Skip to main content









1.


ในชีวิตคนเรานั้นคงเคยตั้งคำถามที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

คำถามคลาสสิกหนึ่งนั้นคือ...“คนเราต้องการอะไรในชีวิต!?...”

คำตอบส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต

...อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค

หากปัจจุบัน ‘เงิน’ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของคนเรา

แน่นอน, เมื่อเอาเงินเป็นตัวกำหนดชะตากรรม,ชีวิต

จึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง

จนทำให้ชีวิตหลายชีวิตนั้นขวนขวายทำงานกันอย่างหน่วงหนัก

การงาน’ ได้กระชากลากเหวี่ยงเรากระเด็นกระดอนไปไกลและไกล

ให้ออกไปเดินบนถนนของความโลภ ไปสู่เมืองของความอยาก

ไปสู่กงล้อของการไขว่คว้าที่หมุนวนอยู่ไม่รู้จบ

หน้าที่ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความไม่รู้จักพอ เกาะกุม พอกพูนจนแน่นหนา

กระทั่งสถานที่ทำงานกลายเป็นที่กุมขังอันมืดทึบ กดทับจิตวิญญาณ

ยิ่งดิ้น ยิ่งควานหา ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งอับจน ไร้หนทางออก

กระนั้น ใครบางคนกลับตั้งคำถามเดิมๆ นี้ ย้ำๆ ซ้ำๆ ลงไปอีก

แท้จริงแล้วคนเราต้องการอะไรในชีวิต...”

หลายคนอาจสรุปรวบย่อคล้ายๆ กันว่าต้องการ ‘ความสุข’

แล้วความสุขนั้นเล่าเราค้นหาได้จากที่ใด!?

สิ่งไหนคือสุขจริง สิ่งไหนเป็นเพียงสุขมายาคติจอมปลอม

นั่นคือประเด็นที่แต่ละคนต้องเรียนรู้ ฝึกฝนและค้นหาด้วยตัวเอง










2.


หลังจากผมหวนกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด

ผมค้นพบปรัชญาของความสุขอย่างง่ายๆ ในสวนแห่งนี้

ที่สุดแล้ว, ชีวิตต้องกลับคืนสู่เส้นทางที่จากมา

ทุกสรรพสิ่งล้วนพึ่งพาเกื้อกูลกันและกัน

จริงๆ แล้วความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย

อยู่ในรอบๆ กาย อยู่ในข้างในตัวเรานั่นเอง

และแท้จริงแล้วชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย

ทำให้นึกถึงคำสอนพ่อของเพื่อนคนหนึ่งที่จากไป

นานหลายปีแล้ว หากถ้อยคำนั้นยังย้ำเตือน...


ชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมาก

มีกระท่อมไว้นอน มีขอนไม้ไว้หนุน

มีบุญไว้ทำ มีกรรมไว้แต่ง

เพียงเท่านั้น เพียงเท่านั้นจริงๆ

เราเป็นเพียงผู้อาศัย...อีกไม่นาน

อีกไม่นานเราทุกคนก็จากไป...”


จริงสิ, ถ้าคนเราคิดได้กันเช่นนี้

ความสุขคงอบอวลหวนหอมขจรขจาย

ไปทั่วทุกหนแห่ง, ชีวิต.




บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม