองเห็นว่า ดาราบ๊องต์จะบ้าตายอยู่แล้วนั้นก็เข้ามาต่อสู้เรื่องนี้จนดาราบ๊องต์กำกับหนังเรื่องนี้ต่อทำให้ทอม ครูซ ถอนตัวจากโปรเจ็ทนี้ไปในที่สุด
และกลายเป็นมอร์แกน ฟรีแมนที่เข้ามาแล้วเสนอตัวของทิม ร๊อบบินส์ให้มารับบท แอนดี้ ตัวเอกของเรื่องนี้แทน และ การมาของทิม ร๊อบบินส์ก็ทำให้หนังถ่ายทำได้สำเร็จ โดยดาราบ๊องต์บอกว่า เป็นช่วงเวลาที่กดดันมากที่สุดในชีวิต เนื่องจากกลัวจะทำพลาด แล้ว บริษัทเตะเขาออกจากหนังเรื่องนี้ได้ตลอดเวลาเพื่อให้ไรเนอร์มากำกับหนังเรื่องนี้แทน
สุดท้ายแล้วหนังก็ถ่ายทำจนเสร็จและออกฉายในปี 1994 ก่อนจะล้มเหลวคาบ็อกออฟฟิค แต่ต่อมามันกลับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย แม้จะได้แค่ชิง แต่หนังก็ถูกยกย่องว่าดีข้ามศตวรรษผ่านโฮมวีดีโอในที่สุด
จา พนม : องค์บาก 2-3 : 2008-2009
หลังแจ้งเกิดจากหนังองค์บาก และ ต้มยำกุ้งไปอย่างสง่างาม จา พนม ยีรัมน์ก็ขึ้นมาเป็นสตาร์ดังของวงการแอ็คชั่นในทันที แถมยังเป็นที่ต้องการตัวไปทั่วโลก ทว่าเขากลับยังคงปักหลักถ่ายทำหนังในประเทศไทยต่อ และได้แสดงฝีมือในการกำกับหนังภาคต่อนี้เองด้วยทุนสร้างกว่า 300 ล้านบาทด้วยเรื่องราวระดับอีพิคชนิดไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ทั้งงานสร้างใหญ่โตและฉากต่อสู้อันอลังการ แต่ตัวหนังกลับเต็มไปด้วยปัญหาอย่างมาก อาทิการใช้เวลาถ่ายทำนานกว่า 3 ปี แถมมีข่าวว่า ตัวของจา พนม ยังหายตัวไปจากกองถ่ายอีกด้วย !! นี่ยังไม่รวมทั้งการเปลี่ยนตัวนางเอกของเรื่องใหม่ ทำให้กองถ่ายช็อตไปนานกว่าจะกลับมาถ่ายทำได้สำเร็จในภายหลัง (โดยมีเอก เอี่ยมชื่น ฝ่ายศิลป์ชื่อดังมาร่วมกำกับอีกคน) ซึ่งหนังภาค 2 ประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่หลายคนบอกว่า คิวบู้ของหนังแปลกและมีความสากลเอามาก ๆ แต่ ภาค 3 กลับล้มเหลวอย่างรุนแรงในตารางหนังทำเงินจนเรียกว่า ล้มเหลวที่สุดในหนังชุดนี้
สุดท้ายแล้วนี่คือ หนังเรื่องสุดท้ายที่จา พนม กำกับไปในที่สุด
Rick Rosenthal : Halloween II : 1981
Halloween ภาคแรกทำเงินไปมหาศาลจากทุนสร้างเพียงน้อยนิดทำให้มีการสร้างภาคต่อขึ้นมา ทว่าตัวของจอห์น คาร์เพนเตอร์ ไม่คิดกำกับเอง แต่ผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์แทน และ เลือกตัวของ ริค โรเซนทัล ที่ทำแต่ซีรีย์ทีวีมากำกับภาคนี้ ทว่า ริคก็มีปัญหากับทิศทางของหนังพอสมควรเนื่องจากหนังฉบับแรกของเขาที่ถ่ายออกมานั้นค่อนข้างอืดและน่าเบื่อเกินไปจนทำให้จอห์น คาร์เพนเตอร์ต้องลงมากำกับหนังเรื่องนี้เอง และเพิ่มเติมหลายฉากเข้าไปทำให้หนังโหดขึ้น อำมหิตขึ้น และ น่ากลัวยิ่งกว่าฉบับเดิมเสียอีก สุดท้ายหนังได้เงินไป 25 ล้านจากทุนสร้าง 2.5 ล้านดอลลาร์พร้อมเสียงวิจารณ์ที่ดีไม่ใช่น้อย ซึ่งหลายคนไปชื่นชมตัวคาร์เพนเตอร์กันมากว่า แต่ตัวของริคนั้นก็ ส่วนริคนั้นกว่าจะได้กำกับหนังเรื่องนี้ก็ต้องรอไปจนถึงปี 2002 กับ Halloween: Resurrection ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของหนังชุดนี้ ก่อนจะถูกรีเมคใหม่โดย Rob Zombie
John R. Leonetti : Mortal Kombat 2 : 1997
หลายคนรู้จักเขาจากหนังผีตุ๊กตาอย่าง Annabelle ภาคแรก เช่นเดียวกับการผู้กำกับภาพของ เจมส์ วาน ในหนังเรื่อง The Conjuring , Insidious 1-2 ด้วย แต่หลายคนก็ไม่เคยรู้ว่า ผู้กำกับภาrคนนี้เคยมีประสบการณ์ในการกำกับหนังเรื่องแรกด้วยนั่นคือ ภาคต่อของหนังเกมชื่อดังอย่าง Mortal Kombat ที่หนังภาคแรกถูกยกย่องว่าดีที่สุดในบรรดาหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม และทำรายได้ไปกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ทำให้โครงการภาคต่อของหนังถูกทำขึ้นอย่างเร่งรีบเพื่อหวังโกยเงินของค่ายหนังและบริษัทเกมกลับกลายเป็นฝันร้ายของผู้กำกับคนนี้ไปในที่สุด
เริ่มจากคริสโตเฟอร์ แลมเบริ์ต นักแสดงใหญ่ของเรื่องนี้ถอนตัวออกไปหลังอ่านบท ตามด้วยนักแสดง ๆ อื่น ๆ หลายคนที่ต่างมองว่า บทโคตรห่วยจนต้องแคสนักแสดงใหม่มาแทน สำหรับบางคนก็ถูกด้วยการฆ่าทิ้ง !! หนังถูกถ่ายทำอย่างเร่งรีบ แม้ทุนสร้างจะเยอะกว่าภาคแรกแต่ก็ย่ำแย่ไปทุกส่วนจนนักแสดงอย่าง โรบิน ชู ต้องมากำกับคิวบู้เองหลายฉาก สุดท้ายหนังก็ออกฉายในปี 1998 พร้อมกับความล้มเหลวอย่างแสนสาหัสว่า เป็นหนังสุดห่วยที่ทำให้โครงการภาคสามของหนังไม่เกิดขึ้นนับจากบัดนั้น