Skip to main content

(ข้อความต่อไปนี้มาจากรายงานวิจัยเรื่องชีวประวัติรัฐธรรมนูญและธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475-2520 ภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส ศ. รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ุ ท่านสามารถ download เอกสารฉบับเต็มได้ที่ http://econ.tu.ac.th/archan/rangsun/โครงการวิจัยเมธีวิจัยอาวุโส%20สกว/เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ/เอกสารวิชาการ/607%20ชีวประวัติรัฐธรรมนูญไทย%202475-2520.pdf)


       หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นานนักกระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้ คณะราษฎรจดทะเบียนเป็นสมาคมคณะราษฎรเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2475 โดยมีพระยานิติศาสตร์ไพศาลดำรงตำแหน่งนายกสมาคม นายประยูร ภมรมนตรี เป็นอุปนายก นายสงวน ตุลารักษ์ เป็นเหรัญญิก และนายวนิช ปานะนนท์ เป็นเลขาธิการ โดยมีนายประหยัด ศรีจรูญ เป็นนายทะเบียน (วิภาลัย ธีรชัย 2522 : 133-134; นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540 : 242)

ในระยะก่อตั้งมีสมาชิกประกอบด้วยกรรมการอำนวยการ 15 นายและ สมาชิก 140 นาย ต่อมาได้เปิดรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติมจากข้าราชการประจำและผู้สนใจจำนวนมาก (วิภาลัย ธีรชัย 2522 : 133) ประมาณการว่า มีสมาชิก 10,000 นาย ในสายข้าราชการทั้งทหารและพลเรือน แยกเป็นข้าราชการชั้นพระยา 23 คน ชั้นคุณพระ 65 คน ชั้นคุณหลวง 376 คน (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540 : 252-253) มีประมาณการว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2475 มีสมาชิกถึง 60,000 คน (ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ 2534 : 217) 

ในเวลาต่อมา พระยาโทณวณิกมนตรี (วิสุทธิ์ โทณวณิก) กับคณะรวม 12 คน ร้องขอต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อจัดตั้งสมาคมคณะชาติเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2475 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาสมาชิกเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นเดียวกับสมาคมคณะราษฎร

พระยามโนปกรณ์นิติธาดานำเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และทรงพระราชทานพระราชหัตถเลขาความว่าสยามยังไม่พร้อมจะมีคณะการเมืองเพราะประชาชนส่วนมากยังไม่มีความเข้าใจวิธีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญถ้าหากมีคณะการเมืองอาจจะทำให้เข้าใจว่าเป็นการตั้งหมู่คณะเพื่อเป็นปฏิปักษ์กันแต่เมื่อรัฐบาลอนุญาตให้มีสมาคมคณะราษฎรก็เป็นการยากที่จะห้ามตั้งคณะการเมืองจึงควรยกเลิกสมาคมคณะราษฎรและคณะอื่นเสีย

เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 มีมติคณะรัฐมนตรีแจ้งตามหน่วยราชการต่างๆ ให้ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540 : 252) แม้แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาผู้บัญชาการทหารบก ยังต้องชี้แจงต่อข้าราชการทหารว่าทหารไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมในสมาคมคณะราษฎรต่อไปเพราะรัฐบาลมีความมั่นคงแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงสั่งให้ทหารลาออกจากสมาคมฯ เสีย

ขณะเดียวกัน ผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรได้เสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ” สู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 มีนาคม 2475 ในที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา 14 คน โดยประชุมในวันที่ 12 มีนาคม 2475 และมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่คัดค้านนำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิศาลวาจา และพระยาทรงสุรเดช ฝ่ายสนับสนุนนำโดยหลวงประดิษฐมนูธรรม นายแนบ พหลโยธิน นายทวี บุณยเกตุ และ ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ มติของคณะอนุกรรมการไม่เป็นที่เด็ดขาด ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง

คณะรัฐมนตรีใช้เวลาพิจารณาถึง 2 ครั้งในวันที่ 25 และ 28 มีนาคม 2475 โดยหลวงประดิษฐมนูธรรมยืนยันว่าจะลาออกหากคณะรัฐมนตรีไม่เห็นชอบ ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้หลวงประดิษฐฯ ลาออก แต่ในการประชุมครั้งที่สอง ฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้นำพระราชบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมา ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้ความเห็นชอบเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ  ถึง 11 เสียง ต่อ 3 เสียง (งดออกเสียง 5 คน) จากจำนวนผู้เข้าประชุม 19 คน

