Skip to main content

ในสังคมที่ปืนเป็นใหญ่ ตรรกะมักบิวเบี้ยวผิดเพี้ยนไปเสมอเพราะการถกเถียงอย่างเสรีมักทำมิได้

หลายวันที่ผ่านมา ผู้นำคณะรัฐประหาร คสช.และผู้นำรัฐบาลทหาร (ซึ่งหลายคนคือคนๆเดียวกัน) ได้เรียงคิวกันออกมายืนยันผ่านสื่อว่ารัฐบาล และ คสช.ไม่มีการชี้นำสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ในการพิจารณาถอดถอนนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกรณีทุจริตจำนำข้าว

  เสียงยืนยันยิ่งถี่และซ้ำมากเพียงไร ความพิกลพิการของการใช้ตรรกะในเรื่องนี้ของคนจำนวนมิน้อยก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น ดังจะเห็นได้จากข้อสังเกตสองประเด็นเรื่องการใช้ตรรกะดังต่อไปนี้:


1)ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน

ผิดก็ว่ากันไปตามผิด’ นั้นฟังดูดี แต่กรณี สนช. ถูกตั้งโดยหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือ คสช.ที่ยึดอำนาจรัฐบาลที่ยิ่งลักษณ์เคยเป็นหัวหน้า แล้วมาพิจารณาถอดถอนยิ่งลักษณ์ ทำอย่างไรย่อมหลึกเลี่ยงปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนและไม่ชอบธรรมได้ (ไม่ว่ายิ่งลักษณ์จะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม ซึ่งน่าเสียดาย แทนที่จะทำกระบวนการให้ชอบธรรมและเป็นกลางอย่างแท้จริง)

สำหรับผู้ที่ห่วงเรื่องความเป็นกลาง ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องความเป็นกลางของ สนช. เพราะผู้นำ คสช.คัดสรรแต่งตั้งมากับมือ

ผู้อ่านสามารถมั่นใจได้เพระในจำนวนสมาชิก สนช. 220 คน มีทหารทั้งที่เกษียณและยังรับราชการอยู่ถึง 109 คน

หรือเปรียบเทียบอีกวิธีก็เหมือนการที่รถสองคันชนกัน แล้วต่างฝ่ายต่างบอกว่าฝ่ายตนถูก อีกฝ่ายผิด มันจะยุติธรรมไหมหากฝ่ายหนึ่งจะตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อตัดสินคู่กรณีว่าผิดหรือไม่  ใครช่วยบอกทีว่าการที่คู่กรณีอย่าง คสช.ล้มรัฐบาลที่ยิ่งลักษณ์เคยเป็นหัวหน้าแล้วแต่งตั้ง สนช.มาพิจารณาตัดสินถอดถอนยิ่งลักษณ์มันจะเป็นกลาง ชอบธรรม หรือเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างไร?


2)ปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน

ใครทำผิดก็ควรว่ากันไปตามกฎหมาย’ นั้นฟังดูดี แต่ถ้า ‘คนดี’ ก่อรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญกลับสามารถนิรโทษตนเองได้ ไม่เป็นไร
มันเป็นเหตุเป็นผลไหม?
หรือลองดูตัวอย่างต่อไปนี้ก็ได้
สภาจากการเลือกตั้งพยายามแก้รัฐธรรมนูญ = พยายามล้มล้างการปกครอง
แต่ทหารฉีกรัฐธรรมนูญ = ไม่เป็นไร


สรุป: ในสภาพที่ปืนเป็นใหญ่ ตรรกะมักเป็นตกเหยื่อรายแรกๆ แม้อำนาจปืนทำให้บ้านเมืองดูสงบ แต่ก็เป็นความสงบจอมปลอมชั่วคราวภายใต้ความกลัวกระบอกปืน แม้คนจำนวนมากจะมิกล้าหรือสามารถถกเถียงดังๆ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าอะไรๆเป็นเหตุเป็นผลภายใต้ระบอบกระบอกปืนเป็นใหญ่

ขอจบโดยการยืนยันว่าการตั้งคำถามคือบ่อเกิดแห่งการใช้เหตุผล และขอฝากคำถามแบบอยากได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลดังนี้:


ถาม: คุณคิดว่าเพลง ‘คืนความสุขให้กับประชาชน’ ซึ่งเปิดถี่มากทางวิทยุโทรทัศน์จะเปิดบ่อยแค่ไหนหากไม่มีอำนาจเผด็จการเกื้อหนุน? การที่ผู้ที่ฉีกรัฐธรรมนูญแต่สามารถพร่ำสอนให้ผู้อื่นเคารพกฎหมายได้หน้าตาเฉย ถ้าไม่หน้าด้าน หรือขี้ลืม ก็น่าจะมีปัญหาภาวะตรรกะจางอย่างรุนแรง


ปล. มันมิใช่เรื่องบังเอิญหรอกหากเพลงของผู้นำคณะรัฐประหารติดปากคุณ

 

 

บล็อกของ ประวิตร โรจนพฤกษ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์
1) กว่า 90% ของผู้เสียชีวิตคือผู้ชุมนุมธรรมดา -ปี 2553 จากร้อยศพผมนึกได้เพียงชื่อ เสธ.แดง กับพันเอกร่มเกล้า2) กว่า 99% ของผู้อยู่แนวหน้าเวลาเกิดเหตุเผชิญหน้าปะทะคือผู้ชุมนุมธรรมดา หาใช่แกนนำไม่ –แกนนำมักคอยปลุกปั่นท่ามกลาง ‘มวลมหาประชาชน’ หรือม็อบจากบนเวทีแนวหลัง
ประวิตร โรจนพฤกษ์
ถึงเวลา countdown ความคลั่งชาติแล้วสินะพวกพี่น้องใครจับจ้องรอดูทีวี ถ่ายทอดสดศาลโลกบ้างฆ่ากันตายกี่ล้านศพในนามความคลั่งชาติเกลียดกันนานกี่ศตวรรษในนามชาตินิยมดูถูกคนรวมกี่ชาติในนามวัฒนธรรมอันดีงามทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวไปกี่รอบเพื่อไปตายแทนชนชั้นนำ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
การพยายามผลักดัน พรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งสุดซอยโดยอย่างเร่งด่วนโดยพรรคเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตร เป็นการผลักภาระการสังหารประชาชนโดยมิต้องรับผิดชอบใดๆให้เป็นมรดกเลือดตกทอดแก่ลูกหลานชาวไทย