Skip to main content

ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า
ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน
มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม
มีฟืนใกล้เตาไฟ
แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม
ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด
ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ
เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก.

‘เรียวกัน’

 

1

ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน
เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุด

มาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า ต่อไปต้องพยายามลดภาระบางสิ่ง ทิ้งความฟุ่มเฟือยบางอย่างให้มากที่สุด

เช้านี้ก็เช่นกัน, หลังตื่นนอน ผมเดินไปในสวน เก็บกิ่งลำไยแห้งที่ถูกลิดทิ้งกองไว้ใต้ต้น มาทำเป็นฟืนก่อไฟในเตาหลังบ้าน หุงข้าว เดินไปเก็บยอดตำลึงริมรั้ว เก็บฝักถั่ว บิดขั้วลูกฟักทองหนุ่มมาผ่าซีก หั่นเป็นท่อน โยนลงหม้อตั้งไฟกำลังเดือดพล่าน ใส่เกลือ เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อเช้าแล้ว

ในความเรียบง่าย ผมมองเห็นความงาม
และในความงามนั้นผมมองเห็นดอกผล

2

3

4

5

สวนของผมในเดือนพฤศจิกายน ผักผลไม้กำลังผลิบานเริงร่าราวกับว่ากำลังแข่งกันประชันโฉม มะเฟืองออกดอกสีชมพูอมขาว พร้อมลูกเล็กๆ ดกพราวไปทั่วกิ่งก้าน ฟักทองลูกยักษ์นอนนิ่งสงบอยู่ใกล้ต้นขนุน มะละกอลูกใหญ่ยาวกำลังแก่งอมคาต้น และทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ดอกถั่วแป๋เหลืองนวลผลิบานสะพรั่งอวดสีสันกันเต็มไปหมด ส่วนใบสดเขียวก็ลามเลื้อยพันเป็นเถาเครือขึ้นคลุมสวน คลุมดิน คลุมหญ้าในขณะที่ฝักอ่อนกำลังยืดตัวชูแถวอยู่อย่างนั้น

ใช่, อีกไม่นาน ถั่วแป๋ก็จะกลายฝักแก่ ผมนึกถึงภาพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เดินก้มเก็บมาพอกำมือใช้ตอกมัดเป็นกำๆ ต้มหรือนึ่งกินเป็นของว่างในคืนหนาว ครั้นรออีกเดือนสองเดือนฝักถั่วก็คงแก่แห้ง ชาวลาหู่ที่มาขออาศัยพื้นที่สวนของผมปลูก ก็คงจะมาเก็บ นวด ตี เป็นเมล็ด เทใส่กระสอบไปขายให้พ่อค้าที่มารับซื้อถึงหมู่บ้าน ส่วนผมก็ได้เปลือก ต้นถั่วที่กลายเป็นปุ๋ยให้ดินในสวน คืนความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ผมยังคงมองเห็นวิถีความเบิกบานไปทั่วสวน
นั่น,เล้าหมูที่ก่อนเคยตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านปีกไม้หายไป กลายเป็นเล้าไก่แทน พ่อของผมในวัยเจ็ดสิบกว่ายังคงมีความสุข อยู่กับความเรียบง่าย ขุดหลุม ลงเสา ทำเล้าไก่เอง พ่อกำลังเลี้ยงไก่แจ้ ไก่พื้นเมืองที่กำลังออกลูกกว่าสามสิบตัว

6

7

8

9

และทุกเช้าตรู่,ผมยินเสียงไก่ขันเหมือนต้องการปลุกสรรพชีวิตและโลกให้ตื่นฟื้น พอตะวันไล่หมอกจางหายไปแล้ว เจ้าเหมียวกับลูกแมวสี่ตัวที่ผมพามันย้ายจากเมืองมาอยู่ในบ้านสวน ต่างก็พากันออกมานอนอาบแดด บ้างปีนต้นไม้ ไต่หลังคากันอย่างสนุกสนาน ผมจ้องดูครอบครัวของเจ้าแมวเหมียวแล้ว รู้ได้เลยว่า พวกมันสนุกและชอบพื้นที่ตรงนี้มากกว่า เพราะเห็นนอนเกลือกกลิ้ง วิ่ง กระโจนขึ้นต้นไม้ ไต่หลังคา ซุกหมอบซ่อนในดงถั่ว ขี้ถ่ายและกลบในกองทรายหลังบ้าน

“บางที ไม่ว่าสัตว์หรือคนเราล้วนก็ต่างอยากมีพื้นที่ของตัวเอง อยากมีชีวิตที่เรียบง่ายและอิสระเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าใครและใครจะมองเห็นและค้นพบก่อนใครเท่านั้น...” ผมบอกกับตัวเอง

ครั้นทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ชาวนาชาวสวนกำลังทยอยกันไต่ไปตามคันนาริมลำเหมือง ไปสู่ท้องทุ่งที่แสงแดดส่องเป็นสีเหลืองทองดูงดงาม เป็นการเริ่มต้นการงานของวันใหม่

ในสวนบนเนินเขาของผมยังคงปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ยังคงเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เหมือนกับที่ใครคนหนึ่งบอกไว้ว่า...งานทำสวนไม่เคยจบสิ้น มีแต่เริ่มขึ้นและต่อเนื่องไปปีแล้วปีเล่า...

มาถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่ามีใครคิดและรู้สึกเหมือนกับผมบ้างมั้ย ว่า ‘สวนทำให้ชีวิตคนเราเปลี่ยนได้’ เหมือนกับที่ใครหลายคนบอกไว้ ในนิตยสาร Home and Décor นานมาแล้ว...

ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน บอกว่า ‘สวน สามารถเยียวยาความเจ็บปวดใดๆ ให้ฉันได้เสมอ’
Mushih-ud-Din บอกว่า ‘สวนให้ความสดใสกับดวงตา และให้ความเบิกบานกับจิตวิญญาณ’

ผมเห็นด้วยกับแนวคิดเหล่านี้.

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม