Skip to main content
ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน

ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า

ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน

ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน  ป้ายิ้มทุกวันและแกก็ไม่มีเรื่องตำหนิใคร ๆ ไม่มีเรื่องร้าย ๆ ออกมาจากป้าให้ได้ยินเลย

“ไปกินข้าวกินปลา” ป้าจะพูดคำนี้เสมอเมื่อมีหลาน ๆ มาถึงบ้าน  กินข้าวกินปลาจริง ๆ เพราะอาหารหลัก ๆ คือข้าวกับปลา ที่เด็ดสุดของคือแกงส้มปลา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีฉันก็ยังรู้สึกว่า ไม่มีแกงส้มที่ไหนอร่อยเท่าบ้านป้า แกงส้มป้าจะเปรี้ยวจัด  ป้าใช้มะนาวแกงส้ม  น้ำแกงส้มของป้าเป็นน้ำใส  หลายปีที่ฉันพยายามจะแกงส้มให้เหมือนของป้าแต่ไม่เคยทำได้  ไม่เปรี้ยวเผ็ดแบบพอดีเหมือนของป้า

บ้านหลังแรกของป้าอยู่ในสวน บ้านป้ามีของกินมากมาย แต่ที่ฉันชอบที่สุดคือละมุดลูกเล็ก ๆ  ป้าปลูกละมุดไว้หลายต้น นอกจากละมุดก็จะมีฝรั่ง และของกินอีกมากมายไว้ให้หลาน ๆ กิน พวกเราจะสุขสบายและอิ่ม เรียกว่าไม่เคยเลยสักวันที่ไปแล้วหิวกลับมา 

ป้าไม่มีลูกสักคน แต่ถึงแม้จะไม่มีลูกแต่ป้าได้เป็นแม่  เพราะป้าเลี้ยงหลานเป็นลูกอยู่สองสามคน ฉันคิดว่าป้ามีความเป็นแม่ครบถ้วน หลาน ๆ วิ่งไปหาป้าได้เสมอ

เรื่องราวของป้าในวัยเยาว์ ฉันรู้จากแม่เพียงเล็กน้อย แม่เล่าว่า ป้าเป็นพี่สาวคนโตแต่เป็นคนละพ่อกับแม่ เพราะพ่อของป้าซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงในสมัยนั้นเทียบเท่ากับผู้พิพากษาในสมัยนี้ ได้เสียชีวิตไปทิ้งลูกสาวเล็ก ๆ กับแม่เอาไว้ ต่อมาแม่ของป้ามีสามีใหม่และมีลูกสาวอีกสามคน หนึ่งในสามนั้นคือแม่ของฉันคนหนึ่ง

ป้าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอมบาง ฉันไม่ได้เห็นตอนที่ป้าเป็นสาว แต่คิดว่าคงจะสวย เพราะลูกสาวบ้านนั้นสวย ๆ ทั้งสี่คน แต่ที่สวยที่สุดคือแม่ของฉัน

สิ่งที่ฉันเห็นตั้งแต่เด็กคือ พวกเขารักกันมากจริง ๆ และเขาก็บอกให้เรารักและนับถือกัน ใครเป็นลูกผู้พี่ก็จะต้องนับถือลูกผู้น้อง ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก เช่นลูกของน้าที่โตเป็นหนุ่มจะต้องเรียกฉันว่าพี่  ฉันจึงมีน้องเป็นครูสอนฉันในช่วงที่เรียนชั้นประถม

พวกแม่ทั้งสี่มีที่นาอยู่แปลงหนึ่ง เป็นมรดกตกทอดมา ที่นาแปลงนั้นสำหรับปลูกข้าวเป็นของส่วนรวม ข้าวจะถูกเอามาเก็บไว้ที่บ้านเราและพี่น้องทั้งสี่รวมทั้งลูกหลานก็มาเอาข้าวไปกิน ฉันไม่เคยเห็นทั้งสี่พี่น้องมีปัญหาทะเลาะกันเลย พวกเขาจะพูดกันดีมาก ป้าซึ่งเป็นพี่สาวคนโตจะเรียกน้อง ๆ ของแกว่าน้องทุกคำ พวกน้อง ๆ ก็เรียกแกว่า สาว (หมายถึงพี่)

แม่จึงไม่ต้องบอกให้พวกเราพี่น้องรักกัน
ป้าเลี้ยงน้อง ๆ ของแก และเลี้ยงหลานต่อ หลานๆ ที่มาอยู่กับป้าเรียกแกว่าแม่ หลานบางคนมีลูกก็ให้ลูกมาอยู่กับป้าต่ออีก
ป้าเป็นผู้หญิงที่น่ากอดมาก น้องสาวของฉันชอบกอดป้า แต่ฉันชอบจับมือป้าเล่นดึงหนังเหี่ยว ๆ ที่หลังมือ ป้าจะหัวเราะและว่าหนังเหี่ยวหมดแล้ว

