Skip to main content

บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้น

อีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกัน

เด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่ และที่นั่นแหละคือจุดหมายของเรา

“เก็บทางมะพร้าวนั่นไว้สิ  เลือกอันที่มีเขาสวยๆ นะ” บอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเมื่อเห็นผมทำท่าสงสัยเรื่องทางมะพร้าว
“เขา?”
“เขาอะไรกัน?”
“ก็ส่วนโค้งๆ ที่ตรงนั้นไงล่ะ”
  บอยชี้นิ้วไปที่ทางมะพร้าวตรงโคนต้นก่อนหันมายิ้มให้อีกครั้ง
“ได้แล้วๆๆ ฉันได้วัวแล้ว”  จ้อยเป็นคนแรกที่เลือกได้
“นี่มันทางมะพร้าว จะเป็นวัวได้ไง”
“นี่แหละวัวที่ขาวพูดถึง”
จ้อยเปรยขึ้นแล้วเราก็หัวเราะครื้นเครงกัน

เราเดินเลือกวัวทางมะพร้าวไว้ได้คนละ 2 ตัว บอยชี้แนะเราถึงวิธีเล่นและอธิบายรูปลักษณ์ของวัวทางมะพร้าวให้เราหมดเปลือก ในรอยยิ้มของบอยอิ่มเอิบบอกเราว่าส่วนโค้งว้าวที่กาบเราให้มันเป็นเขากะยาวลงมาสัก 2 ฟุตให้มันเป็นลำตัวแล้วตัดออก เจาะรูผูกเชือกตรงส่วนหัวใช้ลากพุ่งด้วยความเร็วให้ชนกันเชือกของฝ่ายใดขาดก็แพ้ ประหนึ่งเหมือนกีฬาวัวชน กีฬาพื้นบ้านทางภาคใต้ที่นิยมเล่นกันนั่นเอง

บ่าวกับน้องยิ้มแล้วหันมามองหน้ากันเมื่อบอยเล่าจบ ทั้งสองจินตนาการถึงความสนุกก่อนลงมือเล่นต้วยตัวเอง จ้อยกับแดงมองมายังวัวชนของผมกับบ่าวแล้วชวนกันเดินต่อ  ลมบ่ายในสวนมะพร้าวก่อนถึงบ้านของขาวพัดพลิ้ว ก๊วนของเราเจอขาวกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ เมื่อเดินเลยสวนมะพร้าวออกมาไม่ไกลนัก ทุกคนมีวัวชนเป็นของตัวเองคนละ 2 ตัว ขาวหาเชือกย่านนางยื่นให้สมาชิกทุกคนควั่นไว้เป็นสายลาก ส่วนแดงอาสาทำให้ผมกับบ่าวอย่างเต็มใจ

เพื่อนเจ้าถิ่นของแบ่งคู่ชนกันอย่างยุติธรรมไม่ให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบได้เปรียบ
“บอยกับเปียเป็นคู่ที่หนึ่ง แดงกับจุก จ้อยกับบ่าว ส่วนผมกับน้องเป็นคู่ปิดท้าย” ขาวประกาศบอกคิวกันแข่งขัน

ความตื่นเต้นของผมทวีขึ้นกว่าเล่นลูกยางเมื่อเช้าเสียอีก บ่าวชวนผมลองซ้อมวิ่งพุ่งสวนทางเพื่อให้ชนกันดูแต่วัวของเราก็ไม่ชนกันเสียที เพื่อนๆ ต่างก็หัวเราะในท่าทีเก้ๆ กังๆ ของเราสองพี่น้อง
“ตอนใกล้ถึงกันก็ใช้แรงเหวี่ยงมันหน่อยสิ” แดงแนะนำ
“เดี๋ยวลองใหม่นะน้อง” บ่าวชวนลองกันใหม่อีกครั้ง

คราวนี้เราตั้งใจกันเป็นพิเศษ มือขวาของผมกุมเชือกย่านนางที่ผูกควั่นหัววัวไว้แน่นแล้วพาวัววิ่งออกไป บ่าวเองก็ทำเช่นกัน ครั้งนี้วัวของเราชนกันหัวขวิดหัวตุงดูแล้วน่าขัน  ผมซุดตัวนั่งลงหัวเราะจนเจ็บท้องเมื่อวัวของตัวเองคว่ำไปไม่เป็นท่าทั้งๆ ที่เป็นแค่การซ้อมเท่านั้น
“ชนแล้วๆๆ” บ่าวกระโดดโหยงอย่างสนุกสนานในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็หัวเราะอยู่เช่นเดียวกัน

ในฐานะเจ้าบ้าน ขาวเร่งให้ทุกคนเอาจริงกันได้แล้ว จากนั้นเด็กๆ จึงพาวัวของตัวเองวิ่งชนกันอย่างสนุกสนานใกล้ๆ กับสวนมะพร้าวข้างบ้านของขาว  จนท้องฟ้าฟากตะวันตกเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมๆ กับที่เราต่างก็เหนื่อยล้ากันพอดี

ขณะที่ดวงอาทิตย์หลบหลืบอยู่หลังเขาพอมองเห็นได้เพียงครึ่งดวง บอยชวนเรากลับบ้านเพราะยังต้องใช้เวลาเดินกันต่ออีก
“ชนวัวสนุกมั๊ย” บอยถาม
“สนุกสิ...ที่บ้านเราไม่มีหรอก”
“วันกลับบ้านผมจะเอาวัวกลับไปด้วย”
แล้วทั้งก๊วนก็หัวเราะกันลั่นถนน