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 17 มีนาคม 2475 มีกระทู้ถามรัฐบาลเรื่องคำสั่งห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง ในวันที่ 30 มีนาคม ที่ประชุมสภาฯมีมติว่า รัฐบาลกระทำผิดรัฐธรรมนูญและให้ถอนคำสั่ง (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2540 : 253-254)

ผลจากความขัดแย้งข้างต้นทำให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยอธิบายว่า สภาผู้แทนราษฎรชุดดังกล่าวเป็นสภาฯชั่วคราว  ไม่สมควรจะเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ  แต่

“… ณ บัดนี้ ปรากฏว่า มีสมาชิกจำนวนมาก แสดงความปรารถนาแรงกล้าเพียงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงไปในทางนั้น โดยวิธีการอันเป็นอุบายในทางอ้อมที่จะบังคับข่มขู่ให้สภาต้องดำเนินการไป ตามความปรารถนาของตน เป็นการไม่สมควร เป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่า จะประชุมกันบัญชาการของประเทศโดยความสวัสดิภาพไม่ได้แล้ว สามารถจะนำมาซึ่งความไม่มั่นคงต่อประเทศ และทำลายความสุขสมบูรณ์ของอาณาประชาราษฎร์ ทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นเวลาฉุกเฉินแล้ว สมควรต้องจัดการป้องกันความหายนะ อันจะนำมาสู่ประเทศและอาณาประชาราษฎร์ทั่วไป …” 

และกำหนดวัตถุประสงค์ของการตราพระราชกฤษฎีกาไว้ดังนี้

“1. ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนี้เสียและห้ามไม่ให้เรียกประชุมจนกว่าจะได้มีสภาฯขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรตามความในรัฐธรรมนูญนั้นแล้ว

2. ให้ยุบคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้เสีย และให้มีคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ ประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรีหนึ่งนาย กับรัฐมนตรีอื่นๆอีกไม่เกินยี่สิบนาย และให้นายกรัฐมนตรีคณะซึ่งยุบนี้เป็นนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีใหม่ กับให้รัฐมนตรีผู้ซึ่งว่าการกระทรวงต่างๆอยู่ในเวลานี้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรีใหม่โดยตำแหน่ง ส่วนรัฐมนตรีอื่นๆจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งขึ้นโดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป 

3.ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้นและยังไม่ได้ตั้งคณะรัฐมนตรีตามความในรัฐธรรมนูญแล้ว
 ให้คณะรัฐมนตรีใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นผู้ใช้อำนาจต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ให้ไว้แก่คณะรัฐมนตรี

4. ตราบเท่าที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและ ยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรง ใช้อำนาจนิติบัญญัติตามคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี

5. ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรยังไม่ได้เรียกประชุม สภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น และยังไม่ได้ตั้งคณะรัฐมนตรีตามความในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้รอการใช้บทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญซึ่งขัดกับพระราชกฤษฎีกานี้เสีย ส่วนบทบัญญัติอื่นๆในรัฐธรรมนูญนั้นให้เป็นอันคงใช้อยู่ต่อไป”

(ราชกิจจานุเบกษา  เล่ม 50 หน้า 1, วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476)

 

รัฐบาลยังได้ออกแถลงการณ์ถึงความจำเป็นในการปิดสภาผู้แทนราษฎรกับการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราว่า คณะรัฐมนตรีมีความเห็นแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มข้างน้อยต้องการวางนโยบายเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสม์ ฝ่ายข้างมากเห็นว่าตรงข้ามกับธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม จะนำมาซึ่งความหายนะและความมั่นคงของประเทศ  ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสภาแต่งตั้งและเป็นสภาฯชั่วคราว ไม่ควรวางนโยบายเศรษฐกิจใหม่ที่ “ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน”  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสมาชิกจำนวนมากต้องการและเลื่อมใสรัฐมนตรีเสียงข้างน้อยความแตกต่างระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับนิติบัญญัติ ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับฝ่ายบริหารเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ทำให้การปฏิบัติราชการช้าและกิดความแตกแยก ตลอดจนก่อให้เกิดความไม่มั่นใจแก่ประชาชน จึงจำเป็นต้องปิดสภาฯและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่การงดใช้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเฉพาะบางมาตราและเป็นการชั่วคราวเท่านั้น  (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 หน้า 7, 1 เมษายน พ.ศ. 2476 และดูประเด็นเรื่องอำนาจของฝ่ายบริหารที่จะปิดสภาที่ ม.จ. วรรณไวทยากรเคยกล่าวไว้ใน สิริ เปรมจิตต์ 2511: 86)

ผลการปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ทำให้เกิดการรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ภายใต้การนำของ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งเรียกประชุมสมัยวิสามัญตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภาผู้แทนราษฎรกับทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 385-387, 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476) นอกจากนี้ยังได้ตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ในการจัดการให้คณะรัฐมนตรีลาออก เพื่อให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 389, 25 มิถุนายน พ.ศ. 2476) ดังคำอธิบายว่า

  “สภาผู้แทนราษฎรถวายคำปรึกษาว่า การที่คณะทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะหนึ่ง ซึ่งเห็นความจำเป็นในอันจะแก้ไขเหตุการณ์ที่ทำให้เสื่อมทราม
  ความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยแห่งชาติบ้านเมือง จึงพร้อมใจกันเข้าจัดการให้คณะรัฐมนตรีชุดซึ่งไม่บริหารราชการแผ่นดินตามหน้าที่ด้วยความไว้วางใจของสภาฯตามรัฐธรรมนูญลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะ ซึ่งในที่สุด รัฐมนตรีคณะที่กล่าวข้างต้นก็ได้ยื่นใบลา และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ปรากฏว่าเหตุการณ์ได้เป็นไปโดยราบรื่นปกติเรียบร้อย มิได้รุนแรง สมควรได้รับพระมหากรุณา เพราะความหวังดีงามและความละมุนละม่อมในการกระทำของคณะนี้” 
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 389, 25 มิถุนายน 2476)

  รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการตราพระราชบัญญัติให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาที่ได้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 โดยกล่าวว่า การปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งนั้น ‘มิได้อาศัยอำนาจในรัฐธรรมนูญประการใด ซึ่งทำให้เสื่อมทรามความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ’ พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้จัดการให้คณะรัฐมนตรีชุดเก่าลาออก เพื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50 น. 394, วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2476)

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
วันนี้ (31 พฤษภาคม) เป็นวันที่ 17 นับจากวันเลือกตั้งจบลง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยังมีเวลาเหลืออีก กว่า 43 วัน ที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างน้อย ร้อยละ 95 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตและบัญชีรายชื่อ เพื่อให่้ระบอบการเมืองเดินไปอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดต
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ช่วงที่พ่อแม่มาอยู่ด้วย ผมจะพาพ่อแม่ไปเที่ยวใกล้บ้าง ไกลบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เพราะการพาคนแก่มาอยู่เมืองที่ไม่มีเพื่อนฝูงที่สนิทกันคงไม่ใช่เรื่องสนุกอาทิตย์ก่อนก็ขับออกไปพุทธมลฑลแล้วไปพระปฐมเจดีย์ วกออกไปทางบ้านแพ้ว ออกมาพระรามสอง ก็เจอรถติดยาว ในสั
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บทความนี้เขียนเร็วๆ จากบทสนทนาในไลน์กลุ่มที่ผู้เขียนเป็นสมาชิก เพื่อตอบคำถามสองส่วน ส่วนแรกคือเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นอยู่กับความได้สัดส่วนระหว่างขีดความสามารถของรัฐกับความคาดหวังจากสังคม ส่วนที่สองคือรัฐกำลังทำผิดรัฐธรรมนูญขึ้นเรื่อยๆ 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อเช้ายังงัวเงียอยู่ (เพราะนอนดึก) มิตรสหายในไลน์กลุ่มก็ชวนคุยว่า จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปทำไม่ ดูอย่างอเมริกาสิ ขนาดเปลี่ยนทรัมป์ออกไปเป็นโจ ไบเด็น ถึงวันนี้คนยังติดโควิดสูง แม้กระทั่งในทำเนียบขาว ผมเลยชวนดีเบตว่าเอาไหม ในที่สุด บทสนทนาก็มาถึงจุดที่ว่า เราไม่ควรเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 คนเราจะวัดความเป็นรัฐบุรุษที่แท้ได้ก็เมื่อวิกฤตการณ์มาถึง แล้วเขาสนองตอบต่อวิกฤตการณ์นั้นอย่างไร
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ในวันที่ 2 มีนาคม 1757 (2300) เดเมียนส์ผู้ปลงพระชนม์ถูกตัดสินว่าให้ "กระทำการสารภาพผิด (amende honorable) หน้าประตูอาสนวิหารแห่งปารีส" เป็นที่ซึ่งเขาจะถูกเอาตัวไปและส่งไปกับล้อเลื่อน โดยสวมแต่เพียงเสื้อเชิ้ต ถือคบเพลิงที่มีขี้ผึ้งเป็นเชื้อหนังสองปอนด์ (ราว 1 กิโลกรัม) จากนั้นเขาจะถูกนำตัวไปบนล้อเ