ฉันชอบแกล้งอำป้าเล่น ฉันรู้ว่าป้าชอบให้ของน้องสาวคนเล็ก เพราะแกรักเป็นพิเศษในบรรดาลูก ๆ ของแม่ 

วันหนึ่งฉันแกล้งพูดว่า วันนี้ป้าให้ทองน้องสาวด้วยนี่
แกรีบพูดว่า บอกมันแล้วว่าอย่าบอกใคร ไปบอกคนอื่นทำไม
พวกเราก็หัวเราะฮากันเพราะน้องสาวไม่ได้บอกใครเลย แกโดนหลอก

วันหนึ่งป้านั่งหัวสั่นอยู่คนเดียวที่ร้านนั่งประจำของแก ช่วงนี้แกไปไหนไม่ไหวแล้ว ได้แต่นั่ง ๆ อยู่ที่บ้าน ธรรมดาป้าจะไปวัดทุกวันพระ

ฉันถามแกว่า ป้านั่งสั่นทำไม
แกตอบว่า “มันโกรธ” คือแกโกรธอะไรสักอย่างหนึ่ง คงนาน ๆ ถึงจะโกรธครั้ง ฉันไม่ได้ถามแกว่าโกรธอะไรโกรธใคร แต่ถามว่านั่งสั่นทำไม
แกว่ามันโกรธแล้วหัวสั่น
“อ้าว โกรธแล้วนั่งสั่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครเขาสั่นด้วย”
ป้าหัวเราะแล้วว่าเอ้อ...แล้วก็หยุดสั่น
   
ชีวิตช่วงสุดท้ายของป้า ในช่วงชีวิตใกล้จะครบร้อย แม่ซึ่งเป็นน้องสาวที่เหลืออยู่คนเดียวและสูงวัยแล้วเช่นกัน ได้ดูแลป้าอย่างดี จนทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจว่า ฉันมีน้องสาวและเธอคงจะดูแลฉันดีด้วยยามแก่เฒ่า นั้นหมายถึงว่าถ้าฉันจำเป็นจะต้องมีชีวิตยืนยาวเช่นป้าเพราะฉันไม่มีลูกเหมือนป้า

ช่วงหนึ่งแม่ไปรับป้ามาอยู่ด้วย อยู่บ้านเดียวกัน จะได้ไม่ต้องไปรับไปส่ง แต่ป้าก็อยู่ไม่ได้คิดถึงบ้านตัวเอง แม่จึงต้องไปนอนเป็นเพื่อนป้าอยู่เรื่อย ๆ แกไปแบบไม่กลัวเหนื่อย ไปทำอาหารที่ป้าชอบ ไปป้อนข้าว ป้อนนม

วันหนึ่งฉันได้ยินแกพูดว่า คิดถึงน้อง ฉันเห็นคนแก่สองคนพี่น้องกอดกัน
แม่กับป้าเริ่มรู้จักโทรศัพท์ไม่นาน สองคนพี่น้องจำเบอร์โทรของกันได้ โทรหากันทุกวัน

พวกเราหลาน ๆ ใกล้ชิดกับป้า เพราะหน้าที่หนึ่งของพวกเรา ไม่ว่าจะอยู่ไกลถึงไหน ทุกครั้งที่กลับบ้านสิ่งที่ต้องทำคือไปหาป้า แม่จะเตือนให้ไปหาป้าก่อนเสมอ หรือไม่ก็ต้องไปหาป้าก่อนกลับ
   
ป้าเป็นคนน่ารักจนวันสุดท้าย ฉันไปเยี่ยมป้าครั้งสุดท้าย ป้านอนอย่างเดียวแล้ว และป้าก็จำใครไม่ค่อยได้แล้ว โดยเฉพาะฉันซึ่งอยู่ไกลจากป้ามาก แต่สิ่งที่ป้าไม่ลืมคือ เรียกให้หลานกินข้าว

ป้าบอกให้ฉันไปหาข้าวกิน ไปกินข้าวกินปลา ขนมมีก็หากิน
เหลนของป้าที่อยู่กับป้าบอกว่า ใครมาแกก็เรียกให้กินข้าว
ฉันแกล้งบอกป้าว่า ไม่มีข้าวกิน
ดูเถอะหลานอย่างฉัน ถึงขั้นนี้แล้วยังแกล้งป้าได้

ป้าทำเสียงดังขึ้นมานิดหนึ่ง และว่าให้ไปซื้อมาสักบาท ฉันคิดว่าบาทของป้าตอนนั้น คงเป็นค่าของเงินสมัยที่ป้าเป็นสาว เหลนบอกว่าช่วงหลัง ๆ ป้าจะพูดถึงคนที่มีแต่ชื่อแล้วทั้งนั้น และเรียกหาพ่อหาแม่ด้วย บางช่วงแกคืนสู่วัยเยาว์

ชีวิตคืนสู่วัยเยาว์จริง ๆ ยามเช้าเหลนที่อยู่ด้วยจะอุ้มไปเข้าห้องน้ำ แล้วอุ้มกลับมานอน ป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดตัว ทาแป้ง 
แกนอนอย่างสงบ นอนนิ่ง ๆ ไม่โวยวายเสียงดัง พูดจาดี
ฉันคิดว่าคนแก่ที่หลงลืมอย่างป้า แต่ยังพูดจาดี เป็นห่วงคนอื่น กลัวว่ายังไม่ได้กินข้าว ป้าคงมีหัวใจที่ดีมาก นี่แหละที่ว่างามอยู่ข้างในจริง ๆ 

ป้ามีบุญหรือเรียกว่าบุญที่แกทำเอาไว้  หรืออยู่เพื่อให้คนอื่นได้ทำความดี หลาน ๆ ที่ป้าเลี้ยงดูเหมือนลูก ยังมาดูแลป้าอยู่เสมอ  แกไม่เคยถูกทอดทิ้ง แม้ว่าพวกเขาจะไปทำงานไกล บางคนให้เงินเดือนป้าด้วย และยังมีรุ่นเหลน ช่วงหลังป้าอยู่กับเหลนและเหลนของแกก็มีลูกเล็ก ๆ วันน่ารักอยู่กับแกด้วย นับว่าชีวิตแกไม่เคยขาดเด็ก แกจึงไม่โดดเดี่ยวเลย

ป้านอนอยู่ยาวนาน แล้วยามเช้าวันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ป้าจะเดินทางอีกครั้ง แกหลับสนิทในยามเช้า เหลนคนหนึ่งของป้าส่งข่าวมาบอก

แม้ว่าจะรู้สึกว่า ควรจะถึงเวลาของป้าแล้ว หรือป้านอนนานเกินไปแล้ว ไปเถอะป้า แต่หัวใจโหวงเหวงเหลือเกิน เมื่อคิดถึงมือเหี่ยว ๆ ที่ยอมให้หลานอย่างฉันดึงหลังมือเล่น

ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ป้าเลย ฉันเป็นนักเขียน อาชีพที่ป้าไม่รู้จัก ครั้งหนึ่งป้าถามฉันว่าทำงานอะไร ฉันบอกป้าว่าเขียนหนังสือ  ป้าถามอย่างงง ๆ ว่า ยังเรียนหนังสืออยู่หรือ ฉันไม่ได้อธิบายให้ป้าฟังและคิดว่า ป้าเข้าใจไม่ผิดหรอกเพราะฉันยังเรียนอยู่จริง ๆ การอ่านการเขียนก็คือการเรียน

“เขียนหนังสือ” ป้ามีหลานเป็นคนเขียนหนังสือ และนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ คือเขียนถึงป้า เขียนถึงผู้หญิงธรรมดาของหลานที่ดียิ่ง
   

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น…
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง…
แพร จารุ
ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ “ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด” หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้นธนภูมิ อโศกตระกูลเขาเล่าว่า “ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว…
แพร จารุ
“หนาวไหม หนาวหรือยัง”“หนาวแล้ว เชียงไหมหนาวแล้ว”“ฉันจะไปเชียงใหม่”บทสนทนาหนึ่ง ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ รายงานข่าว ขณะนี้ยอดดอยอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะดอยสูงอุณหภูมิติดลบแล้ว เกิดน้ำค้างแข็ง มีคำถามว่า นักท่องเที่ยวหรือคนที่จะมาเชียงใหม่ควรได้รับรู้ข่าวคราวอะไรบ้างนอกจากว่า หนาวแล้วหรือหนาวกี่องศา ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในยามบ่าย เขาพูดต่อว่า ถ้าอยากให้คนอื่นที่มาเที่ยวเชียงใหม่ รู้ว่าเขาควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเมืองและรักเมืองนี้ เราต้องให้ข่าวสารเขามากกว่านี้  เราควรต้องทำงานกับสื่อให้มากว่านี้  เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานภาคีฯการมุ่งเน้นให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่…
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว…
แพร จารุ
ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียวฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์ ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง…
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่…
แพร จารุ
เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี…