Skip to main content










  


(๒๙)

ช่างอัศจรรย์!!

วันนี้ข้ามีชีวิตอยู่บนโลก

14,070 วันแล้ว

 

(๓๐)

โลกในหุบเขา

นั้นต่างกันลิบลับ

กับโลกในเมืองใหญ่

 

(๓๑)

นั่นป่าผลัดใบ

หรือ

คนผลัดใจ

 

(๓๒)

ทันใดนั้นข้านึกถึงลูกชายกวี

เอ่ยคำกวีออกมา

น่าสงสารผู้ใหญ่ไม่เคยกอดต้นไม้

 

(๓๓)
อีกเช้า
ที่ข้าตื่นก่อนตะวัน
แต่ยังไม่ทันนกเขาป่ากับไก่บ้านอยู่ดี


(๓๔)

ตะวันเดินทางข้ามยอดเขาผาแดง

ข้านั่งรออยู่หน้าระเบียงไม้ไผ่

จิบกาแฟผสมน้ำผึ้งป่าที่ข้าคุ้นเคย

 

(๓๕)

บ่ายนี้ ข้าจ้องมองชีวิตน้อยๆ ของลูกเจี๊ยบ

ค่อยๆ ผลิแตกออกจากเปลือกอันบอบบาง

ออกมาเผชิญกับโลกอันกว้างใหญ่

 

(๓๖)

เสียงร้องลูกเจี๊ยบดังอยู่ใต้ถุนบ้าน

ในวันที่หนาวยะเยียบตลอดทั้งวัน,ชีวิต

ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นหนาวทารุณคืนนี้ได้ไหมหนอ

 

(๓๗)

ข้าภาวนา

ด้วยสองปีกอบอุ่นของแม่เจ้า

คงช่วยพอบรรเทาคลายหนาวได้

 

(๓๘)

ข้ามองเห็นความจริงหน้าบ้าน

ลั่นทมผลิ บาน หอม เหี่ยว ร่วงอยู่อย่างนั้น
ช่างแสนสั้นและบอบบาง


(๓๙)
ฟังสิ,หุบเขาละเมอ
กู่เพรียกหาเธอ
อยู่ค่ำเช้า

 

(๔๐)

เมื่อคืนข้าฝันเห็น

เธอ

หญิงสาวของอดีตมาหา

 

(๔๑)

คำกวีของเธอ

งดงาม

เหมือนดอกไม้ในหน้าหนาว

 

(๔๒)

เช้านี้ข้านับลูกไก่ในฝูง

เหลือเพียง

สิบตัว

 

(๔๓)

ลูกไก่หายไปสองตัว

ใครพรากชีวิตมันไป

ข้าตะโกนถามความว่างเปล่า

 

(๔๔)

ลมหนาว หมาขโมย หรือเหยี่ยวภูเขา

คือตัวการทำให้ลูกไก่หายไป

ไม่รู้ ข้าเพียงแต่คาดเดา

 

(๔๕)
ช่างอบอุ่นและบริสุทธิ์อย่างประหลาด
ภาพเด็กน้อยดูดนม

ชายชรา


(๔๖)
อร่อยหรืออิ่มไม่รู้
อยู่ในใจ
ของเด็กน้อย

 

(๔๗)

ข้ากลับมาอยู่ในสวนของความจริง

โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้ง

ความฝัน

 

(๔๘)

ในชีวิตใครบางคน
ยอมสละบางสิ่ง
ละทิ้งบางอย่าง


(๔๙)

ขณะหลายคน
ยอมสละบางสิ่ง
แต่ยังประวิงบางอย่างเอาไว้


(๕๐)

ใช่หรือไม่ชีวิตเกือบค่อนโลก
ยังคงดิ่งอยู่ในห้วงทุกข์
จมอยู่กับห้วงความสับสนลังเล

(๕๑)

ดีใจ

ที่ข้าหาทาง

กลับบ้านเจอ

 

หมายเหตุ : ภาพที่ 4 ฝีมือของ ‘กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์'

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม