ในช่วงสองเดือน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เขาใช้เวลาเทียวขึ้นเทียวล่องระหว่างเมืองกับสวนในหุบเขาบ้านเกิด เพื่อวางแผนลงมือทำสวนผักหลังบ้าน
แน่นอน- -เพราะเขาบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่าหากคิดจะพามนุษย์เงินเดือน กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฐานที่มั่น และมีผักไม้ไซร้เครือเตรียมไว้ให้พร้อม ให้พออยู่พอกินเสียก่อน
ใช่ เขาหมายถึงการสร้างฐานความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวหลังบ้าน
หลายคนอาจบอกว่า งานทำสวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับงานสาขาอาชีพอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เขากลับมองว่า งานสวนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะออกดอกออกผล ให้เก็บเกี่ยวกินได้
เหมือนกับที่เขากำลังลงมือในขณะนี้ เนื่องจากในสวนยามนี้ พ่อวัยเจ็ดสิบกว่า ได้ขนเอาไก่มาเลี้ยงปล่อยไว้ในสวนหลายสิบตัว นั่นหมายถึงว่า เขาจำเป็นต้องขอแรงญาติๆ ช่วยกันทำรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบแปลงผักเป็นอันดับแรกก่อน ไม่งั้นพืชผักที่ปลูกคงถูกฝูงไก่คุ้ยเขี่ยจิกกินหมดเสียก่อนเป็นแน่...
ครั้นหันมาจ้องดูผืนดินที่ขึ้นแปลงเอาไว้ เขาก้มหยิบมาจับคลำๆ ดู แล้วรู้เลยว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่เหมาะกับการปลูกผักเอาเสียเลย เป็นดินดาน ดินแข็งปนเศษหินเต็มไปหมด หากนั่นไม่อาจทำให้เขาย่อท้อ แม้ว่าจะมีเสียงหัวเราะแบบไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจ แว่วดังมาจากข้างหลังว่า ดินแบบนี้ ปลูกอะไรไม่งามหรอก...เขาทำได้เพียงฝืนยิ้มและนิ่งเงียบ
จริงสิ, เขาครุ่นคิด...เมื่อราวร้อยปีที่ผ่านมา แผ่นดินแถบนี้ ยังเป็นดงป่าหนาทึบลึกเข้าไปในหุบเขา ว่ากันว่า ผืนป่าตรงนี้ มองไปทางไหนจะมองเห็นต้นสักทองมหึมา มหาศาล ต่อมา ถูกสัมปทานโดยบริษัทบอมเบย์ค้าไม้ เข้ามาตัดโค่น ใช้แรงช้าง แรงคนชักลากออกไปทุกวันๆ เรื่องราวผ่านคำบอกเล่าของพ่อ ทำให้เขามองเห็นภาพท่อนซุงสักทองลอยคอ ไหลไปตามลำน้ำปิง ลงไปในเมืองข้างล่าง ภาพนั้นเด่นชัด เหมือนกับว่า เขาเกิดทันหรืออยู่ในเหตุการณ์ยังไงยังงั้น...
กระทั่งเดี๋ยวนี้ แผ่นดินตรงนี้ กลายเป็นชุมชน กลายเป็นหมู่บ้าน และผืนดินผืนน้อยตรงหน้าที่เขากำลังทำแปลงผักอยู่นี้ เขาได้ซื้อต่อจากเพื่อนบ้านเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ในราคาไม่ราวสองหมื่นบาท จำได้ว่า ตอนนั้นเขายังมองเห็นตอสักขนาดใหญ่ที่ถูกตัดโค่นจนเหลือแต่ตอ ซ่อนซุกอยู่ในสวนลำไยที่มีไม่กี่ต้น ยืนต้นโงนเงน เหมือนคนแก่หมดแรง เพราะแล้งแห้งขาดน้ำ เขายังมองเห็นเจ้าของสวนเดิมเอาขวดใส่น้ำกลับหัว เอาปากขวดจ้ำลงในดินใต้โคนลำไย เป็นหลักฐานร่องรอยถึงความแล้งในอดีตให้ได้เห็น...
“มันจะปลูกผัก ปลูกอะหยังงามได้กา...มีแต่หิน ดินแข็งอย่างนี้...” เสียงพ่อยังคงพึมพำๆ ส่ายหน้า ไม่มั่นใจ ขณะช่วยเขาทำรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบแปลงผัก
...เขานั่งเก็บเศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยออกจากแปลง ก่อนตัดสินใจลงไปขนขี้วัวที่บ้านของพ่อ ชาวบ้านเอามาขายให้กระสอบละยี่สิบบาท นำมาคลุกเคล้าก้บดินปนหิน ขนเปลือกถั่วแป๋ที่กองอยู่เป็นกองๆ มาโรยบนแปลง แล้วปล่อยให้ดินมีโอกาสทำความรู้จักกับเปลือกถั่ว ขี้วัว ปล่อยให้ฝน แดด ลม เวลา เพาะบ่มเนื้อดินนั้นให้กลายเป็นเนื้อดินอุดมสมบูรณ์ในอีกไม่นาน
เขาเริ่มวาดหวังและคาดหวังเอาไว้ว่า...สักวันหนึ่ง แปลงผักสวนครัวหลังบ้านตรงนี้จะมีพืชผักพื้นบ้านหลากหลายให้เขาได้เก็บหน่วย เด็ดยอดมากินได้ทุกวัน ต่อไป เพียงแค่เปิดประตูหลังบ้านปีกไม้ออกไป ก็คือแหล่งอาหารอันอุดมที่จะทำให้ชีวิตเขาอยู่รอดได้ หลังจากที่เขาลาออกจากงานประจำ จากมนุษย์เงินเดือน มาเป็นคนสวน มาเป็นชาวบ้าน มาเป็นคนสามัญธรรมดาคนหนึ่งของหมู่บ้าน
เขายิ้มและครุ่นคิด...
บางทีนี่อาจคือบททดสอบอีกบทหนึ่งของชีวิต
ว่าด้วยการดำรงอยู่.
แปลงดินหลังผสมขี้วัวแล้ว
เจ้าลายเดินมาตรวจงาน
พ่อวัยเจ็ดสิบกว่า มาช่วยทำประตูรั้วแปลงผักให้