Skip to main content

ความหมายของสัญลักษณ์และชื่อกลุ่มต่างๆ เป็นสิ่งที่ดิ้นได้ และในกรณีของการโบกธงชาติ เป่านกหวีดและเรียกขานตนเองของม็อบ กปปส. ว่า 'มวลมหาประชาชน' ก็เช่นกัน

การใช้ธงชาติเป็นสัญลักษณ์หลักของกลุ่ม กปปส. อาจเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติ แต่พอใช้ในการต่อสู้กับคนไทยด้วยกัน มันกลายเป็นความพยายามในการผูกขาดความรักชาติไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำ มันอาจสามารถตีความต่อไปได้ด้วยว่า ฝ่ายตนเป็นไทย และฝ่ายตรงข้ามแม้เป็นคนสัญชาติไทย ก็อาจปราศจากความเป็นไทย

เรื่องนี้ผมเคยทวีตถามลอยๆ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2557 ที่ผ่านมาว่า กปปส. ใช้ธงชาติเป็นสัญลักษณ์หลักในการต่อสู้ เพื่อจะไปต่อสู้กับชาติใดหรือ แล้วก็ได้คำตอบจากผู้สนับสนุน กปปส. คนหนึ่งที่ใช้นามในทวีตภพว่า @pampam_northcap ว่า ‘คนทรยศต่อสถาบันฯไม่สมควรเป็นคนไทย’

ในเมื่อมีการผูกขาดธงชาติและความเป็นไทยเช่นนี้ ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจที่จะเกิดความโกรธแค้นขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วตอนมีภาพเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตที่ยืนยันความจริงของภาพมิได้ ว่ามีเสื้อแดงบนหลังรถปิกอัพดัดแปลงธงชาติให้เหลือเพียงแถบสีแดงกับขาว โดยตัดสีน้ำเงินตรงกลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ทิ้งไป ภาพนี้เป็นของจริงหรือไม่ผู้เขียนมิอาจยืนยันได้ แต่ที่แน่ๆ มีคอลัมนิสต์ นสพ. บางกอกโพสต์เขียนวิจารณ์อย่างฉุนเฉียวและเชื่อว่าภาพมิได้ถูกตกแต่ง นี่ก็คือผลพวงหนึ่งของความพยายามผูกขาดธงชาติไทย

ส่วนนกหวีดนั้น เวลามีคนเป่านกหวีดเสียงดัง ทั้งคนเป่าและคนฟังจะมิสามารถสื่อสารสองทางได้ กล่าวคือการใช้นกหวีดเป็นการสื่อสารทางเดียว เป็นการบอกให้ผู้ที่ได้ยินเสียงอันแผดแก้วหูของนกหวีดฟังลูกเดียวจนกระทั้งล่าสุดมีการขนามนามการใช้นกหวีดเป่าใส่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นการใช้ ‘นกหวีดแห่งความเกลียดชัง’ โดยเห็นได้จากหนึ่งในป้ายที่หอศิลป์กรุงเทพที่เขียนไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Stop whistle of hatred’

ทีนี้มาถึงการเรียกขานม็อบ กปปส. ว่า ‘มวลมหาประชาชน’ ซึ่งเป็นชื่อที่ดูดีและยิ่งใหญ่มาก ทั้งๆที่ความจริงแล้วพวกเขาคือ ‘มวลมหาประชาชนคนส่วนน้อย’ หรือ ‘มวลมหาประชาชนผู้มีอันจะกิน’ (ดู จดหมายจากผู้เขียนถึงม็อบผู้มีอันจะกินชาวกรุงเทพได้ที่นี่ )

การเรียกตนเองเป็นมวลมหาประชาชนจึงเป็นการกลบเกลื่อนความจริง ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ว่าคนห้าหรือสิบล้านคนในประเทศที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน แท้จริงเป็นเพียงคนส่วนน้อย ซึ่งนั่นมิได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีสิทธิใดๆ

ผู้เขียนเคารพสิทธิประชาชนที่จะบอยคอตเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ อย่างเต็มที่ แต่พวกเขาก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่จะใช้สิทธิในการเลือกตั้ง - นอกเสียจากว่า พวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น โดยมิต้องสนใจเรื่องความชอบธรรม เพียงเพราะพวกเขาโบกธงชาติขนาดยักษ์หรือเรียกตนเองว่า 'มวลมหาประชาชน'

 

ถอดความจาก http://www.nationmultimedia.com/politics/No-room-for-reason-in-a-storm-of-whistles-30223738.html

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
 ลึกๆในจิตใต้สำนึกของบรรดาผู้นำเผด็จการทหาร พวกเขาคงตระหนักว่าเขาปราศจากความชอบธรรมใดๆ พวกเขาจึงออกอาการวิตกจริตและปราบปรามการขัดขืนทุกรูปแบบ ไม่ว่าในโลกเสมือนจริงของอินเทอร์เน็ตหรือในโลกแห่งความเป็นจริงประจำวัน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
การรับร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหารรังแต่จะเป็นการสนับสนุนให้มีการก่อรัฐประหารปล้นอำนาจประชาชนซ้ำๆจนชั่วลูกชั่วหลาน วันที่ 31 กรกฎา ผมจะเป็นหนึ่งเสียงในการพยายามยุติวัฐจักรอุบาทว์ปล้นอำนาจประชาชนผ่านรัฐประหารโดยการโหวตโน
ประวิตร โรจนพฤกษ์
การปรับทัศนคติ: คําสวยหรูที่ใช้โดยเผด็จการทหาร คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในการจัดการกับผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดที่แสดงความเห็นไม่ยอมรับรัฐประหาร หรือตั้งคําถามถึงความชอบธรรม หรือความไร้ความชอบธรรมของการก่อรัฐประหารยึดอํานาจฉีกรัฐธรรมนูญ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ข่าวที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับเมืองไทยในหมู่ผู้สื่อข่าวต่างชาติในไทยในปัจจุบันได้แก่การที่พวกเขาจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าการขอวีซ่าทำงานในฐานะนักข่าวในไทยนั้นยากมากขึ้นตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2557