อย่างไรก็ตามเถอะ...มาถึงตอนนี้ ผมกำลังพยายามฝึกใช้ชีวิต
ให้อยู่กับความฝันและความจริงไปพร้อมๆ กัน
ช่วงนี้ หลังพักจากงานสวน ผมจึงมีเวลาอยู่กับความเงียบลำพัง เพ่งมองภายในและสิ่งรายรอบมากยิ่งขี้น และผมเริ่มบันทึกบทกวีแคนโต้เหมือนสายน้ำ หลั่งไหล อย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ตามดวงตาที่เห็น ตามหัวใจได้สัมผัสต้อง
บ่อยครั้งมันมากระทบทันใด ไม่รู้ตัว จนบางครั้งยังนึกงุนงง และตื่นใจกับการเดินทางของความรู้สึก การเดินทางของถ้อยคำ...
นับแต่นี้ไป ผมจะทำสวนและเขียนบทกวี...ผมบอกย้ำกับตัวเอง
(๑)
เช้านี้หมอกขาวห่มคลุมยอดดอยผาแดง
หลังฝนโปรยมาใกล้แจ้ง สงสัยคือฝนสั่งลา
ก่อนหนาวฤดูจะเดินทางมาพำนักอยู่ยาวนานและทารุณ
(๒)
เชียงดาวเริ่มกลายเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง
รอให้อากาศหนาวยะเยือก เราจะช่วยกันก่อกองไฟ
เผาข้าวหลาม หมกมันคลุกเถ้าบิแบ่งกันกิน
(๓)
ทุกอย่างที่นี่ดำเนินไปอย่างเงียบๆ ช้าๆ
เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากหัวใจยังคงเต้นไหวไปตามจังหวะชีวิต
(๔)
ในหุบเขาของความเรียบง่าย
ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย
ทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
(๕)
ฝูงมดดำขนเม็ดข้าวเปลือก
นกเขาป่าขันคูเกาะกิ่งไผ่หน้าบ้าน
คนเขียนหนังสือพาชีวิตน้อยๆ เคลื่อนไหวในสวนอักษร
(๖)
เปิดดูหนัง Out Of Afaika พบภาพถ้อยคำสะกิดใจ
...อะไรบ้างที่เป็นของเธอ เราไม่ใช่เจ้าของเธอ
เราเพียงแค่แวะเวียนผ่านมาเท่านั้น
(๗)
จ้องมองดูสิ ในหุบเขานี้มีดอกไม้
มีสายหมอก สายแดดห่อห่ม
มีลมหายใจ มีชีวิต
(๘)
กรรม ธรรม ธรรมชาติ
ข้าสัมผัสและมองเห็น
สามสิ่งนี้ต่างหนุนเกื้อกันและกัน
(๙)
บนทางผ่าน
ข้ามองเห็นผู้คนเดินเพ่นพ่าน
ลมหายใจที่ไม่มีจิตวิญญาณ
(๑๐)
ในขณะหลายคนกำลังไขว่คว้าเกาะกุม
แต่มีบางคนพยายามสละบางสิ่ง ละทิ้งบางอย่าง
พันธนาการ.