Skip to main content

ในขณะที่ผู้คนที่มาดูต้นไม้ ต่างตื่นเต้นกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใหญ่ที่สุดที่นี่คือต้นจามจุรีหรือต้นก้ามปูที่สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา เป็นสนามกอล์ฟเก่า เขาเล่ากันว่าต้นไม้นี้มีอายุมากกว่าร้อยปี ส่วนสูง 15 เมตร ผ่านการประกวดต้นไม้ใหญ่ที่ได้รับรางวัลของเทศบาลมาแล้ว

บางคนบอกว่า น้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นต้นไม้ต้นนี้ บางคนยกมือไหว้                    

วันนี้มีนักวิชาการเดินทางมาด้วย เขาบอกว่า"อย่าตื่นเต้นยินดีกับไม้ใหญ่เพียงต้นเดียว เพราะเป็นเพียงเศษเสี้ยวร่องรอยที่ฝรั่งทิ้งไว้"

บางคนยิ้มบางคนหัวเราะขำ
ฉันเป็นคนที่อื่นที่เดินทางมาอยู่ที่นี่ แต่เคยได้ยินใครต่อใครพูดหลายครั้งว่า ไม้ที่เมืองเหนือหมดไปเพราะฝรั่ง บริษัทฝรั่งเข้ามาทำไม้
ได้ยินได้ฟังมาอย่างนั้นจริง ๆ แต่ก็มีบางคนบอกว่า ไม่ได้หมดไปเพราะฝรั่งเพราะถ้าเจ้าของบ้านรักบ้านรักเมืองจริง ๆ ใครก็มาทำลายไม่ได้

เช้านี้ฉันได้ยินการพูดคุยทำนองนี้อีกครั้ง เพราะได้รับการเชิญชวนจากพวกน้อง ๆ ที่จัดงานทัวร์ต้นไม้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ การเดินทางครั้งนี้มากับทีมจักรยาน

ฉันบอกเพื่อนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า  "คิดดูก็น่าตลก ใครจะคิดว่ายุคหนึ่งลูกหลานของคนในประเทศที่มีป่าไม้หนาแน่นที่สุดจะต้องเที่ยวตามดูต้นไม้ใหญ่  และเทศบาลนครเชียงใหม่จัดประกวดต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงการมีต้นไม้ใหญ่ การมีพื้นที่สีเขียวเพื่อเมืองเชียงใหม่  แล้วต่อไปรุ่นหลังจากเราอาจจะต้องตามดูสายน้ำ ไปดูว่ามีสายน้ำที่ไหนบ้าง เพราะสายน้ำที่สวย ๆ และสะอาดหายไปแล้ว น่าตลกไหม"

เพื่อนที่มาจากเมืองหลวงเพื่อทำข่าวเรื่องนี้บอกว่า
"ใช่ ไม่น่าเชื่อว่า เราจะมาตามดูต้นไม้เพราะต้นไม้กลายเป็นของหายาก แต่ไม่ตลกหรอก น่าเศร้ามากกว่า แต่ก็น่ายินดีอยู่บ้างที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะดูสวนทางกับนโยบายการพัฒนาเมืองเพื่อการท่องเที่ยว

มีผู้ถามว่าทำอย่างไรกับกิ่งไม้ที่จะหักลงมา ผู้ชายคนหนึ่งตอบว่า "ต้องคอยดูแลตัดแต่งกิ่ง อย่างกิ่งไม้ใหญ่เราต้องตัดกิ่งข้างในออกไปบ้าง เพราะกิ่งข้างในไมได้รับแสงมันจะผุ" (แต่คนตอบไม่ได้มีหน้าที่นั่นเขาเพียงแต่เสนอแนวคิดเท่านั้น)

ดูต้นไม้ใหญ่แล้ว เราเดินทางตามเส้นทางถนนสายต้นยางไปลำพูนกับจักรยานโดยชมรมจักรยานวันอาทิตย์เชียงใหม่

ฝนตกปรอย ๆ ไปตลอดทางแวะดูต้นยางไปเรื่อย ๆ สังเกตเห็นว่า ต้นยางในช่วงเมืองเชียงใหม่ ไม่ค่อยจะมีใบ มีแต่ต้นสูงชะลูด

เหตุที่ต้นยางไม่สมบูรณ์เพราะว่า ต้นยางไม่เป็นที่ต้องการของหลาย ๆ คน จึงมีความพยายามที่จะทำต้นยางให้ตาย และต้นยางก็ตายไปหลายต้นแล้วด้วย วิธีทำให้ต้นยางตายก็คือ การเอาปูนไปถมบริเวณโคนไม่ไห้น้ำซึมเข้าไป และการตัดใบให้เกรียน แล้วมันก็จะค่อย ๆ ตายไปเอง

ท่านหนึ่งกล่าวว่า "เพราะเราไปรังแกต้นยาง เราไปทำร้ายต้นไม้ เมื่อต้นอ่อนแอกิ่งก็หักร่วงลงมา"

มีผู้เสนอวิธีการดูแลต้นยางอยู่หลายอย่าง เช่นการทำตะแกรงด้านบนเพื่อให้ไม้ที่หักลงมาติดอยู่ในตะแกรง และมีการจัดงบพิเศษสำหรับดูแลต้นยาง มีการปลูกเพิ่มเมื่อต้นยางตายไป ซึ่งก็มีการปลูกเพิ่มอยู่บ้างเหมือนกันในบางแห่ง เช่นปลูกต้นสักและต้นยางเพิ่ม

ต้องยอมรับว่าพื้นที่ในเมืองทุกแห่ง กลายเป็นพื้นที่สำหรับทำมาค้าขายแม้แต่ทางเท้า พื้นที่สำหรับต้นไม้นั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น แม้ว่าในทุกครั้งเราจะวิ่งเข้าไปหาต้นไม้เพื่อหลบร้อนหลบแดดก็ตาม

มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้ต้นยางใหญ่บนถนนพูดคุยกับเราว่า ปัญหาคือไม่มีผู้มาดูแลจริง บางต้นที่กำลังจะตายหรือที่กำลังจะล้มก็ต้องจัดการไปอย่างถูกวิธี  ถ้าคนอยู่ใกล้ ๆ ไม่เดือดร้อนใครก็คงไม่รังเกียจต้นยาง คนที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ไมได้สัญจรไปมาทุกวันนาน ๆ มาทีก็จะเห็นว่าสวย แต่คนที่อยู่ทุกวันก็จะเห็นต่างออกไป มันมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยด้วย

นี้เป็นเรื่องของต้นยางบนถนนสายสารภีลำพูน ถนนสายประวัติศาสตร์ที่มีต้นไม้ใหญ่ อย่างไรก็ตามในการทัวร์ไม้ใหญ่ครั้งนี้ พบว่าในเมืองเชียงใหม่ยังมีต้นไม้ใหญ่อยู่จำนวนมากที่รอการดูแลอยู่

ฉันได้ยินนักอนุรักษ์ท่านหนึ่งเสนอว่า น่าจะมีกฎหมายคุ้มครองต้นไม้ใหญ่ เพราะต้นไม้ถูกตัดไปหนึ่งต้นนั้นไม่ได้ส่งผลต่อผู้ตัดหรือเจ้าของพื้นที่ที่ต้นไม้อยู่เท่านั้นแต่ส่งผลถึงคนอื่น ๆ โดยทั่วไปด้วย เพราะเราใช้ประโยชน์จากต้นไม้ร่วมกัน เช่นได้อากาศหายใจไปด้วยกัน  เพราะเราใช้ต้นไม้ช่วยต้านหมอกควันช่วยให้เราตายช้าลงด้วยกัน

บทความนี้ เขียนจากการไปร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานทัวร์ไม้ใหญ่ เป็นงานหนึ่งในงาน โฮะโซะ หรือโครงการศิลปวัฒนธรรมในความร่วมมือเพื่อเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5-7 มิถุนายน  2552 ที่ผ่านมา ซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมในเมืองเชียงใหม่หลายอย่าง สนับสนุนการจัดกิจกรรมโดย เทศบาลนครเชียงใหม่ สสส. และบริติช เคานซิล  (โฮะโซะ เป็นภาษาเหนือหมายความว่าเอามารวมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน)

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
นี้ไม่ใช่เรื่องสั้นหรือเรื่องแต่งแต่เป็นเรื่องจริง และนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ถ้าคุณจะหัวเราะก็มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะฉันก็หัวเราะไปแล้ว  เรื่องจริงที่จะเล่าให้ฟัง ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  ที่เชียงใหม่ ยามค่ำคืน มีหญิงสาวคนหนึ่งขับรถโฟล์คสีบานเย็น อยู่บนถนนสายหางดงเชียงใหม่ ในขณะขับรถไปนั้น น้ำมันหมด เพราะที่วัดระดับน้ำมันเสีย เธอรีบโทรศัพท์ไปหาน้องสาว บอกเส้นทางที่ตัวเองอยู่ แต่โทรศัพท์แบต หมดก่อนที่จะทันคุยกันรู้เรื่อง
แพร จารุ
"สงสารท่านผู้นำ" นาน ๆ ฉันถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉันจึงหยุดมองเธอคนพูด และเห็นว่าในมือของเธอถือหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ที่หน้าปกมีรูปท่านผู้นำของเธอ "ทำไมถึงสงสาร" ฉันเสี่ยงถาม "ก็เขาไม่ได้กลับบ้าน"ฉันพยักหน้ารับคำแบบสงวนท่าที่ ไม่ผลีผลามแสดงความคิดเห็น แต่ก็รู้สึกประทับใจในเหตุผล เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ คนไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก
แพร จารุ
เมื่อฉันดูข่าวสารบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวัยเยาว์ และอยากจะเล่าเอาไว้ เพราะพฤติกรรมของผู้ใหญ่ส่งผลต่อเด็กจริง ๆ ค่ะ ใครบางคนอาจจะไม่ทันคิดว่า การแสดงพฤติกรรมบางอย่างของผู้ใหญ่ เป็นได้มากกว่าการสอนเด็ก ๆ พฤติกรรมของผู้ใหญ่บางอย่างอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคตได้
แพร จารุ
ไนท์ซาฟารีที่อยู่ของสัตว์กลางคืน ฉันไม่เคยไปที่นั่นสักครั้งเดียว แม้ว่าจะมีงานเปิดอย่างยิ่งใหญ่ ใครต่อใครก็เดินทางไปที่นั่น และฉันถูกถามบ่อยๆ ว่า “ไปไนท์ซาฟารีมาหรือยัง” “ทำไมไม่ไป” ฉันได้แต่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากว่า คนถามมีเวลาจริง ๆ ฉันก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า ที่ไม่ไปเพราะไม่เห็นด้วยกับการสร้างไนท์ซาฟารีตั้งแต่ต้นและเห็นด้วยกับกลุ่มคัดค้านมาโดยตลอด ไปประชุมสัมมนากับเขาเสมอ
แพร จารุ
ธันวาคมเป็นเดือนที่มีญาติพี่น้องผองเพื่อนเดินทางมาเที่ยวบ้าน ดังนั้นเราจะไม่ไปไหนคือตั้งรับอยู่ที่บ้าน พวกเขามักจะมาพักหนึ่งคืนแล้วไปเที่ยวกันต่อ บางกลุ่มก็วกกลับมาอีกครั้งก่อนเดินทางกลับ พวกเขาจะค้างกันอย่างมากก็สองคืน  เรามีบ้านหลังเล็กมากๆ แต่มีบ้านพ่อหลังใหญ่ บ้านที่พ่อสามีทิ้งไว้เป็นสมบัติส่วนกลาง แรกเราคิดว่าจะให้เพื่อนๆ ไปพักชั้นบนของบ้านหลังนั้น แต่เอาเข้าจริงสองปีที่ผ่านมา ไม่มีใครไปพักหลังนั้นเลย
แพร จารุ
คราวนี้เสียงจากคนเชียงใหม่จริง ๆ ค่ะ เธอเขียนมาถึงดิฉัน พร้อมกับจดหมายสั้น ๆ ว่า ขอร่วมเขียนแถลงการณ์คัดค้าน การสร้างประตูระบายน้ำกั้นแม่น้ำปิงด้วยค่ะ เธอแนะนำตัวมาสั้นๆ ว่าเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด บ้านอยู่ข้างสถานีรถไฟ ข้ามสะพานนวรัตน์ เห็นฝายพญาคำมาตั้งแต่เล็ก ต้องขอโทษด้วยที่ทำจดหมายของเธอตกค้างอยู่นานนับเดือน กว่าจะได้เอามาลงให้ เชิญอ่านได้เลยค่ะ
แพร จารุ
 ฤดูฝนที่ผ่านมา ชาวบ้านตีนผาบ้านในหุบเขา ได้ปลูกต้นไม้บนดอย ครั้งนี้เป็นการปลูกเพื่อเป็นแนวกั้นระหว่างพื้นที่ทำกินกับเขตอุทยาน  เป็นการการทำแนวรั้วต้นไม้ในเช้าวันที่มีการปลูกต้นไม้สำหรับเป็นแนวเขตรั้ว ชาวบ้านตีนผาพร้อมเพรียงและจริงจัง ตั้งแต่เช้า กินข้าวแล้วเตรียมพร้อม มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าโบสถ์ เพื่อขนกล้าไม้ไปปลูก มีทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนและเด็กเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน  ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่มากันพร้อม ผู้ใหญ่บ้าน นายวรเดช กล่าวว่า"การทำแนวรั้วเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพื้นฟูรักษาป่านั่นแหละ"
แพร จารุ
 วันนี้ ฉันพบดอกไม้บนดอยสูงมากมาย ดอกไม้เล็ก ๆ เหมือนดาว กระจายอยู่ทั่วหุบเขา หลากสีสดใส ทั้งเหลือง ส้ม และสีม่วง หลายครั้งที่ผ่านทางมา เรามาด้วยความเร็วมาก จุดหมายอยู่ที่หลังดอย หมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ความเร็วความรีบเร่งทำให้เราไม่ได้เห็นอะไรมากนักระหว่างทาง  ความหมายไม่ได้อยู่ที่ปลายทางแต่อยู่ที่ระหว่างทางที่ได้พบเจอ การได้ชื่นชมกับบรรยากาศระหว่างทาง นั่นเอง การเดินทางมาครั้งนี้เรามากับทีมช่างภาพสองคนและผู้ติดตามเป็นหญิงสาวน่ารักอีกหนึ่งคน มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเป็นชายหนุ่มสองคน
แพร จารุ
  วิถีชีวิตกับไม้ไผ่คู่กัน เมื่อลุงมาบอกว่า วิถีชีวิตปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน วันนี้คนรุ่นพะตี(ลุง) จึงต้องสอนให้ลูกหลานรู้จักจักสาน เพราะว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ไม่ค่อยรู้เรื่องจักสานแล้ว พะตีมาบอกว่า ถ้าไม่ได้สอนไว้หมดรุ่นพะตีแล้วก็จะหมดรุ่นไปเลย ทั้งที่วิถีปกาเก่อญอกับไม้ไผ่นั่นคู่กัน ฟังพะตีว่า ลูกหลานปกาเก่อญอไม่รู้จักการใช้ไม่ไผ่ ฉันคิดถึงลุงที่บ้านแกว่าลูกชาวเลทำปลากินไม่เป็น ไม่ใช่หาปลามากิน แต่ทำปลากินไม่เป็นนั่นคือเขาหามาให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำกินอย่างไร ขูดเกล็ดปลาออกจากตัวปลาไม่เป็น ดึงขี้ปลาออกไม่เป็น เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร…
แพร จารุ
อยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี“สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ชุมชนจะต้องเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ลดการพึ่งพาภายนอก ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และอยู่อย่างมีสิทธิและศักดิ์ศรี”แต่นั่นแหละ คำพูดเพราะๆ เช่นนี้จะเป็นจริงไปได้อย่างไร ในปัจจุบันนี้ หมู่บ้านเล็กๆ ในชุมชนหลายแห่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ขึ้นอยู่กับราคาผลผลิตที่ถูกกำหนดโดยตลาดทุนจากพืชเศรษฐกิจ 
แพร จารุ
พื้นที่ป่าในประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะชุมชนชาวเขาทั้งหลายที่อาศัยก่อน ต่อมาพื้นที่ป่าก็ถูกประกาศเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ หลายแห่งที่พยายามเอาคนออกจากป่า ตัวอย่างการย้ายคนออกจากพื้นที่เดิมมีอยู่หลายแห่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนที่ถูกย้ายและสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เกิดปัญหาการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง การอพยพแรงงาน และปัญหาอื่นๆ ติดตามมาอีกมากมาย ทางออกหนึ่งก็คือการสนับสนุนให้คนที่อยู่ในป่าได้อยู่ในพื้นที่เดิมและดูแลป่าด้วยดังนั้น การทำความเข้าใจ ให้คนอยู่กับป่าได้และดูแลป่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี มีคำถามว่า…
แพร จารุ
ฉันเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านหลังดอยค่ะ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้คุยกับใครนอกพื้นที่ แต่ทันทีที่ลงมาจากดอย เปิดเมลพบว่ามีรูป ฯพณฯ ท่าน "สมชาย วงศ์สวัสดิ์ " ที่มีหน้าเปื้อนสีเลือดส่งเข้ามา ใต้ภาพเขียนว่า “คนบ้านเดียวกันกับคุณ-งานหน้าไม่ล่ะ” ฉันลบภาพทิ้งทันที และรีบไปที่ก๊อกน้ำล้างหน้า แต่ความรู้สึกสลดหดหู่ไม่ได้จางหาย มันหดหู่จริง ๆ “คนบ้านเดียวกัน” กับ “เสื้อสีเดียวกัน” นอกจากแยกเสื้อแดงเสื้อเหลืองแล้ว ยังแยกคนลูกบ้านไหนกันด้วย