Skip to main content

 
\\/--break--\>










 

ผมไม่รู้ว่าในชีวิตของคนเรานั้นต้องเดินทางไกลและใช้เวลานานเพียงใด ถึงจะค้นพบดินแดนสงบและสันติสุข แต่ผมพอรู้ว่ามีพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง'หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ปะหล่อง' นั้นต้องระเหเร่ร่อนเดินทางมาไกลและยาวนาน กว่าจะค้นหาดินแดนนั้นพบ 

สัปดาห์ก่อนผมได้ไปเยือนชุมชนดาระอั้งบ้านปางแดง ในเขตพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ค่ำคืนนั้นมีการแสดงวัฒนธรรมบนลานดิน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ต่างสนุกสนาน  พากันร้องเพลง เต้นรำ ก่อกองไฟเผาข้าวหลาม ผิงข้าวจี่กันท่ามกลางลมหนาว นานๆ ผมจะมีโอกาสเห็นความสุขของพี่น้องดาระอั้ง อบอวลหอมกรุ่นอย่างนี้ หลังจากก่อนหน้านั้น ชาวบ้านกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างจำยอมและจำนนมาโดยตลอด ในงานบุญงานรื่นเริงนั้น ผมยินเสียงเพลงภาษาดาระอั้งในท่วงทำนองเศร้าสร้อย ชาวบ้านบอกว่าเนื้อหานั้นพร่ำพรรณนาบอกเล่าถึงวิถีชีวิตทุกข์ยากลำบากและการเดินทางมาไกลแสนไกล ในห้วงนั้น ผมมองเห็นแววตาคู่หนึ่งของผู้เฒ่าสะท้อนกับแสงไฟฟืน เป็นแววตาที่ดูแล้วเหมือนฉาบความเศร้าเอาไว้ข้างในยังไงยังงั้น

ในงานวิจัยเรื่อง กลยุทธ์ในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนตั้งถิ่นฐานใหม่ ท่ามกลางบริบทของการปิดล้อมพื้นที่ป่า ของ สกุณี ณัฐพูลวัฒน์' ได้ศึกษาเรื่องราวของชนเผ่าดาระอั้ง หรือปะหล่อง ไว้อย่างน่าสนใจว่า ในงานศึกษาเรื่อง Shans at Home ของ Lesline milne ในปี 1910 บอกว่า ชนเผ่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนรักสงบ และพยายามหลบหนีภัยจากปัญหาสงครามอยู่เสมอ แน่นอน เมื่อเอ่ยชื่อดาระอั้ง หรือปะหล่อง เราจึงมักเห็นภาพของการตกเป็นเหยื่อในภาวะสงครามเสียมากกว่า และเป็นฝ่ายที่ต้องหลบเลี่ยงหนีการรุกรานของชนเผ่าอื่นอยู่เรื่อยมา

ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของลุงคำ จองตาน ผู้เฒ่าดาระอั้งบ้านปางแดงใน เคยพูดคุยกับผมไว้
"พวกเราดาระอั้งไม่เคยสู้กับใคร มีแต่หลบหนีอย่างเดียว เราไม่ชอบการต่อสู้ ไม่ชอบความรุนแรง"

นอกจากนั้น ยังมีงานศึกษาที่เก่าแก่ชิ้นหนึ่งในพม่า ซึ่งได้บันทึกไว้ใน  "Gazetteer of Upper Burma and the shan states" ตั้งแต่ปี คศ.1900 โดยได้เขียนถึงตำนานการเกิดของชนเผ่าดาระอั้ง หรือ ปะหล่องเอาไว้ว่า เป็นลูกหลานของกษัตริย์พระอาทิตย์ เลือกที่จะอยู่บนที่สูง บริเวณทางตอนเหนือของรัฐฉาน ประเทศพม่า และถือว่าเป็นกลุ่มคนนักเดินทางชั้นเยี่ยม ซึ่งต่อมา ลูกหลานได้เติบโตย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นในทางตอนใต้ของรัฐฉาน แถบเมืองเชียงตุง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนไทยใหญ่ในรัฐฉาน กระทั่งเดินทางข้ามน้ำข้ามเขามาอยู่ในพื้นที่ทางเหนือของไทย มีรายงานว่า ปัจจุบัน มีจำนวนประชากรชาวดาระอั้ง หรือชาวปะหล่องที่อาศัยอยู่ในไทย ทั้งหมดราว 5,000-7,000 คน

