Skip to main content

ชวนมากินกันต่อค่ะ

เพื่อนนักเขียนรุ่นน้องที่เชียงดาว เล่าว่าเธอปลูกข้าวไร่ที่บ้านของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ฉันคิดว่าแค่เธอเริ่มต้นปลูกข้าวความมั่นคงทางอาหารก็เริ่มมีแล้ว

ต่อมาน้องนักเขียนที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เขียนมาบอกว่า เธอปลูกข้าวได้เจ็ดกระสอบ

ฉันชื่นชมยินดีกับเธออย่างจริงจังและจริงใจยิ่ง เพราะฉันมีความฝันที่จะปลูกข้าวปลูกผักไว้กินเอง แต่ไม่ได้ทำ และคิดว่าคงไม่ได้ทำ เพราะอายุปูนนี้แล้ว กล้ามเนื้อเป็นไขมัน เรี่ยวแรงหมดไปแล้ว ที่ทำได้ก็คือปลูกกล้วย ซึ่งก็เหมาะสมอยู่เพราะกล้วยเป็นอาหารนิ่ม ๆ กินง่าย เขาว่าเมื่อคนสูงวัยก็จะกลายเป็นเด็กอีกครั้งเป็นเช่นนี้เองเริ่มจากฟันที่เริ่มหายไปต้องกินอาหารนิ่ม ๆ เหมือนเด็ก

ความสุขหนึ่งของคือการกินต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนถ้ากินไม่ได้กินไม่อร่อยกินไม่อิ่มก็ไม่น่าจะมีความสุขนักความสุขหนึ่งของครอบครัวเราคือชวนเพื่อนมากินอาหารที่บ้าน ทำอาหารให้เพื่อนกิน ทำกันไปกินกันไปมีความสุขยิ่ง  

ครัวบ้านเราจึงอยู่หน้าบ้าน บางคนคิดว่าเราทำบ้านไม่เสร็จ ไม่มีครัว แต่ความจริงแล้วเราตั้งใจมีครัวอยู่หน้าบ้านและเป็นครัวเปิด เพื่อจะได้ทำกับข้าวไปดูต้นไม้ใบหญ้าไป หรือใครไม่อยากทำกับข้าวในระหว่างรอกิน และเบื่อที่จะพุดคุยกับเพื่อน ๆ ก็ลุกขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ได้ด้วย

อีกอย่างหนึ่งประโยชน์ของการมีครัวหน้าบ้านก็คือ  คนทำกับข้าวก็จะไม่เสียโอกาสในการพูดคุยเสวนา เพราะการมาเพื่อพูดคุยก็เป็นเป้าหมายหลักเหมือนกันและท้ายที่สุด การล้างถ้วยล้างจานก่อนเดินทางกลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ใครก็เดินไปล้างถ้วยล้างจานได้เพราะทุกอย่างพร้อมอยู่ใกล้ ๆ

ครัวของเราไม่ค่อยมีอะไรหรอก มีอ่างล้างจาน โต๊ะเตรียมอาหารสองตัว  เตาแก๊ส เตาถ่าน กระทะหนึ่งใบที่ทำได้สารพัดประโยชน์ มันเป็นกระทะที่ราคาแพงราคาหกเจ็ดร้อยบาท ซึ่งเป็นของแพงสิ่งแรกที่เราตัดสินใจซื้อในขณะที่ย้ายบ้านและต้องสร้างครัว

ที่เลือกซื้อกระทะราคาแพงเพราะในช่วงหนึ่งที่ฉันตามนักดนตรีไปอยู่ที่แม่แจ่ม มีร้านอาหารหนึ่งแม่ครัวใช้กระทะทำอาหารได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะต้ม แกง นึ่ง ผัด  หรืออบ เขาบอกฉันว่า กระทะดี ๆ สักใบหนึ่งทำได้ทุกอย่าง


กระทะใบเดียว

เรายินดีกับทุกคนที่เดินทางมาหาเรา บางวันไม่มีเพื่อนมาบ้าน เราก็โทรไปหาเพื่อนให้มา โดยเฉพาะเมื่อทำข้าวเยอะ ๆ หรือทดลองทำอาหารใหม่ ๆ อย่างเช่นในช่วงนี้ ฉันเบื่อข้อเขียนของตัวเอง (ตัวเองยังเบื่อเลย) จึงหันมาชวนเขียนเรื่องอาหารการกิน  และสนใจเรื่องการกินเพื่อสุขภาพมากขึ้น ฉันมีที่ปรึกษาเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพอยู่สองสามคน เพราะอาหารสุขภาพเป็นเรื่องใหม่ เมื่อก่อนกินแค่อร่อยและมีความสุขสนุกสนานกับการกิน

ตอนนี้จึงมุ่งมั่นทำอาหารด้วยเห็ดสามอย่างเพื่อล้างพิษ  
ไม่มีใครก็โทร.ไปเชิญ คอลัมน์คนในประชาไท "ถนอมรัก เดือนเต็มดวง" กับภรรยามาชิม คุณถนอมรักเป็นคนที่พิถีพิถันในการกินและดูแลสุขภาพ มีภรรยาที่คอยดูแลอย่างดี เรียกว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่น่ารักยิ่ง

คุณถนอมรักแกจะชิมนิด ๆ หน่อย ๆ และชมว่าอร่อยมาก มีความสามารถทั้งงานเขียนและงานครัว (อย่างนี้มาเมื่อไหร่ก็รักเมื่อนั้น เรียกว่าพูดถูกใจ ส่วนเรื่องถูกต้องนั่นไม่เป็นไรไว้ทีหลัง)

คุณถนอมรักแกเป็นนักเขียนใหม่ มาเปิดตัวที่คอลัมน์ประชาไท บ้านเราอยู่ใกล้กัน แกเป็นนักเขียนใหม่ที่ขยันและมีวินัยในการทำงานมาก มุ่งมั่นจนคนทำงานมานานอย่างเราละอายใจทีเดียว

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่โทร.ไปเชิญคุณถนอมรักกับภรรยามาชิม วันนี้พิเศษคือมีน้ำเห็ดสามอย่าง แบบทดลองสามอย่าง

การทำน้ำเห็ดสามอย่างนี้ง่าย ๆ ก็คือเอาเห็ดสามชนิดมาต้มกับน้ำสะอาดรวมกันแล้วใช้ผ้าขาวบางกรอง แรกสุดต้มเฉย ๆ ก่อน ปรากฏว่าไม่ค่อยอร่อยนักมีกลิ่นเห็ด  แบบที่สองจึงลองใส่เตยหอมลงไปดู กลิ่นดีขึ้น เติมน้ำตาลลงไป แล้วแช่เย็น เป็นที่น่าชื่นชมยินดีพอใช้ได้ แบบที่สามเปลี่ยนใหม่คราวนี้เอากระเจี๊ยบที่ขึ้นอยู่หลังบ้านมากมาย เอาแต่กลีบดอกลงไปต้มลงกับเห็ด เพราะรู้มาว่ากระเจี๊ยบช่วยลดความดัน

 


น้ำเห็ดสามอย่าง

 

 
น้ำเห็ดสามอย่างแบบกระเจี๊ยบ 


"แปลก ๆ มันเปรี้ยวด้วย" คุณถนอมรักว่า
ทุกคนช่วยกันดื่ม ถามหลานสาวว่าอร่อยไหม เธอพยักหน้า
แต่พอถามว่า
"เอาอีกไหม" เธอส่ายหน้า
แสดงว่ายังไม่อร่อยเต็มขั้นพอที่จะเรียกร้องความสนใจได้ แต่ถ้าคิดว่า กินเป็นอาหารที่มีประโยชน์ก็พอช่วยได้

คราวนี้ลองใหม่ต้มเห็ดสามอย่างเป็นน้ำซุบแล้วซดดื่มแบบน้ำซุบ คือเติมเกลือกับน้ำตาลพอออกรส เหมือนหนังจีน หนังจีนเขาจะดื่มน้ำซุปกัน นางเอกจะบอกพระเอกว่า" ฉันต้มน้ำซุปมาให้คุณ"  แม่จะเดินเข้ามาในห้องและบอกลูกชายว่า  " ดื่มน้ำซุบอุ่น ๆ ก่อนนะ"

