Skip to main content

 

      ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรามีการประชุมกลุ่มไทยศึกษาทุกวันพุธ โดยมีคนทั้งจากในฮาร์วาร์ดเอง และจากมหาวิทยาลัยข้างเคียง เช่น MIT  มาร่วมรับฟังการนำเสนอผลงานทางวิชาการของพวกเรา

      ผมได้มีโอกาสนำเสนอรายงานวิจัยของผม เช่นเดียวกับนักวิชาการท่านอื่นๆ ที่นำเสนอรายงานบางส่วนของตัวเองไปแล้ว เช่น ผศ. ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ดร. อรัญญา ศิริผล (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) และ ผศ. ดร. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี  (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งต่างก็ทำวิจัยในเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมจะขอเล่าเท่าที่จำรายละเอียดได้จากมุมมองของผมก็แล้วกันครับ ข้อผิดพลาดประการใดจากความทรงจำและการตีความของผมก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผมและขออภัยอาจารย์ทั้งสามท่านไว้ที่นี้

      งานของอาจารย์พิชญ์เป็นการวิจัยเรื่องเมืองชายแดน พัฒนาต่อจากงานดุษฎีนิพนธ์ที่สนใจเมืองชายแดนทางเหนือ เช่น แม่สายและแม่สอด แต่คราวนี้อาจารย์พิชญ์ใจเด็ด ลงทุนลงแรงไปศึกษาเมืองชายทะเล และสนใจเรื่อง sea borders ที่มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของทรัพยากรทางทะเล และสิทธิเหนือน่านน้ำในมหาสมุทร รวมไปถึงชีวิตของคนที่ทำงานเป็นลูกเรือในเรือประมง เป็นคนงานคัดปลา แยกปลาและสัตว์ทะเลอื่นๆ 

ความน่าสนใจนอกจากชีวิตของคนแล้วยังรวมไปถึงมูลค่าทางการค้าอีกมหาศาลด้วย

       อันที่จริง หากรัฐบาลสนใจแก้ปัญหาเรื่องค้ามนุษย์จริงๆ จังๆ พอๆ กับภาคเอกชนที่ใกล้จะเดือดร้อนจากมาตรการของสหภาพยุโรป ก็น่าจะใส่ใจงานวิจัยของอาจารย์พิชญ์มากขึ้นและสนับสนุนการวิจัยในด้านนี้ให้มาก เพราะอาจารย์พิชญ์ตั้งข้อสังเกตุเรื่องการค้าแรงงานมนุษย์หรือแรงงานทาสน่าจะลดลงมากกว่าที่เราเข้าใจ ปัญหาที่แท้จริงของแรงงานประมงน่าจะอยู่ที่พวกเขาไม่ได้พักผ่อนกลับบ้านในเวลาอันควร เพราะการจับปลาต้องอาศัยการขนส่งที่รวดเร็วเพื่อรักษามูลค่าของสินค้าจากทะเลเอาไว้ให้ได้มากที่สุด จึงต้องส่งเรือขนาดเล็กออกไปหาปลา และใช้เรือบรรทุกปลาส่งกลับฝั่งเพื่อกระจายสินค้าก่อนจะเสื่อมสภาพลง

      ผมฟังงานของอาจารย์พิชญ์ด้วยความเพลิดเพลินและมองเห็นการศึกษาเรื่องยุทธศาสตร์การค้า การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งยังต้องรวมไปถึงการสร้างระบบรองรับไม่ว่าจะเป็นการดูแลคนที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมประมง ซึี่งไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่เป็นพี่น้องจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบการกำกับการเคลื่อนย้ายแรงงานจึงสำคัญพอๆ กับการรักษาตลาดสินค้ามูลค่ามหาศาลในตลาดโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทยมาก

       ส่วนงานของอาจารย์อรัญญาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นงานศึกษาการค้าชายแดนไทยพม่าและอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ของกลุ่มจีนคณะชาติที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่ามานับหลายสิบปี จนพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย 

       คนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มจีนยูนนานที่เคยเป็นพลพรรคของกองพล 93 ซึ่งถอยร่นมาจากตอนใต้ของจีน จนมาอยู่ในเขตรอยต่อไทยพม่า และมีความผูกพันกับพรรคก๊กมินตั๋ง หรือ พรรค KMT มายาวนาน ในยามที่พรรค KMT เรืองอำนาจก็มีการช่วยเหลือเกื้อกูลตามสมควร แต่รัฐไทยเองก็พยายามกำกับความเคลื่อนไหวของพวกเขา และเคยแม้กระทั่ง “ใช้” พวกเขาสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาแล้ว

      ในปัจจุบัน กลายเป็นว่ารัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เองพยายามเข้ามามีบทบาทในการผูกใจของลูกหลานจีนพลัดถิ่นเหล่านี้ผ่านหลักสูตรภาษาจีน ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าพรรค KMT ถอนร่นไปยังเกาะไต้หวัน การศึกษาภาษาจีนตามแบบไต้หวันก็เป็นระบบหนึ่ง การศึกษาภาษาจีนในแผ่นดินใหญ่ก็เป็นอีกระบบหนึ่ง การแทรกซึมผ่านนโยบาย “เฉียวป้าน” จึงน่าสนใจมาก สำหรับคนที่สนใจเรื่องอิทธิพลจีนในอาเซียน

       อาจารย์อรัญญาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาฟังด้วยความน่าสนใจและมีคนสนใจไต่ถามมากมาย

ส่วนผมเองนอกจากจะทึ่งในเรื่องการเก็บข้อมูลแล้วยังสนใจเรื่องความทรงจำของลูกหลานกองพล 93 ว่าพวกเขาสนใจประวัติศาสตร์ของบรรพชนอย่างไร ปัจจุบันน่าจะเข้าสู่รุ่นที่สามหรือสี่แล้ว ความทรงจำที่พวกเขามีต่อแดนเกิดของบรรพชนจะเป็นอย่างไร ยังอยากกลับไปหรือมองว่าตัวเองน่าจะเชื่อมโยงกับไต้หวันมากกว่าแผ่นดินใหญ่ อนาคตของพวกเขาอยากอยู่กับรัฐไทยแค่ไหน เป็นต้น

       ส่วนงานของอาจารย์ปิ่นแก้วเป็นเรื่องการจัดประเภทของบัตรประจำตัวบุคคลในประเทศไทย การจัดบุคคลแบ่งประเภทเป็นผู้ถือบัตรประชาชน บัตรชาวเขา เป็นต้น ในเรื่องนี้ผมจำอะไรไม่ได้มากนักเพราะมีอาการป่วยเล็กน้อย กึ่งหลับกึ่งตื่น จึงไม่สามารถจับใจความสำคัญได้ตลอด แต่โดยรวมแล้วได้รับความสนใจจากผู้ฟังทั้งสามท่าน

       งานวิชาการทั้งสามเรื่องเป็นภาพสะท้อนการดิ่งลึกในสนามที่ตัวเองศึกษาเพื่อสะท้อนมุมที่นักวิชาการเห็น และเปรียบเทียบกับข้อมูลชุดอื่นที่ได้จากการศึกษาที่ใช้กรอบความคิดทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างกัน เมื่อได้ขบคิดวิเคราะห์จึงนำเสนอออกมาเป็นงานวิจัยที่แต่ละคนสนใจ

      ในงานของผมเองเป็นเรื่องการศึกษาเรื่องประวัติย่อของคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงในประเทศไทย ซึ่งผมมีประสบการณ์ในฐานะที่เคยเป็นอนุกรรมการ คอป. ที่ตรวจสอบกรณีการเสียชีวิตของคนในพื้นที่บ่อนไก่ สีมและซอยรางน้ำกว่า 53 รายและการเผากรุงเทพกว่า 32 จุด พบว่าการทำงานมีข้อจำกัดมากมายจึงได้ร่วมกับกลุ่มมรสุมชายขอบทำการรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้น และในเวลาต่อมาร่วมกับศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเมษายน- พฤษภาคม 2553 (หรือ ศปช.) จัดทำรายงานออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ

      ผมเลยต้องการศึกษาให้ลึกลงในรายละเอียดว่าการตรวจสอบและค้นหาความจริงในหลักการสากลนั้นเขาทำกันอย่างไร ที่สำเร็จ คือมีความจริงเป็นที่ประจักษ์ยอมรับกันและสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษนั้นเขาเริ่มและมีกระบวนการอย่างไร โดยมองไปที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนและเกาหลีใต้

แต่ก่อนจะเข้าถึงตรงนั้น ผมได้นำเสนอในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของไทยว่า เรามีคณะกรรมการตรวจสอบความจริงอยู่หรือไม่ และผลการทำงานเป็นอย่างไร

       หากมองในแง่มุมประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย มีคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงอยู่สองชุดที่น่าสนใจ ชุดแรกคือคณะกรรมการตรวจสอบว่านายปรีดี พนมยงค์เป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ และชุดที่สองก็คือกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงกรณีสววรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8

      ชุดแรกตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรและมีการนำเสนอรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร ส่วนชุดที่สองตั้งโดยรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ ส่งมอบรายงานต่อองคมนตรี

       นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงภายหลังจากเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอันนำไปสู่การเสียชีวิต บาดเจ็บของประชาชนจำนวนมาก ชุดแรกคือ กรณีพฤษภาคม 2535 แต่ไม่มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบค้นหาความจริง ชุดที่สองคือกรณีตากใบ ชุดที่สามคือกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทั้งสามชุดตั้งโดยรัฐบาล 

       แต่ยังมีกรรมการตรวจสอบกรณีพฤษภาคม 2535 ชุดหนึ่งที่ตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรและส่งรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร และมีการตั้งกรรมการตรวจสอบกรณีสงครามต่อต้านยาเสพติดโดยวุฒิสภา

       ยังมีข้อน่าสังเกตว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการติดตามกรณีผู้สูญหายจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน และนำเสนอให้มีการเยียวยาผู้เสียหายเป็นครั้งแรก และเป็นความสำเร็จขั้นต้นในการที่จะคืนความเป็นธรรมให้ญาติของผู้เสียหาย แม้ค่าตอบแทนเยียวยานั้นไม่มาก และน่าจะเป็นแบบแผนในทางปฏิบัติว่าหากรัฐกระทำเกินกว่าเหตุทำให้เกิดการสูญเสียและสูญหายอันเชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกับความขัดแย้งทางการเมืองก็น่าจะได้รับการเยียวยาในเวลาต่อมา

       แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ปัญหาสำคัญของประเทศไทยก็คือการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง หรือ blanket amnesty ที่มำให้ผู้กระทำผิดลอยนวลปราศจากความรับผิด ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, และพฤษภาคม 2535 ซึ่งรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูรออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมตัวเองก่อนจะลาออก

       กรณี 14 ตุลาคม 2516 ไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ มีเพียงกรณี พฤษภาคม 2535 ที่มีการตั้งคณะกรรมการโดยรัฐบาล ส่วนกรณี 6 ตุลาคม 2519 นั้น มีการตั้งคณะกรรมการฝ่ายนักศึกษาและญาติเพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในแง่ของการแสวงหาผู้รับผิด เพราะมีกฎหมายนิรโทษกรรมในภายหลังจากเหตุการณ์ในยุคพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์

       และยังต้องเข้าใจด้วยว่า ความพยายามเอาใจกองทัพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ออกมาก็เป็นชนวนของการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้สำเร็จในเวลาต่อมา ส่งผลสะเทือนต่อการเมืองไทยจนถึงวันนี้

       เรื่องคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงจึงเป็นเรื่องที่ต้องค้นหาคำตอบต่อไปว่าจะเป็นรูปแบบใด ทำงานแบบใดจึงจะสร้างความปรองดองขึ้นได้อย่างแท้จริง มิใช่เรื่องที่ฝันเอาลมๆ แล้งๆ ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ

 

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
วันนี้ (31 พฤษภาคม) เป็นวันที่ 17 นับจากวันเลือกตั้งจบลง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยังมีเวลาเหลืออีก กว่า 43 วัน ที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างน้อย ร้อยละ 95 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตและบัญชีรายชื่อ เพื่อให่้ระบอบการเมืองเดินไปอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดต
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ช่วงที่พ่อแม่มาอยู่ด้วย ผมจะพาพ่อแม่ไปเที่ยวใกล้บ้าง ไกลบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เพราะการพาคนแก่มาอยู่เมืองที่ไม่มีเพื่อนฝูงที่สนิทกันคงไม่ใช่เรื่องสนุกอาทิตย์ก่อนก็ขับออกไปพุทธมลฑลแล้วไปพระปฐมเจดีย์ วกออกไปทางบ้านแพ้ว ออกมาพระรามสอง ก็เจอรถติดยาว ในสั
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บทความนี้เขียนเร็วๆ จากบทสนทนาในไลน์กลุ่มที่ผู้เขียนเป็นสมาชิก เพื่อตอบคำถามสองส่วน ส่วนแรกคือเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นอยู่กับความได้สัดส่วนระหว่างขีดความสามารถของรัฐกับความคาดหวังจากสังคม ส่วนที่สองคือรัฐกำลังทำผิดรัฐธรรมนูญขึ้นเรื่อยๆ 
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
เมื่อเช้ายังงัวเงียอยู่ (เพราะนอนดึก) มิตรสหายในไลน์กลุ่มก็ชวนคุยว่า จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปทำไม่ ดูอย่างอเมริกาสิ ขนาดเปลี่ยนทรัมป์ออกไปเป็นโจ ไบเด็น ถึงวันนี้คนยังติดโควิดสูง แม้กระทั่งในทำเนียบขาว ผมเลยชวนดีเบตว่าเอาไหม ในที่สุด บทสนทนาก็มาถึงจุดที่ว่า เราไม่ควรเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
 คนเราจะวัดความเป็นรัฐบุรุษที่แท้ได้ก็เมื่อวิกฤตการณ์มาถึง แล้วเขาสนองตอบต่อวิกฤตการณ์นั้นอย่างไร
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ในวันที่ 2 มีนาคม 1757 (2300) เดเมียนส์ผู้ปลงพระชนม์ถูกตัดสินว่าให้ "กระทำการสารภาพผิด (amende honorable) หน้าประตูอาสนวิหารแห่งปารีส" เป็นที่ซึ่งเขาจะถูกเอาตัวไปและส่งไปกับล้อเลื่อน โดยสวมแต่เพียงเสื้อเชิ้ต ถือคบเพลิงที่มีขี้ผึ้งเป็นเชื้อหนังสองปอนด์ (ราว 1 กิโลกรัม) จากนั้นเขาจะถูกนำตัวไปบนล้อเ