นี่ก็ใกล้เทศกาลปลายปี วันคริสต์มาสในวัยเด็กผมและเพื่อนอีกหลายคนจะถูกบราเดอร์จับไปร้องเพลงนี้กับเพื่อนๆ ในงานโรงเรียน ใส่ชุดขาวกางเกงขายาวผูกหูกระต่ายแดง แต่สมัยนั้นที่เราทำได้คือซื้อโบว์เลียนแบบหูกระต่ายมากลัดกับคอเสื้อ
เพลงที่เลือก เป็นเพลงตามใจบราเดอร์อันโตนีโอ มารีอา นักบวชคาธอลิคชาวสเปนที่มาอยู่เมืองไทยรับใช้พระเจ้าจนสิ้นลมที่เชียงใหม่ ในช่วงท้ายบราเดอร์เปลี่ยนสัญชาติไทยและมีชื่อว่า ภราดาอนุรักษ์ วาทยกร
ผมยังจำชั่วโมง Sound Lab ได้ดี เพราะบราเดอร์มุ่งมั่นกับการให้เราออกเสียงชัดถ้อยคำเอามากๆ
นึกภาพเด็กหลายร้อยคน ต้องร้องเพลงซ้ำตามฝรั่งที่ออกเสียงเหน่อๆ ให้เราร้องตามแล้วบอกว่าพวกเราสะกด หรือออกเสียงไม่ชัดได้มั้ยครับ นั่นแหละ มีบางเพลงที่ผมไม่ชอบ แต่เป็นเพลงที่บราเดอร์เลือก ก็ร้องๆ ไป หลายเพลงที่จำไม่ได้แล้ว แต่มีเพลงหนึ่งที่ปลิวหายไปตามกาลเวลา แต่บางครั้งมันผุดมาให้ชื่นใจและเข้าใจความสุขว่าคืออะไร โดยเฉพาะท่อนที่ว่า
"remember you loved me when we were young one day"
ผมเชื่อว่านี่เป็นเพลงโปรดเพลงหนึ่งของบราเดอร์ที่เคารพท่านนั้น
ความทรงจำของคนเราเป็นเรื่องที่แปลกและยากจะเข้าใจ เพราะบางเรื่องแม้เพียรจะลืมก็กลับจำฝังใจ บางเรื่องพยายามจะจดจำแต่พร่าเลือนไป มีบางครั้งที่ลิ้นชักของสมองจะเปิดแง้มออกมาให้ได้รำลึก
ในยามค่ำคืนของโตเกียวไกไดเงียบสงัดเอามากๆ แม้จะมีเสียงปาร์ตี้จากตึกนักศึกษาบ้าง แต่โดยรวมเรียกได้ว่าผมพบปะเพื่อนบ้านน้อยมาก ตั้งแต่ฝนพรำเมื่อปลายฤดูร้อนจนถึงบัดนี้ผมไม่เคยพบเพื่อนข้างห้องเลย ส่วนเพื่อนร่วมหอพักนั้นแทบจะไม่พบเลย ถึงแม้ว่าจะเปิดภาคการศึกษามาแล้วระยะหนึ่งก็ตาม
อาคารที่ผมอยู่เป็นอาคาร 6 ชั้น มีลิฟต์อำนวยความสะดวก มีการคัดแยกขยะตามประเภทต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและทิ้งขยะ ผังอาคารเป็นไปง่ายๆ และแข็งแรงมากๆ
ในวันเสาร์ที่ 12 กันยายน ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ผมเข้ามาพักอาศัยก็มีแผ่นดินไหวระดับ 5.2 ริกเตอร์ ตั้งแต่เช้าตรู่ ผมสลึมสลือมองเพดาน พร้อมๆ กับเสียงเขย่าอาคารดังกึกกักๆ แม้เตียงที่นอนอยู่ก็โยกไหวไปตามแรงสั่นสะเทือน เป็นครั้งแรกที่เผชิญกับแผ่นดินไหวตรงๆ มองไปที่เพดานยังเหมือนสั่นไหวไปด้วย กว่าจะคิดได้ว่าต้องหาที่กำบัง ไม่ใช่นอนบนเตียงอย่างนี้ แผ่นดินไหวก็หยุดลง ขณะเดียวกันก็ไม่มีสัญญาณว่ามีใครหนีออกไปข้างล่างหอพัก แน่นอนว่าช่วงดังกล่าวเป็นช่วงปิดภาคเรียน จึงไม่มีผู้อาศัย แม้กระทั่งดวงไฟตามรายทางยังปิดเอาไว้ จนกระทั่งเปิดภาคเรียนจึงมีดวงไฟส่องสว่างตามทาง