 


น้ำเห็ดสามอย่างแบบอุ่น


ได้ผลคราวนี้น้ำเห็ดสามอย่างของฉันเริ่มดูดีมีค่าขึ้นมาทันที ตรงที่แบบหนังจีนนี้แหละ
ใครสนใจลองทำดื่มดูดีจริง ๆ ไปอ่านมาจากนาฬิกาชีวิต และถามผู้รู้มาด้วย ทดลองทำกินแล้วด้วย

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
ถ้าฉันพูดว่า อย่าเอาดอกไม้มาให้ฉันถ้าเธอไม่ได้ปลูกเอง เธออย่าโกรธฉันนะ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง วันหนึ่งก่อนฤดูฝน ฉันเดินทางไปหมู่บ้านหลังดอยอินทนนท์  ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดว่า"เอาดอกไม้ของฉันออกจากหน้าอกเธอ"หนุ่มใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจคงสงสัยว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ จึงไม่ยอมเอาดอกไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อ "เอาออกเถอะ" เขายืนยันอีกครั้ง แต่หญิงสาวยังไม่ทำตาม ยังคงเอาดอกไม้เหน็บในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกต่อ ในที่สุดเขาก็บอกว่า " มันอันตราย ดอกไม้ฉันมีแต่ยา"
แพร จารุ
หมู่บ้านหายโรงเรียนร้าง เดือนก่อนฉันเดินทางไปที่หมู่บ้านหนึ่ง แถวเชียงดาว ไกลเข้าไปในป่า พบโรงเรียนร้างไม่มีเด็ก ไม่มีครู โรงเรียนถูกปิดเพราะไม่มีเด็กเรียน และไม่ใช่แค่โรงเรียนร้างเท่านั้น หมู่บ้านก็หายไปด้วย  ผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าหมู่บ้านนี้ถูกซื้อไปแล้ว "จริงเหรอ เหมือนโฆษณาเลย โฆษณาอะไรนะ ที่ผู้ชายคนหนึ่งถามซื้อเกาะให้ผู้หญิง" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น"ไม่ใช่แค่โฆษณาหรอก ละครโทรทัศน์ก็มีเหมือนกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งเขาซื้อเกาะให้หญิงสาวเป็นของขวัญหากเธอแต่งงานกับเขา" ฉันบอกพวกเขา
แพร จารุ
แปลกใจใช่ไหมค่ะ ต้นไม้ใหญ่ อ่างเก็บน้ำและหมีแพนด้า  มันเกี่ยวกันอย่างไร  เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ  เดือนฉันก่อนไปศาลากลางมา  ที่หน้าศาลากลางมีคนมากมาย มีชาวบ้านมาประท้วงเรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำ 
แพร จารุ
ในขณะที่ผู้คนที่มาดูต้นไม้ ต่างตื่นเต้นกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใหญ่ที่สุดที่นี่คือต้นจามจุรีหรือต้นก้ามปูที่สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา เป็นสนามกอล์ฟเก่า เขาเล่ากันว่าต้นไม้นี้มีอายุมากกว่าร้อยปี ส่วนสูง 15 เมตร ผ่านการประกวดต้นไม้ใหญ่ที่ได้รับรางวัลของเทศบาลมาแล้ว
แพร จารุ
"ที่ซึ่งหนุ่มสาวหอบฝันมาทิ้ง" ฉันบอกเพื่อน ฟังดูน่าตกใจและดูจะเป็นคนใจร้ายไปสักหน่อย และหากว่าน้อง ๆ หนุ่มสาวที่นี่ได้ยินฉันพูดทำนองนี้ พวกเธออาจเสียกำลังใจ เพราะการเดินทางครั้งนี้เราพบหนุ่มสาวพวกที่ฉันคิดว่าเป็นพวก"หอบความฝัน"มากมายหลายคนทีเดียว
แพร จารุ
"ปายแบบเมื่อก่อนจะไม่กลับมาอีกแล้ว เรามาค้นหาคุณค่าใหม่กันเถอะ" เพื่อนคงรำคาญที่ฉันพร่ำเพ้อถึงความหลังครั้งก่อน (ฉันเขียนมาถึงตอนนี้เมื่อฉบับที่แล้ว )  เราได้เพื่อนใหม่ทันที เธอชื่อเนเน่ เธอบอกว่า เธอเดินทางมาที่นี่ปีละหลาย ๆ ครั้ง และแม้ปายจะเปลี่ยนไปอย่างไรเธอก็ยังชอบปาย เธอมาเพื่อหาที่นั่งอ่านหนังสือสบาย ๆ ช่วง เย็น ๆ ก็ออกเดินเล่นไปตามถนน เดินคุยกับคนโน้นคนนี้เพราะผู้คนส่วนมากเป็นมิตร
แพร จารุ
  1 ปาย เปลี่ยนไปมาก และที่ฉันไม่กล้าไปปายก็เพราะกลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวจะเสียใจกับความเปลี่ยนแปลงก็เลยพยายามจะลืมปายทำเหมือนหนึ่งว่าไม่เคยมี ไม่เคยไป
แพร จารุ
"ป้าไฟไหม้ ไฟไหม้ " หลานสาวส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน "ไฟไหม้ที่ไหน" ฉันถาม เดี๋ยวนี้อาการตื่นกลัวเรื่องไฟไหม้ป่าหลังบ้านลดลงไปแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อน ฉันจะกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและรีบโทรศัพท์ไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายทันที และบางครั้งก็ลงมือดับไฟเองก่อนที่รถดับเพลิงจะมา พร้อมกับบ่นด่าคนที่ทำไฟไหม้ คนที่มาเก็บของกินในสวนร้างแต่ไม่เคยสนใจหน้าแล้งยามที่ไม่ค่อยมีอะไรเก็บกิน และเจ้าของสวนที่ทิ้งสวนตัวเองไว้แล้วไม่มาดูแล  รวมถึงดับเพลิงที่มาช้าไม่ทันใจ
แพร จารุ
"อย่าลืมเอาถุงผ้าไปซื้อของ" ฉันเคยบอกใครต่อใครจนเขาเบื่อหน่ายกันแล้ว "อย่าเอาถุงพลาสติกเข้าบ้านถ้าไม่จำเป็น"และทุกครั้งที่ฉันเห็นถุงพลาสติกที่ใส่อาหารแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็จะรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและรีบเก็บแต่ถุงพลาสติกก็ไม่เคยหมดไปจากบ้านฉัน มันวางอยู่ตรงโน้นตรงนี้เสมอ ๆ
แพร จารุ
ผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาขยันมาก นั่งทำงานทุกวัน เขามีเมียขี้คร้านกับหมาพุดเดิ้ลตัวเล็ก ๆ ที่ส่งเสียงเห่าแหลมเล็กทั้งวันทั้งคืน เสียงหมาเห่าดังมาก  แต่เขายังนั่งทำงานอย่างไม่สนใจ  เมียเขานอกจากขี้คร้านแล้วขี้รำคาญด้วย เธอจึงลุกขึ้นไปที่ประตูอย่างหงุดหงิดรำคาญใจเพราะเธอกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสำราญอยู่ ประตูบ้านยังไม่ปิด บ้านนี้ประตูจะไม่ปิดจนกว่าเจ้าของบ้านจะนอน  ลักษณะพิเศษคือเจ้าของบ้านไม่ชอบปิดประตู เปิดไว้ทั้งวันทั้งคืน
แพร จารุ
 หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่นฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง
แพร จารุ
“บ้านฉันไม่ได้อยู่ใกล้สถานบันเทิงเลยค่ะ แต่หนวกหูมากเหมือนกัน” ฉันบอกเพื่อนที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่บ้านของเธออยู่ใกล้สถานบันเทิง หลังจากที่ ฟังเธอบ่นปรับทุกข์ เรื่องเสียงเพลงหนวกหูจากสถานบันเทิง เธอเล่าว่าย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัดได้ไม่นาน ร้านอาหารคาราโอเกะก็มาเปิดข้างบ้าน