ดาระอั้ง...เผ่าพันธุ์ผู้ระเหเร่ร่อน

30 December, 2009 - 00:00 -- ongart

 
\<\/--break--\>


 

ผมไม่รู้ว่าในชีวิตของคนเรานั้นต้องเดินทางไกลและใช้เวลานานเพียงใด ถึงจะค้นพบดินแดนสงบและสันติสุข แต่ผมพอรู้ว่ามีพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง'หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ปะหล่อง' นั้นต้องระเหเร่ร่อนเดินทางมาไกลและยาวนาน กว่าจะค้นหาดินแดนนั้นพบ 

สัปดาห์ก่อนผมได้ไปเยือนชุมชนดาระอั้งบ้านปางแดง ในเขตพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ค่ำคืนนั้นมีการแสดงวัฒนธรรมบนลานดิน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ต่างสนุกสนาน  พากันร้องเพลง เต้นรำ ก่อกองไฟเผาข้าวหลาม ผิงข้าวจี่กันท่ามกลางลมหนาว นานๆ ผมจะมีโอกาสเห็นความสุขของพี่น้องดาระอั้ง อบอวลหอมกรุ่นอย่างนี้ หลังจากก่อนหน้านั้น ชาวบ้านกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างจำยอมและจำนนมาโดยตลอด ในงานบุญงานรื่นเริงนั้น ผมยินเสียงเพลงภาษาดาระอั้งในท่วงทำนองเศร้าสร้อย ชาวบ้านบอกว่าเนื้อหานั้นพร่ำพรรณนาบอกเล่าถึงวิถีชีวิตทุกข์ยากลำบากและการเดินทางมาไกลแสนไกล ในห้วงนั้น ผมมองเห็นแววตาคู่หนึ่งของผู้เฒ่าสะท้อนกับแสงไฟฟืน เป็นแววตาที่ดูแล้วเหมือนฉาบความเศร้าเอาไว้ข้างในยังไงยังงั้น

ในงานวิจัยเรื่อง กลยุทธ์ในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนตั้งถิ่นฐานใหม่ ท่ามกลางบริบทของการปิดล้อมพื้นที่ป่า ของ สกุณี ณัฐพูลวัฒน์' ได้ศึกษาเรื่องราวของชนเผ่าดาระอั้ง หรือปะหล่อง ไว้อย่างน่าสนใจว่า ในงานศึกษาเรื่อง Shans at Home ของ Lesline milne ในปี 1910 บอกว่า ชนเผ่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนรักสงบ และพยายามหลบหนีภัยจากปัญหาสงครามอยู่เสมอ แน่นอน เมื่อเอ่ยชื่อดาระอั้ง หรือปะหล่อง เราจึงมักเห็นภาพของการตกเป็นเหยื่อในภาวะสงครามเสียมากกว่า และเป็นฝ่ายที่ต้องหลบเลี่ยงหนีการรุกรานของชนเผ่าอื่นอยู่เรื่อยมา

ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของลุงคำ จองตาน ผู้เฒ่าดาระอั้งบ้านปางแดงใน เคยพูดคุยกับผมไว้
"พวกเราดาระอั้งไม่เคยสู้กับใคร มีแต่หลบหนีอย่างเดียว เราไม่ชอบการต่อสู้ ไม่ชอบความรุนแรง"

นอกจากนั้น ยังมีงานศึกษาที่เก่าแก่ชิ้นหนึ่งในพม่า ซึ่งได้บันทึกไว้ใน  "Gazetteer of Upper Burma and the shan states" ตั้งแต่ปี คศ.1900 โดยได้เขียนถึงตำนานการเกิดของชนเผ่าดาระอั้ง หรือ ปะหล่องเอาไว้ว่า เป็นลูกหลานของกษัตริย์พระอาทิตย์ เลือกที่จะอยู่บนที่สูง บริเวณทางตอนเหนือของรัฐฉาน ประเทศพม่า และถือว่าเป็นกลุ่มคนนักเดินทางชั้นเยี่ยม ซึ่งต่อมา ลูกหลานได้เติบโตย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นในทางตอนใต้ของรัฐฉาน แถบเมืองเชียงตุง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนไทยใหญ่ในรัฐฉาน กระทั่งเดินทางข้ามน้ำข้ามเขามาอยู่ในพื้นที่ทางเหนือของไทย มีรายงานว่า ปัจจุบัน มีจำนวนประชากรชาวดาระอั้ง หรือชาวปะหล่องที่อาศัยอยู่ในไทย ทั้งหมดราว 5,000-7,000 คน

หากใครมีโอกาสผ่านมาทางเขตอำเภอแม่อาย ฝาง และเชียงดาว ก็จะเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวด้วยสีสันแปลกใหม่ ผู้ชายนุ่งกางเกงคล้ายทรงไทยใหญ่สีดำ น้ำเงิน สวมใส่เสื้อคอกลมแขนยาว ส่วนผู้หญิงสวมผ้าซิ่นทอสีแดงสด ใส่เสื้อแขนยาว มีพู่ไหมพรมห้อยล้อมรอบต้นแขนเสื้อทั้งสองข้าง ผ้าเคียนศีรษะ และที่แปลกตาต่อผู้พบเห็นมากที่สุด ก็คือ น่องกฺ' เป็นบ่วงทำด้วยเงิน หรือหวายคล้องรอบเอว นั่นละ คือพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง หรือปะหล่อง

และเมื่อใครเห็น น่องกฺ' หรือบ่วงทำด้วยเงิน หรือหวายคล้องรอบเอวแม่หญิงดาระอั้ง เชื่อว่าหลายคนคงอดจะถามไม่ได้ว่ามันคืออะไร และมันสื่อความหมายถึงอะไร

มีตำนานเล่าไว้ว่า  เดิมทีมีนางฟ้ามีปีกได้บินลงมาจากฟ้าจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ แล้วต้องมนต์เสน่ห์ของป่าเขาและสายน้ำ จึงตัดสินใจถอดเครื่องแต่งกายรวมทั้งปีกนั้นไว้ริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนลงไปเล่นน้ำ ต่อมา มีพรานป่าคนหนึ่งออกล่าสัตว์ มาพบเห็นปีกนางฟ้าเข้าก็ขโมยเอาไป ครั้นพอนางฟ้าขึ้นมาจากน้ำ ก็ตกใจที่เห็นปีกหายไป จึงวิ่งลนลานเสาะหา กระทั่งไปติดบ่วงแร้วหวายของนายพราน ยิ่งดิ้นยิ่งถูกรัดแน่น  กระทั่งมีชายหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งนั่งแพไม้ไผ่ไหลล่องมาตามแม่น้ำ ได้ยินเสียงนางฟ้าร้องไห้ จึงเข้าไปช่วยเธอหลุดพ้นจากบ่วงแร้วนายพราน และทั้งสองก็เกิดรักใคร่กันจนกลายเป็นคู่ผัวเมีย อยู่กินด้วยกัน จนกำเนิดลูกหลานออกมาเป็นเผ่าพันธุ์ดาระอั้ง นับแต่นั้นมา

ทุกครั้งที่ผมเห็นผู้หญิงดาระอั้งที่คล้อง น่องกฺ' ไว้รอบเอว ทำให้ผมนึกไปถึงตำนานอันเก่าแก่เรื่องนี้ และพลอยทำให้นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาไปด้วย

นึกไปถึงภาพการเดินทางระเหเร่ร่อนหนีตายจากสงครามความขัดแย้งในพม่า ภาพการหลบหนีการไล่ล่า ภาพความอดอยากจนต้องเด็ดกินใบไม้แทนข้าว ภาพผู้คนลอยคอข้ามแม่น้ำสาละวิน ภาพผู้คนเดินข้ามดอยมาอาศัยอยู่บนดอยนอแล ดอยอ่างขาง ก่อนเคลื่อนย้ายมาอยู่ปางแดง ที่เชียงดาว รวมทั้งภาพการถูกเจ้าหน้าที่รัฐเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน จับกุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ คนพิการเข้าห้องขัง แม้กระทั่งจนบัดนี้ คดียังไม่สิ้นสุด ยังรอคำพิพากษาจากศาล

ใครบางคนบอกว่า บางทีวิถีชีวิตของพี่น้องดาระอั้งกลุ่มนี้นั้นถูกกำหนดด้วยอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็น ให้พวกเขาเหมือนถูกบ่วงชะตากรรมรัดรึงเอาไว้อยู่อย่างนั้น ตลอดการเดินทางไกล จนกว่าพวกเขาจะค้นพบดินแดนสงบและสันติสุขอย่างแท้จริง.


ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์เผ่าชนคนเดินทาง เสาร์สวัสดี กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 26 ธันวาคม 2552

 

ความเห็น

Submitted by ชอ เช on

แผ่นดินมีพรมแดน ชีวิตมีเผ่าพันธ์ แต่ความรักอาระอั้ง ไม่มีพรมแดนใจ..

Submitted by พิณประภา on

แวะมาอ่านเหมือนเคยค่ะ

ปล.ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ขอคำปรึกษาไปนะคะ

Submitted by สิงห์มือซ้าย on

อ่านบทความนี้ แล้วก็รู้สึกว่าเราชาวไทย นั้นโชคดี เกิดมาบนแผ่นดินที่สงบสุข

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ขอแลกเปลี่ยนกับ "สิงห์มือซ้าย" เมืองไทยสงบสุขจริงหรือในเนื้อแท้ มิใช่เพียงปรากฏการณ์ที่พบเห็น และมีแต่คำขวัญเกลื่อนเมืองทั้งในจอทีวี และในสถานที่ราชการ( สถานที่เหล่านี้น่าจะเปลี่ยนป็นว่า "สถานที่ราษฎร์") โอเค เมืองไทยสมมุติ ที่ยังดูน่าอยู่อยู่ ก็เพราะหากเราไม่ได้เป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ คนจร คนไร้รากที่ถูกอำนาจรัฐรุกราน รากเหง้าวิถัชีวิตธรรมชาติของชุมชน ประชาชน(ถ้าพูดให้ถึงที่สุด เราเองซึ่งเป็นชนชั้นกลาง แม้กระทั่งชนชั้นสูงก็ถูกรุกรานด้วย จากระบบโครงสร้างสังคมอภิมหาบริโภคทุนนิยมโลกาวินาศสุดโต่งนี้(โลกร้อนแล้วเน้อ พี่น้องทุกชนชั้นอย่าเสพสุขอะไรมากเกินไปเลย) แต่ถ้าเราเป็นคนที่หาเช้ากินค่ำฯลฯ เราก็จะรู้สึกว่าเมืองไทยสมมุตินี้ไม่น่าอยู่เลย พี่น้องดาระอั้ง ต้องอพยพมาจากบ้านเกิดเมืองนอน ก็ด้วยเผด็จการอำนาจรัฐพม่า นั่นแหละโดยความคิดเห็นของฉันเพียงผู้เดียว ในเรื่องความรักต่อผองเพื่นมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าใดเราต้องเอื้ออารีต่อผู้ที่เดือดร้อน ผู้ถูกกดขี่ข่มเหงฯลฯ มิใช่ไปจับ ขับไล่เขา แม้แต่พี่น้องชนเผ่า ปาเกอญอ(กระเหรื่องทีคนในเมืองเรียกเขาผิดๆ) ม้ง่มี่ยน ลาหู่ อาข่า ละเวี๊ยะ(ล