ความเงียบสงัดอย่างนี้ช่วยให้ผมขบคิดอะไรได้มากทีเดียว แม้จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วมากๆ ในปริมาณงานที่เยอะกว่าสองสามเท่าตัว และมีงานเพอ่มเติมจากที่คาดเอาไว้ไม่น้อย แต่ผมเชื่อมั่นว่าสามารถจัดการตัวเองได้ จึงรับปากทำงานวิชาการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยดังที่บอกไปข้างต้น
ในเดือนที่สองและสามจึงเป็นเดือนที่ต้องทำงานหนัก และพยายามนึกถึงขีดจำกัดเรื่องเวลาและเอกสารอย่างมาก
แม้จะยุ่งเอามากๆ แต่ผมถือว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น การเดินทางเพื่อเรียนรู้จึงเกิดขึ้นอยู่ตลอด เช่นเดียวกับทริปไปเมืองทากายามา (Takayama) ซึ่งหลังจากการ reunion ที่เกียวโต เพื่อนผมเสนอว่าเราควรพบกันอีกครั้งก่อนผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งจะกลับเมืองไทย เขาวางแผนให้เราเดินทางมาพบกันที่เมืองทากายามา ซึ่งห่างจากโตเกียวไปราว 5:30 ชั่วโมง โดยรถบัส ซึ่งหากเดินทางโดยรถไฟชินคันเซ็นจะเร็วกว่าแต่ต้องต่อรถไฟสองสามต่อและราคาแพงกว่าหนึ่งเท่าตัว ผลการคำนวณทำให้ผมไม่ลำบากใจในการตัดสินใจเลย เพราะเรามีเวลาสองวันหนึ่งคืน อย่างน้อยก็หนึ่งวันเต็มๆ ผมเลยไม่ต้องคิดมากนอกจากจะเดินทางไปจองตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางไปทาคายามาจากสถานีรถบัสชินจุกุ ซึ่งดูแล้วสะดวกสบาย ที่ใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงครึ่งก็เพราะทุกชั่วโมงครึ่ง จะมีการหยุดพักที่สถานีระหว่างทางราวสิบนาทีให้เราได้ซื้อขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม เบียร์ อาหารกล่อง (เบนโตะ) หรือสูบบุหรี่ บางสถานีพักก็มีน้ำแร่ให้แช่เท้าก็มี
ผมนั่งรถบัสจากสถานีชินจุกุตั้งแต่เก้าโมงเช้า ไปถึงที่ทาคายามาราวสามโมงเย็น รถบัสแล่นไปในความเร็วที่ค่อนข้างคงที่ และคนขับจะแวะรับผู้โดยสารตามจุดสำคัญ บางจุดเป็นไฮเวย์ที่มีเพียงบัสสต็อปให้เห็น แต่ผู้โดยสารต้องเดินขึ้นบันไดจากไหล่ทางมาที่ข้างถนนไฮเวย์ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับผม เพราะรถบัสระหว่างเมืองในอเมริกาจะหยุดตามสถานีเป็นจุดๆ ไม่ใช่ข้างทางแบบนี้ ดูๆ ไปเป็นอารมณ์แบบเมืองไทยสมัยก่อนเหมือนกัน
รถค่อยๆ แล่นออกจากตัวเมือง จากตึกรามบ้านช่อง ก็เริ่มคดเคี้ยวเห็นป่าเขามากขึ้น มีทะเลสบาขนาดเล็ก มีป่าที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิง จึงมีสีสันมากจากเขียวสด เขียวเข้ม จนถึงแดง เหลือง น้ำตาล
