แม้กระนั้น การประนีประนอมนี้ก็ไม่ทำให้สภาพการณ์ดีขึ้น - ไพร่ ซึ่งเป็น "แรงงานสำคัญในระบอบศักดินา" มีปริมาณน้อยลงน่าวิตกอย่างถึงขีดสุดในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในเมืองก็เหลือแต่ทาสซึ่งไม่ใช่ "แรงงาน" ของระบบ (ไพร่ก็หนีซุกซ่อนตามป่า จะจับก็จับตัวไม่ได้เพราะซ่องสุมกำลังกันเยอะ ร.๓ ออกประกาศให้เลิกซ่องเสีย ก็ปราบไม่สำเร็จ หรือไม่ก็หนีไปบวช หรือขายตัวไปเป็นทาส) กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ในระบบไพร่ทาส ถ้าคุณไม่มีไพร่ ก็ไม่มีแรงงาน ในเมืองเหลือแต่ทาส ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการผลิตและไม่ก่อรายได้ทางภาษี มีทาสก็หมดเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ รับใช้นายเงินเท่านั้น และทาสก็ขึ้นกับนายเงินอย่างเดียว(ในความสัมพันธ์ทางหนี้) ไม่ได้ขึ้นต่อมูลนายสูงสุด คือ กษัตริย์ (อย่างเช่นไพร่)
นั่นหมายความว่า ในทางข้อเท็จจริง ระบบไพร่-ทาส มันอยู่ไม่ได้โดยปัญหาโครงสร้างของ "สถาบันไพร่" อยู่แล้วน่ะครับ เป็นปัญหามาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ บ้างเมืองรกร้าง คนหนีเข้าป่า มีมาเฟีย(มูลนายผู้มีอิทธิพล)ช่วยเหลือพวกไพร่หนีเข้าป่าแลกกับการเก็บของ ป่าส่งส่วยให้มาเฟีย - ส่งผลกระทบต่อการขาดแรงงานทั้งระบบครับ และการเปิดการค้าเสรีและทลายการผูกขาดการค้า(อันเนื่องมาจากสนธิสัญญา เบาว์ริ่ง) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งเช่นกันที่ทำให้ต้องเพิ่มการผลิต อีกทั้งความเข้าใจผิดในข้อสัญญาระหว่างประเทศที่ไปทำกับนานาชาติ (นักประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบันก็อ่านสัญญาระหว่างประเทศฉบับนี้โดยเข้าใจผิด เนื่องจากไม่รู้วิธีพิจารณาผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ จากเงื่อนไขในอนุมาตราต่างๆของข้อตกลง) และส่งผลให้เกิดทหารแยกพลเรือนขึ้นจากความเข้าใจผิดครั้งนั้น ฯลฯ
การจะสร้าง modern state มันต้องการ "คน" หากปล่อยให้สภาพการณ์ดำรงระบบไพร่-ทาส คนก็จะหนีเข้าป่า เมืองจะร้าง ไม่มีสรรพกำลังที่จะเป็นมือเท้ารับใช้พวกเจ้าอีกต่อไป (การเป็นทาสนั้นสบายกว่าการเป็นไพร่ เพราะทาสนั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีครับ แม้จะมีศักดินาต่ำสุด แต่ความเป็นอยู่นั้นดีกว่าไพร่ สถานะ "ไพร่" เนี่ยคนไม่อยากเป็นกันหรอก ไพร่หนีสถานะนี้ไปขายตัวเป็นทาสหมด เพราะไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน จนต้องมีกฎหมายห้ามขายตัวเป็นทาส - แม้เมื่อเลิกทาสแล้ว จึงยังมีคนจำนวนนึงที่ยังอยากเป็นทาสอยู่ เพราะสบาย อยู่แบบคนใช้ในครัวเรือนนี่เอง ไม่ต้องไปแบกหาม ใช้แรงงานหลายๆเดือนแบบไพร่ ไม่ต้องส่งส่วยอีกต่างหาก ไม่ต้องเสียภาษี เพราะทาสคือทรัพย์ - เหมือนสัตว์ เขาไม่เก็บเงินจากเดรัจฉานกัน)
สรุป รัชกาลที่ ๕ มาประกาศเลิกทาส ก็เมื่อ "ตลาดวาย" ไปเสียแล้ว เพราะในความเป็นจริง รัชกาลที่ ๕ ก็คุมไพร่ไม่อยู่ เมื่อไม่มีไพร่ ราชสำนักก็อยู่ไม่ได้(ขาดแรงงานอย่างยิ่งยวด) ระบบไพร่และทาส มันจึงต้องพินาศโดยตัวโครงสร้างของมันเอง - เมื่อดึงไพร่ออกจากระบบ ก็เหลือแต่ "ทาส" ซึ่งรับใช้แต่นายเงิน ไม่เป็นปัจจัยการผลิต ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ใช่ทหารในยามปกติ ซึ่งทหารหรือไพร่จะเป็นกำลังสำคัญในการแสดงออกถึงอำนาจ (อำนาจแบบดิบๆ รวมศูนย์โดยกำจัดอิทธิพลท้องถิ่น ต้องมีอาวุธ มีคนเยอะๆ ให้อำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง) ในการสร้างรัฐสมัยใหม่ เมื่อทาสไร้ประโยชน์เสียเช่นนี้ก็ต้องยกเลิกทาส แล้วให้ทุกคนเปลี่ยนจากตีทะเบียนเลกทะเบียนทาส มาตีทะเบียนราษฎร แทน ทุกคนขึ้นตรงต่อกษัตริย์ทั้งหมด ไม่มีมูลนายกลุ่มอิทธิพลอื่นใดอีกต่อไป พวกไพร่เดิมก็ออกมาจากป่า เพราะไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานทีละหลายๆเดือนอีกแล้ว และต่อแต่นั้นการทำงานก็เพิ่งจะเริ่มระบบ "เงินเดือน" เพื่อจูงใจให้คนออกจากป่าเข้ามาทำงานในเมือง คือ การทำงาน ต้องได้ค่าตอบแทน นี่เป็นธรรมเนียมใหม่ ให้คนยอมกลับเข้าเมืองอีกครั้ง (ก่อนหน้านั้น ไพร่ทำงานฟรี ไม่มีเงินเดือนให้ ไม่มีค่าตอบแทน - สัญญาจ้างแรงงานในระบบไพร่จึงไม่มีความสำคัญในระบบกฎหมาย - ทั้งนี้การใช้แรงงานฟรีๆ ก็แลกกับความคุ้มครองตามกฎหมายตราสามดวง ครับ ถ้าคุณไม่ตีทะเบียนเป็นไพร่ คุณก็จะเป็นพวกจรจัด กฎหมายตราสามดวงไม่คุ้มครองให้ ใครจะฆ่าจะแกงคนจรจัด ก็ไม่ผิดกฎหมาย และถ้าคนจรจัดถูกราชการจับได้ ก็จะถูกส่งเป็น ไพร่หลวง/พวกเกณฑ์แรงงานหนักเดนตาย)
ร.๕ ไม่ได้เลิกทาสด้วยความเมตตากรุณาหรอก ไม่ใช่เพราะมองการณ์ไกลด้วย แต่กลไกของระบบไพร่-ทาส มันไปต่อไม่ได้จริงๆ น่ะ เรื้อรังมาสามรัชกาลแล้วล่ะครับ และเป็นการประกาศแบบตลาดวายแล้วด้วย พวกทาสเองก็รักสบาย ไม่อยากทำงาน ถนัดกับการเกาะเจ้านายเงิน เลี้ยงดูจนตาย เรื่องราวมันก็เป็นแบบนี้.