Skip to main content
 


            
            (๑)

 

หอมกลิ่นภูเขา

ล่องลอยโชยมาในห้วงยามเย็น

ฉันยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน

ปล่อยให้สายแดดสีทองส่องสาดกาย

มองไปเบื้องล่าง- -

ท้องทุ่งแห่งชีวิตยังเคลื่อนไหวไปมา ไม่หยุดนิ่ง

ในความหม่นมัว ในความบดเบลอ

ฉันมองเห็นภาพซ้อนแจ่มชัด แล้วเลือนราง

ฉันมองเห็นภาพเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงนั้น,

นั่นพ่อหาบคอนตะกร้าไต่ตามคันนา

แม่ก้มก้มเงยเงยปลูกข้าวกล้า

จ้ำลงไปในเนื้อดินนุ่มชุ่มน้ำ

ฉันยินเสียงเพลงชีวิตธรรมดา สามัญ

ขับกล่อมขับขานอยู่ข้างใน

 

(๒)

 

นานวัน ผ่าน เดือน ปี

วัยเยาว์ถูกพรากจาก

ความอ่อนโยนถูกฉีกเป็นรอยริ้ว

กลับกลายกล้ากร้าน

หลายดวงใจนั้นไกลห่างจากกัน

หลายสิ่งหลายอย่างกระชากครอบครัว

ให้แตกแยกแหว่งวิ่น,วิถี

เงิน เกียรติ อำนาจ ตำแหน่ง การงาน ความไม่รู้จักพอ

กลั่นเป็นหมู่เมฆดำทะมึนมัวมน

ก่อเป็นพายุของความคลั่งบ้า พัดโหมร่างปลิวควะคว้าง

บัดนี้,ฉันมองเห็นตัวเอง,เป็น

เพียงเศษซากชะตากรรม

 

(๓)

 

ยังจดจำในห้วงอดีต

พัดกรายคืนหวนมาสู่ความรู้สึกของชีวิต

ฉันได้ความหวานจากแม่

ฉันได้ความเข้มแข็งจากพ่อ

ดอกไม้หอมอวลอยู่ในสวนหน้าบ้าน

 

(๔)

 

อา...นั่นเป็นเพียงภาพผ่าน

มันแปลกเปลี่ยนไปนานแล้วพ่อ

ความสุขเรียบง่ายหายไปนานแล้วแม่

ห้วงยามนี้จึงมีแต่ความแปลกปลอมเคลื่อนไหลเข้ามา

สู่ชีวิต วิถีผู้คน ที่นี่...

เหมือนมีมือยักษ์มือมารกระชากความเป็นตัวตน

ให้สั่นคลอน สั่นไหว ยากเกินจักต้านทานมันได้

ชนบทถูกกลืนกินไปเกือบหมดแล้ว!!

 

(๕)

 

ในความสับสน

ในความเวิ้งว้าง,ชีวิต

ฉันกำลังมองภาพซ้อน

แจ่มชัดแล้วเลือนราง

อยู่บนเนินเขาของความเงียบ

อยู่ในสุสานความทรงจำ

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม