Skip to main content

‘…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ โลกนี้มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนดังสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรธิดาของโลกด้วย มนุษย์ไม่ใช่ผู้สานทอใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงเส้นใยหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำต่อข่ายใยนั้น ก็เท่ากับกระทำต่อตนเอง...’

จดหมายโต้ตอบของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ซีแอตเติ้ล
จากหนังสือ ‘ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป’
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : แปล และเรียบเรียง

20080530 1

20080530 2

20080530 3

20080530 4

อย่างที่บอกมาแต่ต้นนั้นแหละว่า โครงการขนาดใหญ่ที่กำลังก่อร่างขึ้นมาอย่างเงียบเชียบราวงูใหญ่ที่เลื้อยคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เช่นนี้ ย่อมทำให้ชาวบ้านคนต้นน้ำ คนลุ่มน้ำ ต้องตื่นตกใจและเต้นไปตามๆ กัน

ค่ำคืนนั้น, ที่หมู่บ้านป่าตึงงาม ชุมชนปวาเก่อญอที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผืนดอย ผืนป่าและสายน้ำมาเนิ่นนาน ผมนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านของ ‘ทองคำ กาทู’ ซึ่งเป็นสมาชิก อบต.ปิงโค้ง และเป็นตัวแทนชาวบ้าน ได้บอกกับผมว่า...ที่ผ่านมา ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้มาก่อนเลยว่าจะมีโครงการผันน้ำจากแม่น้ำกกผ่านอำเภอแม่อาย ฝาง ไชยปราการ ก่อนปล่อยลงแม่น้ำปิงในเขตพื้นที่ อ.เชียงดาว

“จู่ๆ ก็มีข่าวมาว่าจะมีการผันน้ำ มีการเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนแล้วว่าจะลงที่บ้านป่าตึงงาม โดยปากอุโมงค์ จะอยู่บริเวณห้วยเมี่ยง บริเวณหัวฝาย-ดอยหัวโท แล้วไหลลงแม่น้ำป๋ามให้เป็นที่พักน้ำโดยเขาอ้างว่าจะสร้างกระแสไฟฟ้าด้วย ซึ่งตนเห็นว่า ถ้ามีการผันน้ำกกมาลงแม่น้ำป๋าม ก่อนไหลลงไปสู่แม่น้ำปิงซึ่งถือว่าเป็นการผันน้ำมาผ่านบ้านเรา ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะอาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วมได้ เพราะขนาดเมื่อปี 2548 เฉพาะน้ำแม่ป๋าม ยังมีปริมาณน้ำมากจนเกิดน้ำท่วม  ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่นี่จะเอาน้ำกกมาลงที่นี่อีก”

ด้านผู้ใหญ่บ้านป่าตึงงาม ก็ออกมาโวยว่าที่ผ่านมามีการแอบส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช็อตปลา เจาะทุ่งนา โดยไม่มีการบอกกล่าวอีกด้วย

‘เสาร์แก้ว มูแป’ ผู้ใหญ่บ้านป่าตึงงาม บ่นให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้น เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งขับรถตู้เข้ามา 4-5 คนเข้ามาเจาะที่นาของนายพล พะโย นอกจากนั้นยังมีสำรวจพื้นที่ป่า ลำห้วยตอนกลางคืน เข้ามาช็อตปลา ชาวบ้านจึงแจ้งประสานไปยังทหาร ร.7 เข้ามาตั้งด่าน ร่วมกับชุดชรบ.เพื่อเข้าไปเคลียร์ และทำการปรับ ก่อนปล่อยตัวไป หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 11-12 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางกรมน้ำได้เชิญตนให้ไปเข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อย ที่ อ.ไชยปราการ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นการประชุมมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว จึงรู้ว่าจะมีการสร้างอุโมงค์ขนาดยักษ์เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำกกลงแม่น้ำปิง ซึ่งการประชุมที่ผ่านมา ก็มีการพูดกันแต่ผลดีของตัวโครงการ แต่ไม่ได้พูดถึงผลเสียผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต                                                    

“ซึ่งผมเชื่อว่าที่แน่ๆ มี 3 หมู่บ้านที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ก็คือบ้านป่าตึงงาม บ้านออน และแม่ป๋าม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ท้ายน้ำของอุโมงค์ เพราะในวันที่ประชุม มีคนตั้งคำถามว่า ถ้าทางชุมชนลุ่มน้ำเสียหายจะรับผิดชอบให้หรือไม่ เขาก็เลี่ยงไม่ตอบ”

ผมนิ่งฟังและจ้องดูสีหน้าของทั้งสองคนบอกเล่าถึงความแปลกเปลี่ยนที่กำลังรุกคืบเข้ามา แล้วเข้าใจความรู้สึกนั้นดี นั่นคือคำพูดที่วิตกกังวล และสีหน้านั้นดูหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะมากระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขาในอนาคต

นอกจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านป่าตึงงาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยด้วยว่า การสร้างโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้จะกระทบต่อผืนป่าบริเวณนี้หรือไม่ เพราะถือว่าป่าผืนนี้อุดมสมบูรณ์ เป็นป่าชั้น 1 เอ และอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีลานนาอีกด้วยนั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ที่นำเสนอในที่ประชุมกลับบอกว่าป่าไม้ไม่เกี่ยว อุทยานไม่เกี่ยว เราเข้ามาทำได้เลย             

“จากการที่ผมดูข้อมูลในเอกสารแล้ว จะรู้เลยว่าพื้นที่ป่าจะเสียหายมาก เพราะเขาบอกว่าจะมีการเจาะอุโมงค์กว้างมาก ขนาดรถสิบล้อวิ่งผ่านเข้า-ออกได้สบาย ซึ่งสรุปแล้วหมู่บ้านเราไม่เห็นด้วยแน่นอน รวมทั้งหมู่บ้านออน ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว และผลกระทบที่คิดว่าจะได้รับอย่างชัดเจน ก็คือ พื้นที่ทำกิน ที่นา รวมทั้งผืนป่าซึ่งเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำปิงจะต้องได้รับความเสียหาย และถ้ามีการเจาะดินข้างล่าง อาจจะทำให้ป่าล่ม ดินพังได้”

นี่คือความรู้สึกความคิดเห็นของผู้คนท้องถิ่นที่นั่น ที่ไม่ไว้ใจว่า สุดท้ายแล้ว โครงการขนาดใหญ่แบบนี้ มันไม่ได้ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาชาวบ้านได้เลย

และชาวบ้านกำลังจะบอกว่า โครงการนี้คือตัวส่งเสริมทำลายวิถีชีวิตชาวบ้านและจะทำลายทรัพยากรสำคัญอันมีค่า ในพื้นที่แถบนี้พังและย่อยยับลงไปในไม่ช้าเสียมากกว่า

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
                                                                            
ภู เชียงดาว
  1. 
ภู เชียงดาว
สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้ ช่อดอกไม้ยื่นให้ทหารถืออาวุธ สาวเปลื้องผ้าเต้นระบำหน้ารถถัง พลัดหลง งงงวย เหมือนโดนของหนักพลัดตกลงมาจากที่สูงฟาดหัว ตื่นขึ้นมา ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยขาลีบ ชนชั้นถูกถ่างขา สามัญชนถูกฉีกทึ้ง คนจนกับความจริงถูกมัดมือ ข่มขืน อนุสาวรีย์ความลวงผุดขึ้นที่โน่นที่นั่น-หัวใจทาสค้อมกราบ หากหัวใจเสรี อึดอัด อุกอั่ง คลั่งแค้น เข้าสู่ยุคดินแดนแห่งการไม่ไว้วางใจฯ- สี่ปีที่ผ่านทำให้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น หลายสิ่งวิปริต หลายอย่างผิดแปลก รัฐประหารกลายเป็นความหอมหวานคลั่งไคล้…
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   ‘ชุมพล เอกสมญา’ ลูกชายคนโตของ จ่าสมเพียร เอกสมญา ที่บอกเล่าความรู้สึกผ่านเพลง ผ่านสื่อ นั้นสะท้อนอะไรบางสิ่ง เต็มด้วยความจริงบางอย่าง ทำให้ผมอยากขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็น บทกวีแคนโต้ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสานต่อความคิดและรำลึกถึงคุณพ่อสมเพียร เอกสมญญา ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านั้นว่า... “...แต่ผมจะไม่ตาย เพราะงานยังไม่จบ ตายไม่ได้!!”  
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.bangkokbiznews.com 1. ผมหยิบซีดีเพลงชุด Demo-Seed ของ พล ไวด์ซี้ด (ชุมพล เอกสมญา) ที่ให้ผมไว้ออกมาเปิดฟังอีกครั้ง หลังยินข่าวร้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา พ่อผู้กล้าของเขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา บทเพลง ‘บันนังสตา’ ถูกผมนำมาเปิดฟังวนๆ ซ้ำๆ พร้อมคิดครุ่นไปต่างๆ นานา   ในขณะสายตาผมจ้องมองภาพของพ่อฉายซ้ำผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งภาพเมื่อครั้งยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ...นั้นทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลบปวดและเศร้า... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ฉันรู้ว่าวันเวลา... ฉันรู้ว่าวันเวลาเป็นสิ่งหนึ่ง ที่รีไซเคิลไม่ได้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง มองโลกตามที่มันเป็นไป… …
ภู เชียงดาว
  เขาตื่นแต่เช้าตรู่... คงเป็นเพราะเสียงนกป่าร้อง เสียงไก่ขัน หรือเสียงเท้าของเจ้าข้าวก่ำกับปีโป้ ที่วิ่งเล่นไปมาบนระเบียงไม้ไผ่ ก่อนกระโจนเข้าไปในบ้าน ผ่านกระโจม ทำให้เขาตื่น ทั้งที่เมื่อคืนกว่าเขาจะเข้านอนก็ปาตีสาม