Skip to main content











 

 
(๑๙๒)
ขอบคุณโลกใบนี้
ทำให้ข้าพานพบผู้คน สรรพสัตว์ สรรพสิ่ง
ที่อ่อนโยนและเป็นมิตรเกื้อกูลกันและกัน
 
(๑๙๓)
ข้าน้อมรับกับบางสิ่ง
และพร้อมเผชิญโดดเดี่ยวลำพัง
ในนามของชะตากรรม
 
(๑๙๔)
นั่นข้ามองเห็น
ฝูงชนรอบข้าง
ล้วนพากันยิ้ม หัวเราะ ร่ำไห้ในคราเดียวกัน
 
(๑๙๕)
หรือว่าชีวิตเรา
ล้วนมีหน้ากาก
ซ่อนไว้ข้างในกันทุกคน
 
(๑๙๖)
หากข้า
ไม่
ยอมจำนน
 
(๑๙๗)
ในคืนอันสับสนข้าฝัน
ข้าพุ่งกระโจนเข้าไปหาอุโมงค์ของความตาย!
แล้วหลุดออกมาพบกับชีวิตใหม่
 
(๑๙๘)
ข้าบอกเธอหากคิดจะรัก
อย่าเพิ่งคิดถึง
การจากพรากและความตาย!
 
(๑๙๙)
เถิดคนดี,อย่าเพิ่งเศร้าและร้องไห้
ให้ข้าเดินจากไปก่อน
ค่อยพรั่งพรู
 
(๒๐๐) 
เย็นย่ำนี้ข้ามองเห็น
ผีเสื้อกับแมลงปอ
บินว่อนในสวนของข้า
 
(๒๐๑) 
ในวันฝนโปรยข้าหันไปมองใบหน้าของแม่
ในกรอบรูปมัวมนบนตู้หนังสือใบเก่า
ดวงตาคู่นั้นช่างงามอ่อนโยนและเศร้า
 
(๒๐๒)
ข้ารู้แม่จากไป
ไกล
และนานแล้ว
 
(๒๐๓)
หากข้ารู้ว่าแม่มอบบางอย่างไว้ให้
ความรัก ความแกร่ง
และเติมความอ่อนโยนให้ตัวข้า
 
(๒๐๔)
ทำให้ข้ารำลึกถึงภาพเก่าๆในวัยเด็ก
รอยแผลเป็นบนศีรษะจากการเล่นโยนก้อนหิน
และนิ้วโป้งข้างซ้ายฉีกเป็นรอยแหว่งด้วยคมขวาน
 
(๒๐๕)
ข้าร่ำไห้และปวดเจ็บ
หากยังจำมือนั้นเข้ามาปลอบโยน
อุ่นสัมผัสแลนุ่มนวล
 
(๒๐๖)
เพื่อนคนหนึ่งบอกข้าว่าชีวิตคนเรามีอยู่สองอย่างคือโอกาสกับอากาศ
หากเป็นเช่นนั้นเราจะเลือกไขว่คว้าหาโอกาส
หรือเราจะปล่อยให้ลอยไปตามอากาศ!?
 
(๒๐๗)
และแล้วถ้อยคำก็กลายเป็นดวงดอกไม้
ดอกไม้เบ่งบาน บทเพลงก็ขับขาน
บนชั้นฟ้า
 
(๒๐๘)
ข้ามองเห็นประกายไฟในดวงตาเธอ
ประกายหวัง
และศรัทธา

(๒๐๙)
ข้ามองเห็นประกายแห่งรักในถ้อยคำเธอ
แม้บางน้ำเสียงนั้นดูอ่อนล้า
หากยังอุ่นเอื้อให้กำลังใจตนเองและผู้อื่น

(๒๑๐)
และเธอทำให้ข้ารู้ว่า
ชีวิตไม่ใช่เพียงแค่ร่างกาย
แต่ชีวิตหมายถึงจิตวิญญาณ

(๒๑๑)
ข้าเชื่อหากหัวใจและจิตวิญญาณ
บริสุทธิ์ เข้มแข็งและกล้าหาญ
ที่สุดเราสามารถเผชิญกับมันได้อย่างมิย่นระย่อ

(๒๑๒)
เถิด,ทุกข์จงถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตเธอและข้า
เพื่อเติมบางสิ่งที่เปราะบาง เติมบางอย่างที่กร่อนหาย
กลายเป็นพลังใหม่ในการเผชิญสู้อีกครั้ง

(๒๑๓)
ข้าบอกกับตัวเอง
หากอยากรู้จักชีวิตตัวเองดียิ่งขึ้น
จงพยายามข้ามพ้นอำนาจและความขลาดกลัว
 
(๒๑๔)
ใช่หรือไม่ว่ามนุษย์ที่ยังไม่หลุดพ้น
คือผู้ที่ยังหลงวนอยู่ในอำนาจ
และตกอยู่ในความหวาดกลัว
 
(๒๑๕)
ข้าชื่นชมโลกนี้อยู่ทุกเมื่อ ยังปาดเหงื่อยิ้มรับไม่หวั่นไหว
เพียงแค่คิดชีวิตนี้-ช่างอัศจรรย์ใจ
ข้าแทรกตนอยู่ได้ยังไงในเศษเสี้ยวจักรวาล!

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม