Skip to main content

สวัสดีครับพี่...


ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...


ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา


หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม


มันเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ นะ ที่ไม่อาจอธิบายความรู้สึกนี้ได้มากไปกว่าเรื่องราวของความผูกพัน ที่เราเคยเดินเคียงกันสร้างสรรค์งาน เที่ยว และดื่มกินร่วมกัน อันที่จริงมีเรื่องราวระหว่างเราเกิดขึ้นมากมายจนผมแทบจำไม่ได้ว่า เหตุการณ์ไหนเกิดก่อนหลัง และบางเหตุการณ์ยังรู้สึกเหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง


พี่บีครับ บ่อยครั้งไป ผมยืนมองรูปถ่ายพี่ ที่ติดอยู่บนผนังบ้านร่วมกับรูปถ่ยของพี่ ๆ คนอื่น ๆ ซึ่งผมถ่ายไว้เมื่อครั้งที่เราพบกันในงานเครือข่ายกวี-นักเขียนภาคใต้ช่วงปี 2550 ก่อนข่าวการจากไปของพี่บีไม่กี่เดือน ดวงตาพี่บียังมีวาวแสงบางอย่างคอยกระตุ้นให้ผมเดินไปข้างหน้าเสมอ โดยเฉพาะเรื่องของการอ่านการเขียนซึ่งเข้ามากลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของผมแล้ว ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี เป็นวันที่เราคุยกันเรื่องประชาคมวรรณกรรมที่บ้านของผมบนเกาะยอจนค่อนสว่างก่อนจะมีปรากฎการณ์กลุ่มกวี-นักเขียนออกมาตั้งข้อสังเกตการณ์ทำงานของคณะกรรมการคัดสรรหนังสือรางวัลซีไรต์ ซึ่งเราหลายคนยกความตั้งใจและความกล้าหาญในการแสดงความคิดเห็นนั้นให้กับพี่อย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยใด


จริง ๆ นะครับพี่ ทุกครั้งที่เรา(กลุ่มคลื่นใหม่)มีโอกาสได้พบปะกัน ก็จะมีเรื่องราวของพี่เข้ามาพูดคุยด้วยทุกครั้ง ผมพูดแทนพี่ ๆ คนอื่น ๆได้อย่างสบายว่าเราคิดถึงพี่จริง ๆ และหลายครั้งที่เรายังรู้สึกว่าพี่ยังอยู่ที่นี่แม้แท้จริงแล้วตัวพี่ไม่อยู่แล้ว อย่าโกรธนะครับที่บางทีเรื่องราวของพี่ในวงสนทนาของเราจะออกไปในเรื่องตลก(เสียมาก) ก็เหมือนเดิมแหละครับ คนไม่อยู่ก็จะต้องโดนพูดถึง(นินทา)เป็นธรรมดา


หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นจริง ๆ นะครับ สุดท้ายนี้ผมคงต้องบอกพี่อีกครั้งว่าเราคิดถึงพี่ และหวังว่าคงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง


ด้วยความคิดถึง

ปรเมศวร์ กาแก้ว

ทุ่งลานโย, ป่าพะยอม-พัทลุง


  

จเรวัฒน์ เจริญรูป (กวีบีของพี่น้องกวี-นักเขียน)


กวีบีในคืนพูดคุยของประชาคมวรรณกรรมที่บ้านของปรเมศวร์ กาแก้ว (เกาะยอ-สงขลา)

ภาพจากมุมด้านล่างขวามือ 1.นก ปักษนาวิน 2.วรภ วรภา(หันหลัง) 3.สิริโสภณ(กวีเนิส)
4.
จเรวัฒน์ เจริญรูป 5.จู พเนจร 6.รมณา โรชา 7.กร ศิริวัฒโณ
8.
สาทร ดิษฐสุวรรณ(ผมขาว) 9. กานติ ณ ศรัทธา


หมายเหตุ...ปรเมศวร์ ถ่ายภาพ และยังมีสมาชิกวงสนทนาอีกหลายคนจับกลุ่มคุยกันอยู่หลังช่างภาพในคืนนั้น



บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
พ่อกับแม่กลับบ้านไปหลายวันแล้ว  ผมกับบ่าวปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ และสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ดีมากขึ้น ไอ้หมีกับไอ้ตาลก็คุ้นเคยกับเราดี ไม่เห่าคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้าเหมือนเก่าแดดเช้าสาดสีขาวจากขอบฟ้า ไก่ขันแจ้วๆ ตอบกันเหนือยุ้งข้าวมาแต่ไกล ย่าปลุกเราตั้งแต่เช้าขณะที่ลมอุ่นแห่งท้องทุ่งกำลังพัดโบยหมอกเช้า  เรางัวเงียพลิกตัวไปมาก่อนลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน “บ่าวๆ ๆ ๆ น้องๆๆ”  จ้อยมาตามเราตั้งแต่เช้า“วันนี้ที่ศาลาจะมีการประชันตอกลูกยาง ไปกันนะ ต้องสนุกแน่ๆ”  จ้อยชวน“ไปๆๆ ไอ้เสือสมิงของผมต้องชนะแน่ๆ”…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม่ของบอยออกไปนาตั้งแต่เช้า พร้อมกับที่พ่อกับแม่ของผมกลับบ้านไปพอดี  เมื่อคืนเรานอนกันที่บ้านของบอยจึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย  บ่าวกับผมเล่าเรื่องของเล่นสนุกๆ ให้บอยฟัง โดยเฉพาะเรื่องวีดีโอเกม คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต บอยนั่งฟังตาโตเป็นไข่ห่าน  ผมกับบ่าวก็สนุกกับเรื่องราวกลาง
ปรเมศวร์ กาแก้ว
“สาวไปไหน”พ่อหมายถึงอาของผม  ก็น้องสาวของพ่อนั่นเอง  คนปักษ์ใต้นิยมเรียกพี่หรือน้องสาวของตัวเองว่าสาว  อาของผมจึงมีชื่อว่าสาวตั้งแต่นั้นย่าบอกว่าอาสาวออกไปนาตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาหรอก  ส่วนเจ้าบอยก็ตามไปด้วย“เดี๋ยวก็ขึ้นเที่ยง”ย่าหมายความว่าสักครู่ตะวันตรงหัว  อาสาวก็กลับมาพักเที่ยง  กินข้าวกินปลาที่บ้าน  แล้วก็ลงนาต่อในตอนบ่าย   บางวันที่อาสาวนำข้าวห่อไปด้วย  ขนำกลางทุ่งข้างต้นม่วงก็เป็นที่พักหลบแดดเที่ยงได้อย่างดีไอ้หมีกับไอ้ตาลเห่าลั่นดังไปรอบบ้าน  มันกระดิกหางเล่นอยู่วุ่นวาย  ผมเห็นหญิงวัยกลางคนเดินนำเด็กชายตัวเล็กมาแต่ไกล…