เมื่อรถบัสเริ่มไต่ความสูงขึ้นเรื่อยๆ ข้างทางก็เป็นหุบเหว บ้างก็มีลำธารไหลผ่าน ผมสังเกตเห็นไอร้อนจากลำธารลอยขึ้นเป็นม่านบางๆ เหนือสายน้ำ มีกลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาปะทะความรู้สึก
บางจุดเป็นโตรกผา มีน้ำซับไหลเรื่อยเอื่อยลงมาเป็นลำธาร ช่างน่าแวะพักเอาเท้าแช่น้ำเอามากๆ
ผมฟังเพลงจากไอพ็อดที่พกมาด้วยและคิดถึงลิ้นชักความทรงจำ คิดถึงงานที่ต้องทำ คิดถึงการแก้ปัญหาวิจัยที่ค้างๆ อยู่
บางช่วงรถแล่นข้ามสะพานแคบๆ บางช่วงเป็นโค้งหักศอก เมื่อพ้นช่วงของทางราบก็เริ่มเข้าเขตหุบเขา บางจุดเป็นสะพานสูงเมื่อมองลงไปเห็นหุบเหวลึกก็มี ต้องมีพนักงานกำกับการจราจรเพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุ แม้ในยามกลับซึ่งมือค่ำแล้วผมยังเห็นพนักงานที่จุดนี้คอยอำนวยความสะดวก
แต่ที่น่าสนใจก็คือการขับรถบัสเข้าอุโมงค์แคบๆ บางทีคนขับรถต้องค่อยๆ ประคองรถ รอให้รถฝั่งตรงข้ามได้ผ่านมาเสียก่อนจึงค่อยเดินหน้าไป และต้องคอยหักหลบรถที่สวนมา แต่ลองนึกถึงภาพอุโมงที่พอดีกับรถสวนสองคัน และอุโมงค์ก็คือทางรถที่ขุดผ่านภูเขาบางช่วงยาว บางช่วงสั้น แต่ความโค้งของขอบอุโมงค์ทำให้การขับขี่รถบัสต้องคอยระวังมุมซ้ายบนของรถไม่ให้ไปครูดหรือชนกับขอบโค้งของอุโมงค์ทุกแห่ง
มีตอนหนึ่งที่ผมอัศจรรย์ใจมากที่สุดก็คือการเดินทางลอดอุโมงค์ที่คนขับเหมือนจะยังไม่ชินทาง ต้องรอให้รถในฝ่ังตรงข้ามสวนมาเสียก่อน แล้วจึงเดินหน้า คนขับรถหยุดรถรออย่างใจเย็นและเปิดไฟสูงเตือนฝ่ายตรงข้ามเป็นระยะว่ารถบัสกำลังสวนทางไป
ในขณะที่รถผ่านความมืดมิดของอุโมงค์ ที่ปลายอุโมงค์ก็มีแสงสว่างรออยู่ ณ จุดหนึ่งหลังจากพ้นอุโมงค์ ผมพบอ่างเก็บกักน้ำขนาดใหญ่และนิ่งเงียบจนสะท้อนภูเขาและต้นไม้ ดั่งเกาะกลางมหาสมุทร เป็นภาพที่อัศจรรย์ใจมากๆ
ท้องฟ้ามีเมฆคลุมและสายหมอกโรยตัว มีท้องน้ำกว้างใหญ่สีเขียวคราม ภูเขาเขียวขจี สะท้อนเงาของมันในผืนน้ำแนบแน่นเป็นหนึ่ง เหมือนกับฟ้าและดิน นรกและสวรรค์ได้มาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวและแยกไม่ออก
ผมตะลึงกับความงามเบื้องซ้ายมือ ขณะที่รถยังแล่นด้วยความเร็วคงที่ จึงทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพประทับใจนั้นเอาไว้ว่า
ณ จุดหนึ่ง สถานที่หนึ่งของเวลา ผมพบการบรรจบของฟ้า น้ำ ดิน
ห้วงหนึ่งในนาทีนั้น เสียงเพลงท่อนนี้แว่วมาให้ยลยิน
"remember you loved me when we were young one day"
(หมายเหตุ: เพลงประกอบ: https://www.youtube.com/watch?v=pCICFxJXHR8 ;
https://www.youtube.com/watch?v=2ujWwO5p-Vg)