Skip to main content

น่าดีใจที่สำนักพิมพ์ “นานมีบุ๊ค” พิมพ์วรรณกรรมเยาวชนออกมาอย่างต่อเนื่องโดยคัดกรองเอาจากการประกวดรางวัล “แว่นแก้ว” แม้ว่าวรรณกรรมที่ผ่านเข้ามาบางเรื่องอาจไม่อยู่ในระดับที่ดีนัก นอกจากจะเป็นการปลุกการอ่านและการเขียนวรรณกรรมเยาวชนให้กระเตื้องขึ้นบ้างแล้วยังถือเป็นการให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ ที่น่ารักน่าชังในอีกโสดหนึ่งด้วย


กระเบนยักษ์คู่อาฆาต” ผลงานของ “เพชร บุตรทองพูน” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านคัดกรองจากรางวัลวรรณกรรมเยาวชนพระราชทาน “แว่นแก้ว” ซึ่งยืนยงและหนักแน่นในการสร้างสรรค์วรรณกรรมเยาวชนมานานหลายปีจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นรางวัล “แว่นแก้ว” เป็นสถาบันทางวรรณกรรม ต่างจากรางวัลวรรณกรรมเฉพาะกิจอื่น ๆ วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “กระเบนยักษ์คู่อาฆาต” นี้ได้รับรางวัลชมเชย ประจำปี 2545


ตัวละครเอกของเรื่องอยู่ในวัยหนุ่มเต็มที่คือกำลังเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย อยู่ในช่วงที่อาจเรียกว่า “เยาวชนตอนปลาย” ซึ่งเป็นวัยที่กำลังค้นหาและเรียนรู้ความหมายและขอบเขตความเป็นไปได้ในด้านต่าง ๆ ของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” ด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเองขณะเดียวกันก็ศึกษาเอาจากคนรุ่นก่อน ๆ


วัยหนุ่มของ “เจตน์” ตัวละครเอกแห่ง “กระเบนยักษ์คู่อาฆาต” ผ่านประสบการณ์และความผิดหวังมาหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพลาดหวังในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแม้ว่าจะได้คะแนนดีตอนเรียนมัธยม ความใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลแต่ฝีเท้าไม่เป็นใจ หรือการที่ครอบครัวของเขาแตกแยกอันเป็นปมในใจที่ยากจะลบ


เจตน์ทดแทนสิ่งที่ “เสียไป” เหล่านี้ ด้วยการมุ่งแสวงหาคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่จากโลกที่ใหญ่กว่านั่นคือโลกธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่สวยงามและไม่แน่นอนผ่านกิจกรรมชีวิตที่เรียกว่า ตกปลาและล่าสัตว์


การเข้าป่าล่าสัตว์ ทำให้เขาพบประสบการณ์บางอย่างซึ่งช่วยให้เขาเห็นว่ากิจกรรมนี้ไม่เหมาะกับตัวเขา


การเตรียมพร้อมรอคอยการฆ่า ต่อมไร้ท่อบางตัวในร่างกายจะขับสารบางอย่างที่ทำให้ตื่นเต้น ก้าวร้าว หลุกหลิก ยากที่จะควบคุมสมาธิ ร้อนก็ร้อนเกินไป หนาวก็หนาวเกินไปจนแทบทนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งสำคัญก็คือต้องนั่งนิ่งเงียบ ต้องควบคุมสมาธิ” (หน้า 99)


เนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สำนึกในบัดนี้ว่าไม่ได้วิเศษวิโสอะไร มันมักขื่นคาว จนต้องเพิ่มปริมาณเครื่องแกงเพื่อหวังจะดับกลิ่น ครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มเคยแข็งใจดื่มเลือดค่างผสมเหล้าขาว เขาต้องแอบไปอาเจียนแทบตาย ไม่ใช่เพราะรสเลือด แต่เป็นเพราะเห็นค่างซึ่งถูกตัดหางเอาเลือดไปแล้วถูกถลกหนัง มันไม่ผิดอะไรกับเด็กทารกผอมขี้โรค เร้าความสังเวชจนสุดทน” (หน้า 100)


นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการล่าสัตว์ซึ่งไปด้วยกันไม่ได้กับลักษณะนิสัยของเขา ที่สุดแล้ว เขาจึงถอยห่างออกมา และหันมาเอาจริงเอาจังกับการตกปลา โดยค่อยสั่งสมประสบการณ์การตกปลาในถิ่นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ทะเลแถวเพชรบุรีมาจนถึงทะเลทางใต้


การตกปลา” ในโลกแห่งท้องทะเลสอนให้ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายกว่าในห้องเรียนอย่างเทียบกันไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นกฏแห่งธรรมชาติที่สัตว์ต่าง ๆ ต้องเอาตัวรอด ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างของตนเองขณะนั่งรอปลามากินเหยื่อ ฯลฯ


หลังจากตกปลาอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง “เจตน์” ก็ได้ค้นพบว่า “การตกปลา” นั้นเป็นมากกว่ากีฬาเพื่อความบันเทิงในยามว่างหรือเป็นเพียงเครื่องหย่อนใจในยามเคร่งเครียดจากชีวิตประจำวันและไม่ใช่การมุ่งแต่เอาชีวิตของปลาโดยไม่คำนึงถึงของหลักศีลธรรม เหล่านี้เป็นประสบการณ์ผิวเผินเท่านั้น


แต่ “การตกปลา” ในท้องทะเลเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่สอนบทเรียนให้เขาได้รู้จักคำว่า “มิตรภาพ” ซึ่งต้องคอยช่วยเหลือกันและกันในยามเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของคลื่นลมในท้องทะเลหรือเมื่อเผชิญกับปลากระเบนคู่อาฆาตตัวเมียขนาดใหญ่ที่บาดเจ็บ จนตรอก และต้องปกป้องลูกน้อยตามสัญชาตญาณ


นอกจากตกปลาแล้ว เจตน์ยังเพิ่มเนื้อหาชีวิตของตนเองด้วยการ “ดูนก” ตามคำเชิญชวนของอาจารย์ผู้ที่เขาเคารพ เขาเพลิดเพลินและรู้สึกสบายใจกับการดูนกเพราะมันเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องทำลายชีวิตสัตว์


ในบังไพรดูนก เด็กหนุ่มได้เห็นความน่ารัก ความสง่างามของสัตว์แต่ละชนิด มันปราดเปรียวมีชีวิตชีวาและมีอิสระ ต่างกับสภาพชีวิตในกรงขังอย่างสิ้นเชิง” (หน้า 96)


เจตน์เติบโตขึ้นอย่างมีพัฒนาการ เขาปรับรูปแบบกิจกรรมแห่งชีวิตให้กับเข้ากับทัศนคติที่เปลี่ยนไปตามวันวัยที่เพิ่มขึ้น เขาค่อยละจาก “การตกปลา” สู่กิจกรรมที่เขาเห็นว่าละเอียดอ่อนกว่ามีพิษภัยต่อสิ่งอื่นน้อยกว่านั่นคือ ”การดูนก”


กิจกรรมทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ทำให้เขาโตขึ้น เขาได้ข้อคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตมากมายซึ่งเขาทำให้มันแหลมคมยิ่งขึ้นด้วยการครุ่นคิด ปมในใจถูกชดเชยด้วยคุณค่าใหม่ ๆ ที่เขาเลือกสรรให้แก่ตนเอง


สารสาระของเรื่อง “กระเบนยักษ์คู่อาฆาตนี้” มุ่งสื่อสารกับคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน มากกว่าจะสื่อสารกับวัยเด็กหรือกับผู้ใหญ่ มีข้อมูลเกี่ยวกับการตกปลามากมายแบบคนที่คร่ำหวอดเกี่ยวกับการตกปลามาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภาพประกอบไม่ค่อยสวยงามนัก บางทีภาพเด็กดูเหมือนคนแก่ กระนั้นก็ตาม ขอให้กำลังใจแก่นักเขียนรางวัล “แว่นแก้ว” ในการสร้างสรรค์วรรณกรรมเยาวชนต่อไป.



บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…