หากใครมีโอกาสผ่านมาทางเขตอำเภอแม่อาย ฝาง และเชียงดาว ก็จะเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวด้วยสีสันแปลกใหม่ ผู้ชายนุ่งกางเกงคล้ายทรงไทยใหญ่สีดำ น้ำเงิน สวมใส่เสื้อคอกลมแขนยาว ส่วนผู้หญิงสวมผ้าซิ่นทอสีแดงสด ใส่เสื้อแขนยาว มีพู่ไหมพรมห้อยล้อมรอบต้นแขนเสื้อทั้งสองข้าง ผ้าเคียนศีรษะ และที่แปลกตาต่อผู้พบเห็นมากที่สุด ก็คือ น่องกฺ' เป็นบ่วงทำด้วยเงิน หรือหวายคล้องรอบเอว นั่นละ คือพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง หรือปะหล่อง

และเมื่อใครเห็น น่องกฺ' หรือบ่วงทำด้วยเงิน หรือหวายคล้องรอบเอวแม่หญิงดาระอั้ง เชื่อว่าหลายคนคงอดจะถามไม่ได้ว่ามันคืออะไร และมันสื่อความหมายถึงอะไร

มีตำนานเล่าไว้ว่า  เดิมทีมีนางฟ้ามีปีกได้บินลงมาจากฟ้าจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ แล้วต้องมนต์เสน่ห์ของป่าเขาและสายน้ำ จึงตัดสินใจถอดเครื่องแต่งกายรวมทั้งปีกนั้นไว้ริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนลงไปเล่นน้ำ ต่อมา มีพรานป่าคนหนึ่งออกล่าสัตว์ มาพบเห็นปีกนางฟ้าเข้าก็ขโมยเอาไป ครั้นพอนางฟ้าขึ้นมาจากน้ำ ก็ตกใจที่เห็นปีกหายไป จึงวิ่งลนลานเสาะหา กระทั่งไปติดบ่วงแร้วหวายของนายพราน ยิ่งดิ้นยิ่งถูกรัดแน่น  กระทั่งมีชายหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งนั่งแพไม้ไผ่ไหลล่องมาตามแม่น้ำ ได้ยินเสียงนางฟ้าร้องไห้ จึงเข้าไปช่วยเธอหลุดพ้นจากบ่วงแร้วนายพราน และทั้งสองก็เกิดรักใคร่กันจนกลายเป็นคู่ผัวเมีย อยู่กินด้วยกัน จนกำเนิดลูกหลานออกมาเป็นเผ่าพันธุ์ดาระอั้ง นับแต่นั้นมา

ทุกครั้งที่ผมเห็นผู้หญิงดาระอั้งที่คล้อง น่องกฺ' ไว้รอบเอว ทำให้ผมนึกไปถึงตำนานอันเก่าแก่เรื่องนี้ และพลอยทำให้นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาไปด้วย

นึกไปถึงภาพการเดินทางระเหเร่ร่อนหนีตายจากสงครามความขัดแย้งในพม่า ภาพการหลบหนีการไล่ล่า ภาพความอดอยากจนต้องเด็ดกินใบไม้แทนข้าว ภาพผู้คนลอยคอข้ามแม่น้ำสาละวิน ภาพผู้คนเดินข้ามดอยมาอาศัยอยู่บนดอยนอแล ดอยอ่างขาง ก่อนเคลื่อนย้ายมาอยู่ปางแดง ที่เชียงดาว รวมทั้งภาพการถูกเจ้าหน้าที่รัฐเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน จับกุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ คนพิการเข้าห้องขัง แม้กระทั่งจนบัดนี้ คดียังไม่สิ้นสุด ยังรอคำพิพากษาจากศาล

ใครบางคนบอกว่า บางทีวิถีชีวิตของพี่น้องดาระอั้งกลุ่มนี้นั้นถูกกำหนดด้วยอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็น ให้พวกเขาเหมือนถูกบ่วงชะตากรรมรัดรึงเอาไว้อยู่อย่างนั้น ตลอดการเดินทางไกล จนกว่าพวกเขาจะค้นพบดินแดนสงบและสันติสุขอย่างแท้จริง.


ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์เผ่าชนคนเดินทาง เสาร์สวัสดี กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 26 ธันวาคม 2552

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม