Skip to main content

 

หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่น

ฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง

จำได้ว่าในปี 2550 เป็นปีที่อากาศร้อนมาก และมีหมอกควันแน่นหนา คล้าย ๆ กับว่า อยู่ในหนังวิทยาศาสตร์ ผู้คนต่างสวมหน้ากาก คาดที่ปิดปากจมูกออกจากบ้าน ชีวิตหม่นมัวคล้าย ๆ เปิดตากว้างไม่ได้ต้องหยีตาอยู่ตลอดเวลายามออกนอกบ้าน ไม่สดชื่นเอาเลย มองไปทางไหนก็หม่นเศร้า ฟ้าไม่เปิดคือมองไม่เห็นเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า หม่นมัวไปทั่ว อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ปีนั้นฉันตัดสินใจกลับใต้ ทันทีที่รถไปถึงสุราษฎร์ธานีมีฝนปรอย ๆ ฟ้าสดใสมาก ๆ ฉันเผลอพูดออกไปว่า ฟ้าเป็นฟ้า ฉันบอกเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันว่า "ถ้าเราไม่รู้จักหมอกควันที่หนาทึบ ไม่พบกับฟ้าหม่นทั้งวัน เราก็ไม่รู้คุณค่าของฟ้าสว่างที่ว่าฟ้าเป็นฟ้าเช่นนี้ มันสดชื่นและปลอดโปร่งขึ้นมาทันใด"

ปีนั้นฉันทิ้งคนในครอบครัวไว้ข้างหลังท่ามกลางหมอกควันหนา เพราะเขาไม่คิดที่จะทิ้งบ้านไปไหน นอกจากภาวะหมอกควันแล้วเรายังต้องพบกับไฟไหม้ป่าข้างบ้านอยู่ตลอดในช่วงหน้าแล้ง พื้นที่สวนร้างซึ่งเป็นที่หาอยู่หากินในช่วงหนาวแต่เมื่อถึงช่วงแล้งก็ไม่ได้มีใครดูแล ไผ่ซึ่งให้หน่อไม้ในหน้าฝนมันจะเป็นเชื้อเพลงชั้นดี ยามเมื่อโดนไฟมันจะแตกเสียงดังโป้ง โป้ง น่ากลัวมาก พอได้ยินเสียงไม้ไผ่แตกเราก็จะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งดับเพลิง ส่วนใหญ่จะเป็นกลางคืนเที่ยงคืนตีหนึ่งตีสอง ไฟไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอกเกิดขึ้นจากคนจุดและไม่ได้จุดเอาผักหวานหรือเห็ดอะไรด้วย แต่เป็นการจุดแบบคึกคะนองหรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า วัยรุ่นเซ็ง หลังจากเรียกดับเพลิงมาดับไฟแล้ว กลิ่นเหม็นไหม้และควันไฟเป็นของเราที่ต้องนอนดมกลิ่นต่อไปจนหลับไปนั่นแหละ

 

ปีแรกที่ฉันย้ายมาอยู่บ้านทุ่งเสี้ยวคือปี 2550 เป็นปีที่มีหมอกควันและมีไฟไหม้ที่สวนร้างมาก ฉันจำได้ว่าโทรศัพท์เรียกดับเพลิงสี่ห้าครั้ง คนอื่นในละแวกนั้นเรียกอีกกี่ครั้งไม่รู้ ส่งสารพนักงานดับไฟ หลังจากนั้นฉันกลับไปใต้ก็ไม่ได้สนใจแล้วว่าใครจะเรียกพนักงานดับไฟอีกกี่ครั้ง


นี่คือความต่างของเจ้าของบ้านและคนอาศัยหรือคนที่มาท่องเที่ยวที่หวังแต่ความสุข ความสวยงาม


เพื่อนฉันคนหนึ่ง เคยพูดว่า คนที่ไม่ได้มาอยู่จริง ๆ มีบ้านหลังที่สองไว้พักผ่อน ปีหนึ่งมาพักสามสี่เดือนมาแต่ช่วงหนาว เขาไม่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน

 

‘คนที่มาอาศัย' ‘คนไม่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน" ฉันยังเป็นหนึ่งในประเภทนี้ แม้ว่าจะมาอยู่ที่นี่เป็นปีที่สิบ ซึ่งเท่า ๆ กับอาศัยอยู่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ และเมื่อจากมาฉันก็ไม่คิดที่จะกลับไปอยู่ที่นั่นอีก การเป็นบ้านไม่ได้หมายความว่า เรามีบ้านหรือเป็นเจ้าของบ้านเท่านั้น เพราะบ้านเป็นของที่ซื้อขายได้ ตัวเราเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าที่ไหนเป็นบ้าน กรุงเทพสำหรับฉันเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ของคนแสวงหา เมืองที่ตื่นเต้นที่สุด แต่เพื่อนฉันบอกว่า เป็นเมืองที่เหมาะสมสำหรับการหนี เพราะเป็นเมืองที่ไม่ต้องรู้จักใครก็ได้ บ้านติดกันก็ไม่รู้ต้องรู้จักกัน เธอว่าอย่างนั้นและเธอรักกรุงเทพฯมาก เธอว่าเป็นเมืองที่เหมาะสมกับเธอที่สุดแม้ไม่รู้สึกเป็นบ้านแต่เธอก็รักมาก

 

ผ่านมาถึงร้อนในปี 2552 ปีนี้หมอกควันมากเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ปีนี้ฉันไม่ได้ออกไปไหน นั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านไม่ทำงานใด ๆ หยุดการออกไปประชุมหรือไปงานพบปะใด ๆ ไม่ว่างานจะน่าสนใจเช่นไร สัปดาห์ก่อนมีเพื่อนโทรศัพท์มาบอกว่า ชมรมเพื่อดอยสุเทพขอนัดประชุม ซึ่งฉันไปร่วมประชุมนั่งฟังเขาพูดคุยกันเสมอ มีหัวหน้าอุทยาน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดอยสุเทพ พ่อค้าแม่ค้า นักวิชาการ มาร่วมพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการดูแลดอยสุเทพ เพราะสำหรับเชียงใหม่แล้วดอยสุเทพมีความสำคัญมากในหลาย ๆ ด้าน ทั้งศาสนามีพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นศรัทธา เรียกกันว่าป่าวิเศษดอยศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว เป็นป่าใกล้เมืองแห่งสุดท้าย ฉันตอบน้องผู้ประสานงานไปว่า ไปไม่ได้ไม่ว่าง


หลังจากนั้นมีงานพูดคุยเรื่องทำคุกเป็นสวน มีโครงการย้ายคุกออกจากเมือง และระดมความคิดว่าจะเปลี่ยนคุกเป็นอะไรดี ฉันไปฟังมาครั้งหนึ่งเขาถกเถียงกันอยู่ บางพวกว่าทำเป็นสวนสาธารณะ แต่มีคนคัดค้านว่า สวนสาธารณะในเชียงใหม่ส่วนใหญ่มักถูกทอดทิ้งปล่อยไปตามมีตามเกิดและไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง บางกลุ่มเสนอว่า ทำเป็นข่วงหรือลานที่ผู้คนมาใช้ได้หลากหลาย เป็นของส่วนรวม มีทั้งส่วนที่เป็นสวน ส่วนที่เป็นหอศิลปวัฒนธรรม มีอาคารอเนกประสงค์หอประชุมขนาดใหญ่ และมีห้องสมุดด้วย แต่บางกลุ่มเสนอว่าอนุรักษ์ไว้ให้เป็นคุกเหมือนเดิมแต่ไม่ต้องขังคนเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ กลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน ฉันตอบน้องที่โทร.มาชวนด้วยคำพูดเดิมคือ ไปไม่ได้ไม่ว่าง


เมื่อวานนี้มีเพื่อนมาบอกว่า โรงพิมพ์แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ขอนัดพบนักเขียนเพื่อคุยเรื่องการทำงานร่วมกันของนักเขียนในเมืองเชียงใหม่กับโรงพิมพ์ ทำเป็นสำนักพิมพ์เพื่อสันติภาพ ให้พวกนักเขียนมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสำนักพิมพ์อาจจะเป็นรูปแบบสหกรณ์ก็ได้


เป็นงานที่ฟังดูแล้วเหนื่อย ฉันจึงบอกไปว่า ไปไม่ได้ไม่ว่าง เขาถามว่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่ถึงไม่ว่างตลอด ฉันตัดสินใจตอบไปตามความจริงว่า "ขี้คร้าน"


การขี้คร้านหรือขี้เกียจอยากอยู่เฉย ๆ นั่งนิ่ง ๆ ไม่ทำอะไร

เขาถามต่อว่า ทำไมถึงขี้คร้าน พี่ขี้คร้านเองหรือว่ามีอะไรมาทำเกิดอาการนี้ พี่คิดดู

"ไม่คิด ขี้คร้าน ขี้คร้านคิดด้วย"

เธอตอบว่า "เข้าใจแล้ว พี่คงขี้คร้านจริง"

 

 

ในระหว่างนั่งขี้คร้านอยู่นิ่ง ๆ ดูใบมะขามที่ร่วงหล่นลงมาทุกวัน บ้านเรามะขามนับสิบต้น ล้อมรอบบ้านล้วนเป็นมะขามเปรี้ยวสุด ๆ

 

หลานชายบอกว่า ถ้าป้าอยู่บ้านจนผ่านหน้าแล้งไปได้ป้าจะเห็นใบมะขามร่วงหมดต้น มันร่วงจนไม่มีสักใบเดียวกิ่งก้านจะเหมือนมือปีศาจ หลานชายเปรียบเทียบเช่นนั้น ฉันคิดว่า เขาคงหมายถึงสีดำของกิ่งก้าน และเขาเล่าต่อว่า หลังจากนั้นมันจะค่อย ๆ แตกใบใหม่สวยมากเลยป้า


ฉันถามหลานชายว่า ยอดอ่อนที่แตกใหม่สวยเหมือนอะไร เหมือนนางฟ้าหรือเปล่า เขาหัวเราะ และว่าป้าต้องดูเอง


หลานชายอายุ 14 ปี เริ่มได้ดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์จากเพื่อนหญิงที่โรงเรียนแล้ว ในปีที่เขาเรียนม.1 ปีนี้ฉันบอกหลานว่า จะอยู่หน้าร้อนด้วยเพื่อดูใบมะขามออกยอดอ่อน ๆ ทั้งต้นอยากดูว่ามันสวยงามขนาดไหน


เขาหัวเราะและบอกว่า ป้าต้องอยู่ให้ผ่านพ้นช่วงหน้าร้อนที่ใบร่วงหมดไปก่อนนะ

ฉันบอกหลานว่าตกลงเพราะป้าขี้คร้านที่จะไปไหน ๆ ในปีนี้

 

ถ้าเพื่อนรู้ เธอคงคิดว่า ‘ฉันฝ่าฟันไปด้วยกัน' คือไม่หนีไปไหน แต่เพื่อนไม่รู้ว่าความจริงแล้ว ฉันขี้คร้านที่จะไปไหนๆ ต่างหาก

 

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ” ฉันชอบถ้อยคำนี้มาก เป็นถ้อยคำ ที่เพื่อนนำมาฝากหลังจากที่เธอกลับมาจากภาวนา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เพื่อนของฉันกลับมาจาก “ภาวนา” แบบหมู่บ้านพลัม เธอว่าดีงามมาก ใช้กับชีวิตได้ เธอพูดถึง ข้ออบรมสติ 5 ประการ แต่เธอเน้นข้อฝึกอบรม ข้อที่ 4 เธอเขียนส่งมาให้ฉันอ่าน ฉันคิดว่าเธอคงอยากให้ฉันตระหนักรู้ หรือไม่เธอก็บอกอ้อม ๆ ว่า ฉันเป็นคนที่ควรจะปฏิบัติเพราะฉันมีปัญหาในข้อนี้…
แพร จารุ
ระหว่างการพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนนักเขียนของฉัน ไปอยู่ไกลถึงลอนดอน ช่วงที่ผ่านมาเธอกลับบ้านเพื่อมาส่งแม่เดินทางไกล เพราะครั้งนี้แม่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย และไม่รู้ว่าเส้นทางสายยาวไกลของแม่อยู่ที่ไหน แต่สำหรับเธอ เชื่อว่า จะไปพบกันที่พระเจ้า เราไม่ได้พบหน้ากันมานาน ได้แต่คุยโทรศัพท์กัน ช่วงแรกเพื่อนนักเขียนของฉันนั่งทำงานเขียน นั่งวาดภาพ และปลูกต้นไม้อยู่ในเรือนกระจกอยู่ที่บ้าน ต่อมาเธอไม่เลือกที่จะนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านแล้ว เธอไปทำงานที่พักคนชรา ทำงานอยู่กับคนแก่ ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกแต่เป็นเรื่องจริงของชีวิต เธอมีการงานที่มีความเศร้า ความตายของคนแก่ที่นั่นอยู่เสมอ
แพร จารุ
ยามเช้าได้อ่านงานของดอกสตาร์ เธอเขียนจั่วหัวว่า เชียงใหม่แพ้ซ้ำซาก Chiangmai lost her beauties. ข้อเขียนของเธอบอกว่า ผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วง ๙๐ วัน ที่คนได้รับความเดือดร้อนจากผังเมืองฉบับนี้จะยื่นคำร้องเพื่อคัดค้าน ถ้ารัฐบาลไม่รับฟังและผังเมืองฉบับนี้ผ่าน โฉมหน้าเมืองเชียงใหม่คงจะอัปลักษณ์สุด ๆ รอวันตายลูกเดียว มีเรื่องฝายทั้งสามแห่งคือ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้งและฝ่ายท่าศาลาอีก ของเก่าแก่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสร้างไว้ให้ลูกหลานชาวล้านนาได้ประโยชน์กลับจะรื้อทิ้งโดยเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยที่เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองกับลูกหลานในอนาคต“…
แพร จารุ
พ่อหมื่นแก่ฝายคนสุดท้าย นัดพบที่หน้าฝายพญาคำ ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน เวลา 10.00 น. ร่วมทำพิธีสืบชะตาอีกครั้ง ชาวบ้านยอมให้มีการสร้างประตูระบายน้ำแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามทุบห้ามรื้อฝายโบราณทั้งสามฝาย หรือทดลองใช้ประตูระบายน้ำก่อนสองปี ว่าสามารถทดน้ำเข้าเหมืองเพื่อส่งเลี้ยงไร่นาได้หรือไม่ คือให้ลองดูว่าประตูน้ำทำหน้าที่แทนฝายหินทิ้งเก่าแก่ได้ดีแค่ไหน การจัดการน้ำด้วยระบบเหมืองฝายจะถูกเปลี่ยนมือ จากการจัดการโดยชาวบ้านในระบบแก่ฝายมาเป็นจัดการโดยรัฐชลประทาน ชาวบ้านผู้ใช้น้ำคิดอย่างไรถึงยินยอมทั้งที่ยื้อกันมานาน ถ้านับตั้งแต่ช่วงแรกที่จะมีการรื้อก็เกือบสิบปีแล้ว
แพร จารุ
ฉันได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะมาเที่ยวตามป่าเขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ   รัฐบาล โดยนายอำเภอ และอุทยานแห่งชาติ จัดให้มีงานบวชป่า และส่งมอบอาวุธปืน มีหนังสือจากหน่วยงานของรัฐมาถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในเย็นวันหนึ่ง มีเสียงพูดกันเบา จับใจความได้ว่า พวกเขากังวล เพราะพวกเขาไม่มีปืนจะไปมอบ ฉันฟังอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้พวกเขาว่าจะกังวลทำไม ไม่มีก็ไม่ต้องมอบ บอกไปว่าเราไม่มีก็จบ ก็ไม่มีจะเอามาจากไหน
