Skip to main content

วรรณกรรมเยาวชนส่วนใหญ่ มักมุ่งเน้นให้เยาวชนขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน เรียนให้จบชั้นสูง ๆ เพื่อที่จะได้มีอาชีพการงานที่ดีในอนาคต หรืออดทนกัดฟันสู้ต่อความยากลำบาก ต่อความด้อยโอกาสกระทั่งเอาชนะได้ในที่สุด กล่าวอีกแบบก็คืออดทนทำดีเข้าไว้เพื่อตัวเองนั่นแหละที่จะได้ดี


หรือถ้าไม่เป็นไปตามลักษณะข้างต้น วรรณกรรมเยาวชนที่เขียน ๆ กันก็มักจะเน้นการใช้จินตนาการจนหลุดลอยจากโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนเชิงแฟนตาซีที่อะไร ๆ ก็ดูสวยงามไปหมด เหมือนเป็นการพาเยาวชนคนอ่านหลบหนีไปจากโลกจริงสู่โลกจินตนาการของภาษา


แต่วรรณกรรมเรื่อง “กะลาสีเรือผู้กล้าหาญ” ประพันธ์โดย “จังว่าง” ฝีมือการแปลของ “เหมยและพลับพลึง” และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ “เม็ดทราย” นั้นมีจุดมุ่งหมายต่างออกไปอย่างสำคัญ


นอกจากจะเป็นวรรณกรรมแปลจากจีนแล้ว ยังเป็นวรรณกรรม “จีนใหม่” (หมายถึงวรรณกรรมจีนภายหลังการปฏิวัติใหญ่ ปี 1949) กลิ่นอายของแนวความคิดแบบ “สังคมนิยม” ที่พาประเทศจีนสู่ความเปลี่ยนแปลงบรรจุอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้


ในวรรณกรรมเรื่องนี้ จะพบคติที่สอนให้รู้จักการอุทิศตนเพื่อคนอื่น การทำงานเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการใช้แรงงาน ไม่ดูถูกว่างานที่ทำอยู่เป็นงานต่ำต้อยเพราะว่าล้วนแล้วแต่ทำเพื่อส่วนรวม ในขณะเดียวก็สอนว่างานที่ใช้แรงงานนั้นดูเหมือนเป็นงานที่ง่ายแต่ที่จริงแล้วต้องใช้สติปัญญามากเหมือนกัน


คนเหล่านั้นล้วนแต่ไปทำงานเพื่อความผาสุกของคนนับพันนับหมื่น พวกเขาและสิ่งของที่เรือบรรทุกไป ล้วนแต่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ นี่ช่างสำคัญและมีความหมายเสียจริง ๆ


เมื่อก่อนนั้น เขาดูถูกงานของน้าชายว่าต่ำต้อย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว ทุ่นลอยง่าย ๆ ไม่กี่อันนี้ แท้ที่จริงได้แฝงไว้ซึ่งความหมายอันยิ่งใหญ่ ตะเกียงแดงดวงเล็ก ๆ ช่างมีความสำคัญต่อความผาสุกของมนุษย์มากมายเหลือเกิน” (หน้า 122)


ฉินเสี่ยวผิง” ตัวละครเอกเป็นเด็กชาย 12 ขวบ ที่แสนซน อวดเก่ง เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ ซึ่งต้องไปอยู่กับลุงในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนเพราะคุณแม่ของ “ฉินเสี่ยวผิง” เป็นพยาบาล ต้องถูกส่งออกไปตระเวณรักษาโรคระบาดตามที่ต่าง ๆ


อันที่จริง ตอนแรกแม่ต้องการส่ง “ฉินเสี่ยวผิง” พร้อมน้องสาวไปอยู่กับน้าสาว แต่น้าสาวซึ่งรู้จักกิตติศัพท์ของ “ฉินเสี่ยวผิง” เป็นอย่างดีบอกปฏิเสธ ด้วยว่านอกจากจะเกกมะเหรกเกเรแล้ว “ฉินเสี่ยวผิง” ยังมักหาเรื่องทำร้ายน้องสาวของตนเองอยู่เป็นประจำ เมื่อแม่ว่ากล่าวตักเตือน “ฉินเสี่ยวผิง” ก็แสดงอาการต่อต้านแบบต่าง ๆ ทั้งเถียงแม่อย่างไม่ลดละหรือทำเป็นไม่สนใจ จนกระทั่งแม่ต้องรำพึงว่า

อีกเมื่อไหร่ ลูกจึงจะเป็นคนรู้เรื่องราวเสียทีนะ เมื่อไหร่จึงจะเข้าใจจิตใจของแม่ที่มีต่อลูกนะ !”


ดังนั้นพี่น้องสองคนจึงถูกจับแยกกัน น้องสาวไปอยู่กับน้าสาว ส่วน “ฉินเสี่ยวผิง” ไปอยู่กับลุงที่ชนบทห่างไกล เขาไปหาลุงโดยเดินทางไปกับเรือกลไฟ ความประทับใจหลายสิ่งหลายอย่างบนเรือกลไฟทำให้เกิดความปรารถนาลึก ๆ ว่าต่อไปเขาจะเป็นกะลาสีเรือ


ที่บ้านลุง “ฉินเสี่ยวผิง” ได้รู้จักกับตงตง ลูกสาวของลุง และเพื่อนใหม่อีกหลายคน ตามนิสัยของเขาที่ไม่ยอมรับใครง่าย ๆ เขาจึงมักคิดอยู่เสมอว่าเขาเก่งกาจสามารถกว่าใครทั้งหมด และจะทนไม่ได้เมื่อเพื่อนใหม่ “รู้” ในสิ่งที่เขาไม่รู้


วัวน้อยและจูสุ่ยเล่อมักจะคุยโวโอ้อวดสิ่งที่ตัวเองรู้ต่อหน้าเขา เขารู้ว่าฉันไม่รู้สิ่งเหล่านั้นก็จงใจโอ้อวดว่าตนเองรู้ ฮึ่ม... ยังมีเรื่องอีกมากมายหรอกที่ฉันรู้มากกว่าพวกเขา” (หน้า 91)


ลุงของ “ฉินเสี่ยวผิง” มีหน้าที่จุดตะเกียงให้สัญญาณแก่เรือกลไฟเพื่อให้เรือกลไฟสามารถหลีเลี่ยงแอ่งน้ำวนและหินโสโครกในแม่น้ำใหญ่ซึ่งเป็นการงานที่ต้องทำอย่างตรงเวลาและซ้ำซากวันแล้ววันเล่า


แม้ว่า “ฉินเสี่ยวผิง” จะชื่นชมในตัวลุงแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าลุงของเขาน่าจะทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าการพายเรือออกไปจุดตะเกียง แต่ในเวลาต่อมาเขาได้พบความจริงว่าลุงของเขาเคยเป็นกะลาสีเรือกลไฟผู้ยิ่งใหญ่มาก่อน ลุงเคยสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้มากมายในอดีต ซึ่งยิ่งทำให้เขาเพิ่มความนับถือในตัวลุงเพิ่มมากขึ้น


ลุงค่อย ๆ สอนให้เขาเห็นคุณค่าของการทำงาน แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่มันก็มีความสำคัญ อย่างการพายเรือไปจุดตะเกียงให้สัญญาณกลางแม่น้ำนั้นก็ช่วยทำให้เรือเดินทางสามารถหลบเลี่ยงอันตรายจากสายน้ำเชี่ยวและไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยได้


ฉินเสี่ยวผิง” ภาคภูมิใจในตนเองและมีพัฒนาการขึ้นเมื่อเขาได้ช่วยเหลือลุงในการพายเรือฝ่าข้ามแม่น้ำเชี่ยวเพื่อไปจุดตะเกียงให้สัญญาณแก่เรือเดินทางที่กำลังจะมา


ในคืนที่พายุกระหน่ำและฝนตกหนัก ลุงเพียงคนเดียวไม่สามารถพายเรือไปจุดตะเกียงได้เพราะน้ำเชี่ยวกรากและลมพัดแรง ซ้ำลุงได้รับบาดเจ็บจากการโดนท่อนซุงกระแทก “ฉินเสี่ยวผิง” อาสาช่วยเหลือลุงอย่างสุดความสามารถจนกระทั่งพายเรือไปถึงโป๊ะและจุดตะเกียงให้สัญญาณแก่เรือกลไฟที่กำลังจะมาถึงได้


ลุงมอบเหรียญที่ตนเองเคยได้รับจากวีรกรรมความกล้าหาญของในอดีตซึ่งที่เหรียญเขียนว่า “กะลาสีเรือผู้กล้าหาญ” ให้แก่ผู้เป็นหลาน “ฉินเสี่ยวผิง” ปลาบปลื้มใจอย่างมาก เมื่อถึงเวลา เขากลับบ้านพร้อมกับทัศนะอย่างใหม่ต่อตนเอง ต่อแม่ กระทั่งต่อส่วนรวม.


บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…