ฟ้าเริ่มมืดเส้นทางเริ่มลางเลือนเราตัดสินใจลาขาวกับเพื่อนที่เดินมาส่งถึงริมถนนสายหลักของหมู่บ้าน  ผมกับบ่าวไม่ยอมรามือออกจากเชือกย่านนางที่จูงวัวไว้ หัววัวของผมเยินจนดูไม่ได้ในขณะที่ของบ่าวไม่เยินมากนัก  บนเส้นทางเราหัวเราะกันสนุกสนาน บนต้นโพธิ์ข้างศาลากลางหมู่บ้านเจี๊ยวจ๊าวไปด้วยเสียงนกเอี้ยงฝูงใหญ่ที่ยึดต้นโพธิ์แห่งนี้เป็นที่หลับนอนมานาน  

เมื่อแดงกับจ้อยขอตัวแยกกลับบ้านไปก่อนเมื่อเราผ่านถึงศาลากลางหมู่บ้านก็เหลือเพียงแต่เรา 3 คนพี่น้อง เราหัวเราะเฮกันอีกครั้งเมื่อท้องของบ่าวปล่อยเสียงประท้องออกมาด้วยความหิว
“เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว  วันนี้มีต้มส้มที่น้องชอบด้วย ย่าบอกว่าจะทำให้”
บ่าวกับผมเริ่มน้ำลายไหลเมื่อบอยพูดถึงต้มส้มของย่า

เราทั้งสามผูกวัวไว้ที่ใต้บันไดทางขึ้น  ล้างเท้าล้างมือแล้วเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกัน
“มาแล้วเหรอเจ้าตัวยุ่ง” ย่าหมายถึงบอยที่ไม่ค่อยได้อยู่นิ่งเหมือนคนอื่น
“ครับ...วันนี้ไปเที่ยวหมู่บ้านข้างๆ ด้วย ไปชนวัว”

ปู่หัวเราะลั่นบ้าน แล้วยิ้มให้เราอย่างเอ็นดู
“เป็นไงล่ะเจ้าหนู  วัวชนมันดุหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ของผมแพ้เขาทุกที”

ผมยิ้มตอบให้ปู่แล้วเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำ

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
พ่อกับแม่กลับบ้านไปหลายวันแล้ว  ผมกับบ่าวปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ และสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ดีมากขึ้น ไอ้หมีกับไอ้ตาลก็คุ้นเคยกับเราดี ไม่เห่าคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้าเหมือนเก่าแดดเช้าสาดสีขาวจากขอบฟ้า ไก่ขันแจ้วๆ ตอบกันเหนือยุ้งข้าวมาแต่ไกล ย่าปลุกเราตั้งแต่เช้าขณะที่ลมอุ่นแห่งท้องทุ่งกำลังพัดโบยหมอกเช้า  เรางัวเงียพลิกตัวไปมาก่อนลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน “บ่าวๆ ๆ ๆ น้องๆๆ”  จ้อยมาตามเราตั้งแต่เช้า“วันนี้ที่ศาลาจะมีการประชันตอกลูกยาง ไปกันนะ ต้องสนุกแน่ๆ”  จ้อยชวน“ไปๆๆ ไอ้เสือสมิงของผมต้องชนะแน่ๆ”…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม่ของบอยออกไปนาตั้งแต่เช้า พร้อมกับที่พ่อกับแม่ของผมกลับบ้านไปพอดี  เมื่อคืนเรานอนกันที่บ้านของบอยจึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย  บ่าวกับผมเล่าเรื่องของเล่นสนุกๆ ให้บอยฟัง โดยเฉพาะเรื่องวีดีโอเกม คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต บอยนั่งฟังตาโตเป็นไข่ห่าน  ผมกับบ่าวก็สนุกกับเรื่องราวกลาง
ปรเมศวร์ กาแก้ว
“สาวไปไหน”พ่อหมายถึงอาของผม  ก็น้องสาวของพ่อนั่นเอง  คนปักษ์ใต้นิยมเรียกพี่หรือน้องสาวของตัวเองว่าสาว  อาของผมจึงมีชื่อว่าสาวตั้งแต่นั้นย่าบอกว่าอาสาวออกไปนาตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาหรอก  ส่วนเจ้าบอยก็ตามไปด้วย“เดี๋ยวก็ขึ้นเที่ยง”ย่าหมายความว่าสักครู่ตะวันตรงหัว  อาสาวก็กลับมาพักเที่ยง  กินข้าวกินปลาที่บ้าน  แล้วก็ลงนาต่อในตอนบ่าย   บางวันที่อาสาวนำข้าวห่อไปด้วย  ขนำกลางทุ่งข้างต้นม่วงก็เป็นที่พักหลบแดดเที่ยงได้อย่างดีไอ้หมีกับไอ้ตาลเห่าลั่นดังไปรอบบ้าน  มันกระดิกหางเล่นอยู่วุ่นวาย  ผมเห็นหญิงวัยกลางคนเดินนำเด็กชายตัวเล็กมาแต่ไกล…