แพร จารุ
 “ไม่นานคนก็ตายกันหมดโลกแน่ ๆ”หญิงสาววัยเพิ่งผ่านเลขสามพูดขึ้นก่อนล้มตัวลงนอน “พี่เชื่อไหม ไม่นานผู้คนจะตายหมดโลก” เธอพูดอีกครั้ง “อะไรทำให้เธอคิดเช่นนั้น” ฉันถามออกไปด้วยความขลาดกลัว มานอนกลางป่ากลางเขาแล้วพูดถึง เรื่องความตาย  ไม่อยากจะฟังคำตอบจากเธอ รีบเตรียมถุงนอน พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ เธอ คืนนี้เราเลือกที่จะไม่นอนในบ้านสบาย ๆ แต่เลือกที่จะมานอนกันในป่าเปลี่ยนบรรยากาศ   เธออธิบายต่อว่า เมื่อกลางวันได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เชียงราย 3.5 ริกเตอร์  เมื่อแผ่นดินไหวที่เชียงรายได้ ก็ไหวที่เชียงใหม่ได้ หรือที่อื่น ๆ ได้ และมันคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “อือ...ก็น่าจะจริง…
แพร จารุ
 เธอได้ยินไหม  คนบ้านฉันเขาตัดไม้กันอยู่ เสียงดังกรูด ๆ ๆ แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงไม่ล้ม ฉันฟังจนแยกออกแล้วว่า เสียงที่ล้มลงมาต้นเล็กต้นใหญ่ขนาดไหน ฉันบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ด้วยเราพูดกันอย่างไม่เห็นหน้าจึงไม่รู้ว่า เพื่อนทำหน้าตาอย่างไร เธอคงคาดไม่ถึงว่าได้ยินเสียงตอบเช่นนี้ เธอคงผิดหวังมากทีเดียวเพื่อนโทร.มาบอกให้ฉันช่วยเขียนเรื่องการปลูกต้นไม้ เป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิที่เธอทำงานอยู่ ชื่อว่า โครงการป่าเมือง หรือการปลูกต้นไม้ในเมืองนั่นเอง
แพร จารุ
ขอคั่นรายการหน้าโฆษณาหน่อยนะคะ บอกจริง ๆ ว่า ช่วงนี้รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก คุณผู้อ่านรู้จักคำว่า โหวงเหวงไหม มันเป็นอาการซึม ๆ เศร้า ๆ และรู้สึกเบา ๆ ในหัวใจ  เมื่อทบทวนดูอาการแล้ว พบว่าน่าจะมาจากสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งน่าจะเป็นอาการผิดปกติจากข่าว ช่วงนี้มีข่าวมีคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน และยังหายสาบสูญไปอีกเท่าไหร่ไม่รู้ อีกทั้งยังบาดเจ็บรอคอยอยู่อีกมาก
แพร จารุ
“พี่มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม้พี่ไม้ ไม้เป็นหมื่น ๆ” เธอส่งเสียงมาเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน“อยู่แดนสนธยาที่ไหน” ฉันถามกลับไปเพื่อให้ตัวเองตั้งสติหากมีเรื่องร้าย “ไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นไม้เป็นหมื่น ๆ ท่อนพี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเยอะจริง เดี๋ยวจะถ่ายรูปส่งไปให้ดู บางต้นมีผ้าเหลืองผ้าแดงผูกโคนต้นด้วย” “ที่ไหน” “กิ่วคอหมาพี่ เขากำลังสร้างเขื่อนกิ่วคอหมา พี่รู้เรื่องนี้ไหม พูดแล้วขนลุกพี่ รอเดี๋ยว ๆ นะพี่นะจะส่งรูปไปให้ดู”“จ๊ะ แล้วเธอไปทำไม”“ขับรถผ่านมานะพี่  กลับมาจากลำปาง”เธอพูดหลายครั้งว่าเธอไม่เคยเห็นไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ และสงสัยว่าทำไมเขายังตัดไม้กันขนาดนี้…
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน…
แพร จารุ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน “ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก“…
แพร จารุ
ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน…