Skip to main content
บ้านฉันไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิงเลยค่ะ แต่หนวกหูมากเหมือนกัน”

ฉันบอกเพื่อนที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่บ้านของเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง หลังจากที่ ฟังเธอบ่นปรับทุกข์ เรื่องเสียงเพลงหนวกหูจากสถานบันเทิง เธอเล่าว่าย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัดได้ไม่นาน ร้านอาหารคาราโอเกะก็มาเปิดข้างบ้าน


บ้านเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง ส่วนบ้านฉันอยู่ใกล้วัดและโรงเรียน จะต่างกันตรงที่ว่า เสียงที่รบกวนเธอในยามค่ำคืนแต่สำหรับฉันมีเสียงรบกวนยามเช้า


บ้านฉันอยู่ใกล้วัดและโรงเรียน น่าจะดีกว่าอยู่ใกล้สถานบันเทิงใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย เสียงดังรบกวนเหมือนกัน


ยามเช้าสำหรับฉัน ถือว่าเป็นช่วงที่มีค่าที่สุด เพราะฉันตื่นเช้าทุกวัน เพื่อทำงานที่บ้าน แต่น้อยคนที่จะรู้ เพราะฉันปฏิเสธการนัดหมายใด ๆ ในตอนเช้า ฉันไม่เดินทางออกจากบ้านไปไหน ไม่รับโทรศัพท์ ใคร ๆ จึงคิดไปเองว่า ฉันตื่นสายฉันคงเขียนหนังสือดึก ซึ่งความจริงแล้ว ฉันแทบไม่ทำงานในยามค่ำคืนเลย


ฉันตื่นก่อนฟ้าสาง ทุกยามเช้าฉันตื่นขึ้นมาเพื่อเขียนหนังสือ เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ฉันจึงหวงเวลายามเช้ามากกว่าเวลาอื่นใด เพราะสำหรับฉันแล้วยามเช้าเป็นช่วงที่ดีที่สุด หากฉันไม่ได้เริ่มยามเช้า ฉันก็จะสูญเสียเวลาไปทั้งวัน แต่ถ้าฉันได้เริ่มงานยามเช้าได้ทุกอย่างก็จะราบรื่น เรียกว่าเริ่มต้นดีอะไร ๆ ก็จะดี พอเที่ยงวันฉันก็ได้หยุดทำงาน ช่วงบ่ายถึงเย็นฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับงานเขียน เช่น ทำความสะอาดบ้าน อาบน้ำหมา คุยกับเพื่อน หรือนัดหมายใคร ๆ ออกไปพูดคุยในยามเย็น


ยามเช้าของฉันจึงเป็นเวลาสำหรับการเขียนหนังสือเท่านั้น แม้แต่อาหารเช้าฉันก็ไม่เสียเวลาที่จะทำ อาหารเช้าของฉันจึงเป็นอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเย็น


แรกฉันคิดว่าเมื่อย้ายมาอยู่ในชนบท ใกล้โรงเรียนใกล้วัด ชีวิตจะสุขสงบ สบาย แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านฉันแค่สี่ห้าร้อยเมตร ส่วนวัดอยู่ห่างออกไปอีกนิดหนึ่ง

 

ก่อนเจ็ดโมงเช้า ทั้งวัดและโรงเรียนแข่งกันใช้เสียง โดยการเปิดเครื่องขยายเสียงดังไปทั่ว ยามเช้ามีเสียงตามสายมาแล้ว ทางวัดก็จะประกาศคณะศรัทธาให้ร่วมบุญ ประกาศของสาธารณสุข ประกาศหมู่บ้าน ประกาศและประกาศ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย เสียงตามสายมาทุกเช้าและไม่มีวันหยุดด้วย ตื่นขึ้นมาก็มีเรื่องประกาศแล้ว บางครั้งเสียงประกาศตามสายก็ทับกับเสียงจากโรงเรียนฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนเสียงโรงเรียนยามเช้า เริ่มจากเสียงเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดี และเพลงอื่น ๆ ประมาณสี่ห้าเพลงและที่บันเทิงกว่านั้นก็คือเสียงครูที่สั่งสอนลูกศิษย์ด้วยเสียงเกรี้ยวกราดอีกประมาณครึ่งชั่วโมง รวมแล้วเสียงดังจากโรงเรียนในยามเช้า ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ และเสียงที่เป็นพิษมากคือเสียงครูสั่งสอนเด็กแบบตำหนิ นี่เป็นวันเวลาปกติที่ไม่มีกิจกรรมพิเศษอะไรแต่ถ้ามีกิจกรรมก็จะเพิ่มช่วงเที่ยงช่วงบ่ายด้วย วัดก็เช่นกันถ้ามีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับวัดก็จะเพิ่มพิเศษไปใช้เสียงเป็นวัน ๆ ก็มี บางครั้งก็แถมช่วงเย็นประกาศว่ามีคนตายและเพื่อบอกให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกปณกิจศพเตรียมเงินไว้ และหัวค่ำก็ฟังสวดกันอย่างทั่วถึง

 

เคยถามข้างบ้านว่า เขารำคาญไหมกับเสียงตามสายในหมู่บ้านหรือเสียงโรงเรียน เขาตอบว่า ชินแล้ว บางครั้งถ้าหนวกหูมาก ๆ ก็ใช้วิธีเปิดเพลงของเราดัง ๆ


ถามเขาว่า เคยสงสัยไหม ทำไมเขาถึงต้องใช้เสียงกันดังขนาดนี้ โรงเรียนน่าจะเปิดเสียงแค่พอได้ยินในโรงเรียนก็พอ เปิดเบา ๆ ก็ได้ และยามเช้าครูควรจะพูดกับเด็กด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ไม่ควรเกรี้ยวกราดตำหนิเด็กทุกวัน เด็กที่เติบโตมากับการถูกตำหนิจะเป็นอย่างไรนะ เด็กบางคนกลับมาถึงบ้านยังถูกพ่อแม่ตำหนิอีก พวกเขามีชีวิตอยู่กับการถูกตำหนิและคาดโทษเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไร


ส่วนเสียงตามสายก็แจ้งแต่ที่จำเป็นที่เป็นส่วนรวมจริง ๆ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แจ้งข่าวหรือที่เป็นเฉพาะกลุ่ม ผู้ใหญ่ก็น่าจะไปบอกเอง

 

เขาบอกฉันว่า ในชนบทก็อย่างนี้แหละ เขานิยมเสียงดัง ๆ การมีเครื่องขยายเสียงดัง ๆ ถือเป็นความทันสมัยมีหน้ามีตา มีฐานะ มีงานเล็กงานน้อยเขาก็ต้องใช้เครื่องขายเสียงให้ดัง ๆ ไว้ก่อน

 

นี่เป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหมละเพื่อน มันไม่ต่างกันหรอก แม้ฉันจะไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิง ฉันก็ทนกับเสียงเหมือนกัน บางทีฉันคิดว่า ที่สถานบันเทิงคาราโอเกะ เรายังพอไปพูดคุยได้ เช่นให้เขาลดเสียงลง ให้เขาเปิดไม่ดึกเกินไป หรือถ้าเป็นครอบครัวฉันบางคืนเราก็ไปนั่งร้องเพลงนั่งกินได้ด้วย แต่ที่วัดและโรงเรียนสถานที่สำคัญและต้องห้ามในการแตะต้อง ถือเป็นของสูง เป็นของส่วนรวม ขืนพูดไปดีไม่ได้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นคนบาป คนจตใจคับแคบไปเห็นแก่ตัวไป ยิ่งโรงเรียนเป็นที่ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยอยากเกี่ยวข้องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าความทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียนฉันไม่ค่อยดี ฉันรู้สึกว่า ความทุกข์แรกของฉันเกิดขึ้นที่โรงเรียน ฉันถูกบังคับ และถูกกักขังอิสรภาพครั้งแรกที่โรงเรียน ฉันถูกตำหนิถูกทำโทษครั้งแรกก็ที่โรงเรียน ถ้าใครถามฉันว่ามีความประทับใจอะไร ฉันจำความประทับใจอะไรไม่ค่อยได้นอกจากเพื่อน ๆ


ดังนั้น การไปบอกไปเตือนโรงเรียนหรือวัดเป็นเรื่องทำไม่ได้เลย แต่สถานบันเทิงคาราโอเกะ ฉันว่าทำได้เพราะเป็นของคนธรรมดา เช่นให้เขาหันลำโพงออกจากบ้านเรา ลดเสียงลงนิดหนึ่ง ฉันมักจะบอกกับเพื่อน ๆ ที่ต้องการย้ายออกมาจากกรุงเทพฯ มาอยู่ในชนบทว่า เราจะหวังอะไรเลอเลิศกับการมาอยู่ในชนบทไม่ได้มากนักหรอก มีเรื่องราวที่เราต้องฝ่าฟันกันไปอีกเยอะ

 

คุยกับเพื่อนจบแล้ว เพื่อนบอกว่าเธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ส่วนฉันคุยกับเพื่อนจบแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก โดยเฉพาะยิ่งนำมาเขียนถึงเช่นนี้ เข้าข่ายไปแตะต้องศรัทธา

 

ก่อนหน้านี้ ฉันไปเที่ยวที่วัดแห่งหนึ่งมีป้ายติดว่า มีทุกข์ไม่ต้องบ่นให้ทนเอา

D0 not grumble when you suffer persevere


เพื่อนร่วมบ้านคนเดียวของฉัน รีบบอกให้ฉันไปยืนใกล้ ๆ ป้าย เขาว่า ถ่ายรูปไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อเตือนใจ





บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ” ฉันชอบถ้อยคำนี้มาก เป็นถ้อยคำ ที่เพื่อนนำมาฝากหลังจากที่เธอกลับมาจากภาวนา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เพื่อนของฉันกลับมาจาก “ภาวนา” แบบหมู่บ้านพลัม เธอว่าดีงามมาก ใช้กับชีวิตได้ เธอพูดถึง ข้ออบรมสติ 5 ประการ แต่เธอเน้นข้อฝึกอบรม ข้อที่ 4 เธอเขียนส่งมาให้ฉันอ่าน ฉันคิดว่าเธอคงอยากให้ฉันตระหนักรู้ หรือไม่เธอก็บอกอ้อม ๆ ว่า ฉันเป็นคนที่ควรจะปฏิบัติเพราะฉันมีปัญหาในข้อนี้…
แพร จารุ
ระหว่างการพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนนักเขียนของฉัน ไปอยู่ไกลถึงลอนดอน ช่วงที่ผ่านมาเธอกลับบ้านเพื่อมาส่งแม่เดินทางไกล เพราะครั้งนี้แม่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย และไม่รู้ว่าเส้นทางสายยาวไกลของแม่อยู่ที่ไหน แต่สำหรับเธอ เชื่อว่า จะไปพบกันที่พระเจ้า เราไม่ได้พบหน้ากันมานาน ได้แต่คุยโทรศัพท์กัน ช่วงแรกเพื่อนนักเขียนของฉันนั่งทำงานเขียน นั่งวาดภาพ และปลูกต้นไม้อยู่ในเรือนกระจกอยู่ที่บ้าน ต่อมาเธอไม่เลือกที่จะนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านแล้ว เธอไปทำงานที่พักคนชรา ทำงานอยู่กับคนแก่ ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกแต่เป็นเรื่องจริงของชีวิต เธอมีการงานที่มีความเศร้า ความตายของคนแก่ที่นั่นอยู่เสมอ
แพร จารุ
ยามเช้าได้อ่านงานของดอกสตาร์ เธอเขียนจั่วหัวว่า เชียงใหม่แพ้ซ้ำซาก Chiangmai lost her beauties. ข้อเขียนของเธอบอกว่า ผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วง ๙๐ วัน ที่คนได้รับความเดือดร้อนจากผังเมืองฉบับนี้จะยื่นคำร้องเพื่อคัดค้าน ถ้ารัฐบาลไม่รับฟังและผังเมืองฉบับนี้ผ่าน โฉมหน้าเมืองเชียงใหม่คงจะอัปลักษณ์สุด ๆ รอวันตายลูกเดียว มีเรื่องฝายทั้งสามแห่งคือ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้งและฝ่ายท่าศาลาอีก ของเก่าแก่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสร้างไว้ให้ลูกหลานชาวล้านนาได้ประโยชน์กลับจะรื้อทิ้งโดยเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยที่เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองกับลูกหลานในอนาคต“…
แพร จารุ
พ่อหมื่นแก่ฝายคนสุดท้าย นัดพบที่หน้าฝายพญาคำ ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน เวลา 10.00 น. ร่วมทำพิธีสืบชะตาอีกครั้ง ชาวบ้านยอมให้มีการสร้างประตูระบายน้ำแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามทุบห้ามรื้อฝายโบราณทั้งสามฝาย หรือทดลองใช้ประตูระบายน้ำก่อนสองปี ว่าสามารถทดน้ำเข้าเหมืองเพื่อส่งเลี้ยงไร่นาได้หรือไม่ คือให้ลองดูว่าประตูน้ำทำหน้าที่แทนฝายหินทิ้งเก่าแก่ได้ดีแค่ไหน การจัดการน้ำด้วยระบบเหมืองฝายจะถูกเปลี่ยนมือ จากการจัดการโดยชาวบ้านในระบบแก่ฝายมาเป็นจัดการโดยรัฐชลประทาน ชาวบ้านผู้ใช้น้ำคิดอย่างไรถึงยินยอมทั้งที่ยื้อกันมานาน ถ้านับตั้งแต่ช่วงแรกที่จะมีการรื้อก็เกือบสิบปีแล้ว
แพร จารุ