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

มารุกรานดินแดนล้านนาอิสระของเฮา ตวย เน้อ

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ใช่

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ขอโทษ note book อ้ายมันเกเร ... รุกรานดินแดนอิสระของล้านนาเฮาตวยเน้อ...และรุกรานไปทั่วฯลฯ พวกข้าราชการ(ความจริงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "ข้าราษฎร์" เพราะกินเงินเดือนภาษีของประชาชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม แถมบ่พอ แม่มมมมก็มีข่าวเสมอมาว่าคอร์รัปชั่น ตวย ฯลฯ) และพวกศูนย์กลางอำนาจรัฐที่บังอาจมาปกครองเรานี่แหละ และพวกราชการในท้องถิ่น จังหวัดด้วยที่บังอาจมาปกครองเรา ออกกฏหมายในส่วนที่งี่เง่าให้เราต้องปฏิบัติตามฯลฯ (วงเล็บ.. ถ้าพูดแบบจิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋ ไม่ปากซอยก็ต้องตวาดกลับไปว่า..."มึงเสือกทะลึ่งมาปกครองกูทำไม? กูไม่ให้มึงเสือกมาปกครอง โว๊ย กูปกครองตัวเองได้ ไอ้ห่า มึงอย่าเสือก ถึงตอนนี้ถ้าผองเพื่อนพี่น้องที่รักอิสระภาพจริงๆ ไม่ "ล้าหลัง - คลั่งชาติ(คำพูดของ "อ้ายสุจิตต์ วงษ์เทศ" อดีต บรรณาธิการนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" )ก็ต้องรวมพลังช่วยกันแล้วให้ปลดแอกจากพวกเผด็จการที่มากดขี่ข่มเหงเราได้ ต้องผสานหนุนช่วยกันทั่วทุกภาค แม้กระทั่งคนในเมืองศูนย์กลางอำนาจรัฐที่เข้าใจพี่น้ให้กำลังใจพี่น้องประชาชนทั่วทุกภาคประเทศสมมุตินี้ ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน กวี นักคิด นักเขียน ศิลปิน ฯลฯ ก็พึงต้องช่วยกัน อ้ายภูฯ คับดีใจขอบคุณที่เสนอเรื่องพี่น้องดาระอั๊งให้ชาวเน็ตและผู้คนได้รับทราบ ได้เข้าใจว่าพี่น้องคือเพื่อนมนุษยชาติของเรา อ้ายรำลึก ลุงคำ หนึ่งในผู้นำ ผู้อาวุโสของพี่น้องดาระอั๊งแห่งปางแดง และเคยไปเยือนให้กำลังใจพี่น้องหลายครั้งอยู่

เมืองไทยสมมุตตินี้จะมีศานติสุขได้ เราต้องเข้าใจโครงสร้างระบบสังคมที่ดำรงอยู่ว่าเป็นเช่นไร? และจะช่วยกันแก้ไขกันอย่างไร? รักษาสุขภาพทุกคนคับ สวัสดีปีใหม่ปีสมมุตติ

Submitted by ดาว+หลวง on

คิดถึง และอยากจะไปเที่ยว
แต่ยังไม่มีโอกาส
สวัสดีปีใหม่
ขอให้มีความสุขมากๆ

Submitted by ภู on

รำลึกถึงความจริง
รำลึกถึงความฝัน
รำลึกถึงจิตวิญญาณ
รำลึกถึงชีวิต
รำลึกถึงความง่ายและงาม
กลางสวนดอกไม้
หอมกรุ่นดอกไม้

สวัสดีปีใหม่ครับ....

Submitted by ฝน on

พรงามใดในชีวิต ธรรมชาติ และดวงใจ ขอให้สัมฤทธิ์ในเพื่อนเน้อเจ้า
บ้านเฮาคิดถึงกันเสมอ...

Submitted by nop on

ปีใหม่นี้ขอให้คุณพระคุ้มครองพี่น้องดาระอั้ง ให้พ้นภัย มีชีวิตที่สดใสทุกคืนวัน
ทุกตัวอักษรที่คุณสื่อออกมา ได้ใจเลยนะคุณภู

Submitted by วิศวจิตร on

สงสารพี่น้องร่วมโลก ทำอย่างไงถึงจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีภราดรภาพ ขอส่งแรงใจทั้งมวลที่มี ให้แก่ผู้ทีได้รับความทุกข์ยากทั้งหลาย ขอจงมีแต่ความสุขเถิด

สี่ปีที่ผ่าน...

20 September, 2010 - 16:04 -- ongart

สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้
ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว
ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ-

สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้
ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว
ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ-

สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้
ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว
ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