มีทั้งเมล็ดผักกาดดอยที่พ่อนำมาให้ เมล็ดฟักทองที่พี่สาวฝากมา นั่นเมล็ดแตงกวา เมล็ดหัวผักกาด ถั่วพุ่ม ผักบุ้ง บวบหอม ผักชี ฯลฯ เขาค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งหว่านทั้งหยอดไปทั่วแปลง เสร็จแล้วเดินไปหอบใบหญ้าแฝกที่ตัดกองไว้ตามคันขอบรอบบ้านปีกไม้มาปูบนแปลงผักแทนฟางข้าว ให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน
หลังจากนั้น เขามองไปรอบๆ แปลงริมรั้วยังมีพื้นที่ว่าง เขาเดินไปถอนกล้าตำลึง ผักปลัง ผักเชียงดา มะเขือ พริก อัญชัน ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา โหระพา สาระแหน่ ฯลฯ มาปลูกเสริม หยิบลูกมะเขือเครือ(ที่หลายคนเรียกกันว่าฟักแม้วหรือซาโยเต้) ลูกแก่จัดจนปริแตกงอกออกใบน้อยๆ มาวางบนเนื้อดินนุ่มริมรั้วแล้วกอบเอาดินมาพูนๆ สุมไว้พอให้รากหยั่งฝังดินไว้
ทุกอย่างดูเหมือนดำเนินไปอย่างเงียบๆ ช้าๆ
เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปล่อยให้ ลม แดด ฝน ฟ้า เวลา คอยเพาะบ่มชีวิต
การปลูกพืชปลูกผักแบบคละผสมผสานกันในแปลง สลับแปลงแบบนี้นั้น นอกจากจะทำให้เขาเก็บกินได้ง่ายและหลากหลายแล้ว ยังอาจช่วยทำให้แมลงกินผักเข้ามากัดกินได้น้อยลง กระนั้น เขาพยายามหาวิธีการป้องกันแมลงที่เป็นศัตรูกับพืช ด้วยการนำดอกดาวเรืองมาปลูกไว้กลางแปลง ไปขุดเอาตะไคร้หอมในสวนของหลานชายที่อยู่ไม่ไกลจากสวนของเขา มาปลูกเสริมล้อมรอบแปลงผักอีกทีหนึ่ง
ขณะลงมือทำสวน เขาจะบอกกับพ่ออยู่ย้ำๆ ว่านับแต่นี้ต่อไป สวนแห่งนี้จะงดใช้สารเคมี จะปลอดสารพิษ
(หลังจากต้องฝืนทนกินพืชผักตามร้านค้ามายาวนานและหวาดระแวง)
มาถึงตรงนี้ ได้ทำให้เขารู้ว่า...
ทุกอย่างที่อยู่ภายในสวนจึงดูสำคัญทั้งนั้น
ไม่ว่าผักไม้ใบหญ้า คน หรือมดแมลง
ทุกเช้า ทุกเย็น เขาชอบขลุกอยู่ในแปลงผักหลังบ้าน รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ที่ได้เห็นชีวิตน้อยๆ ในแปลงผักเคลื่อนไหว โน่น,แมงมุมชักใยเกาะตามใบถั่วคอยจับกินแมลง นั่น,ไส้เดือนตัวอวบอ้วนกำลังทำงานพรวนดินอยู่ไม่รู้จักเหน็ดหน่าย และเขามองเห็นพืชผักที่หว่านและหยอดเอาไว้ได้ผุดหน่อผลิงอกแตกใบออกมาให้เห็นอยู่ทุกวันๆ
กระทั่งมาถึงตอนนี้...ผักไม้ไซร้เครือในแปลงผักหลังบ้านเริ่มรกดกปกคลุมผืนแปลงไปทั่วอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผักบุ้งงามจนเลื้อยลามมาขวางทางเดิน ถั่วพุ่มออกฝักสดเต็มแปลง ผักกาดดอยรสชาติขมชูยอดอวบอิ่ม แล้วบวบหอม ฟักทอง แตงกวา มะเขือเครือ ต่างพากันทอดเลื้อยเกาะตามริมรอบขอบรั้ว เขาปล่อยให้ลูกเล็กๆ ของมันเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ บ้างนอนเรี่ยดิน บ้างขึ้นซ่อนบนตอไม้ บ้างชอบห้อยโหนเหมือนเด็กแสนซนยังไงยังงั้น
ทุกวันนี้ หลังจากที่เขาพาตัวเองกลับมาอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด เขาพยายามลดภาระค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด โดยเริ่มด้วยการลดการพึ่งพาอาหารจากข้างนอก กินง่ายอยู่ง่าย ด้วยการปลูกผักสวนครัวหลังบ้านเป็นอันดับแรก จริงสิ,การปลูกไว้กินเองแบบนี้ นอกจากช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ตั้งเยอะแล้ว แต่ที่เขาได้มากกว่านั้นก็คือ เขาได้ลดสารพิษในร่างกาย(ไม่ต้องกินผักสารพิษจากตลาดอีกต่อไป) แถมยังได้ลดสารพิษในหัวใจ ที่ได้เรียนรู้ตัวตน ได้ค้นหาความสุข อยู่กับความเรียบง่าย ปรับชีวิตให้สมดุลกับวิถีธรรมชาติและความเป็นไปในสวนแห่งนี้
บางครั้งเขาแอบยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อรู้ว่าในบางวันชีวิตเขาไม่ต้องพึ่งพาระบบทุนจากภายนอก ไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว...แต่เขาไม่รู้สึกเครียด หนำซ้ำยังกินอิ่มนอนอุ่น ไม่ต้องเดือดร้อนกังวลใจ
คงเหมือนกับที่มิ่งมิตรคนหนึ่งของเขาที่ทักทายมาจากแดนไกล...
"...อะไรก็ไม่สำคัญ...
เพียงรู้ว่าตัวเราเป็นใคร
ความสุขอยู่ตรงไหน"