ฉันได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะมาเที่ยวตามป่าเขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ   รัฐบาล โดยนายอำเภอ และอุทยานแห่งชาติ จัดให้มีงานบวชป่า และส่งมอบอาวุธปืน มีหนังสือจากหน่วยงานของรัฐมาถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในเย็นวันหนึ่ง มีเสียงพูดกันเบา จับใจความได้ว่า พวกเขากังวล เพราะพวกเขาไม่มีปืนจะไปมอบ ฉันฟังอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้พวกเขาว่าจะกังวลทำไม ไม่มีก็ไม่ต้องมอบ บอกไปว่าเราไม่มีก็จบ ก็ไม่มีจะเอามาจากไหน
แพร จารุ
 “ไม่นานคนก็ตายกันหมดโลกแน่ ๆ”หญิงสาววัยเพิ่งผ่านเลขสามพูดขึ้นก่อนล้มตัวลงนอน “พี่เชื่อไหม ไม่นานผู้คนจะตายหมดโลก” เธอพูดอีกครั้ง “อะไรทำให้เธอคิดเช่นนั้น” ฉันถามออกไปด้วยความขลาดกลัว มานอนกลางป่ากลางเขาแล้วพูดถึง เรื่องความตาย  ไม่อยากจะฟังคำตอบจากเธอ รีบเตรียมถุงนอน พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ เธอ คืนนี้เราเลือกที่จะไม่นอนในบ้านสบาย ๆ แต่เลือกที่จะมานอนกันในป่าเปลี่ยนบรรยากาศ   เธออธิบายต่อว่า เมื่อกลางวันได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เชียงราย 3.5 ริกเตอร์  เมื่อแผ่นดินไหวที่เชียงรายได้ ก็ไหวที่เชียงใหม่ได้ หรือที่อื่น ๆ ได้ และมันคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “อือ...ก็น่าจะจริง…
แพร จารุ
 เธอได้ยินไหม  คนบ้านฉันเขาตัดไม้กันอยู่ เสียงดังกรูด ๆ ๆ แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงไม่ล้ม ฉันฟังจนแยกออกแล้วว่า เสียงที่ล้มลงมาต้นเล็กต้นใหญ่ขนาดไหน ฉันบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ด้วยเราพูดกันอย่างไม่เห็นหน้าจึงไม่รู้ว่า เพื่อนทำหน้าตาอย่างไร เธอคงคาดไม่ถึงว่าได้ยินเสียงตอบเช่นนี้ เธอคงผิดหวังมากทีเดียวเพื่อนโทร.มาบอกให้ฉันช่วยเขียนเรื่องการปลูกต้นไม้ เป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิที่เธอทำงานอยู่ ชื่อว่า โครงการป่าเมือง หรือการปลูกต้นไม้ในเมืองนั่นเอง
แพร จารุ
ขอคั่นรายการหน้าโฆษณาหน่อยนะคะ บอกจริง ๆ ว่า ช่วงนี้รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก คุณผู้อ่านรู้จักคำว่า โหวงเหวงไหม มันเป็นอาการซึม ๆ เศร้า ๆ และรู้สึกเบา ๆ ในหัวใจ  เมื่อทบทวนดูอาการแล้ว พบว่าน่าจะมาจากสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งน่าจะเป็นอาการผิดปกติจากข่าว ช่วงนี้มีข่าวมีคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน และยังหายสาบสูญไปอีกเท่าไหร่ไม่รู้ อีกทั้งยังบาดเจ็บรอคอยอยู่อีกมาก
แพร จารุ
“พี่มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม้พี่ไม้ ไม้เป็นหมื่น ๆ” เธอส่งเสียงมาเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน“อยู่แดนสนธยาที่ไหน” ฉันถามกลับไปเพื่อให้ตัวเองตั้งสติหากมีเรื่องร้าย “ไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นไม้เป็นหมื่น ๆ ท่อนพี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเยอะจริง เดี๋ยวจะถ่ายรูปส่งไปให้ดู บางต้นมีผ้าเหลืองผ้าแดงผูกโคนต้นด้วย” “ที่ไหน” “กิ่วคอหมาพี่ เขากำลังสร้างเขื่อนกิ่วคอหมา พี่รู้เรื่องนี้ไหม พูดแล้วขนลุกพี่ รอเดี๋ยว ๆ นะพี่นะจะส่งรูปไปให้ดู”“จ๊ะ แล้วเธอไปทำไม”“ขับรถผ่านมานะพี่  กลับมาจากลำปาง”เธอพูดหลายครั้งว่าเธอไม่เคยเห็นไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ และสงสัยว่าทำไมเขายังตัดไม้กันขนาดนี้…
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน…
แพร จารุ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน “ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก“…
แพร จารุ
ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน…