Skip to main content


น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย


ไถ่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ อุ้มส่งใครก็ไม่มีใครรับ คนแถวนั้นกุลีกุจออยากจะให้เราพามันไปเหลือเกิน น้ำตาลเกือบจะได้อยู่ที่บ้านปีกไม้แล้ว ถ้าหากไม่ถูกแมวตบเสียก่อน ในที่สุด นายผู้ชายของกะทิจึงเสนอวงแขน อุ้มกลับบ้านอย่างยินดี คืนแรก มันครางหงิง ๆ ด้วยความหนาว ความเหงา เปลี่ยวเปล่าแปลกที่จนฉันรู้สึกสงสาร นี่เราพรากมันมาจากแม่หรือเปล่า หรือเจ้าของมันกำลังตามหาอยู่ใช่ไหม ฝากข่าวไปถามไถ่ก็ไม่มีใครติดตามหา


ลูกสาวตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง ’แม่จ๋า ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนูมีหมาตัวหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้เลี้ยงหมาอีกตัว’ นายผู้ชายกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่ล่ะ หมาอันพึงประสงค์ ไม่ได้หมาฝรั่งตัวใหญ่เฉลียวฉลาด ก็ขอหมาดอยดี ๆ มาเลี้ยงไว้เฝ้าสวนสักตัวก็แล้วกัน ในหัวของเขานั้นน่ะ ฝันถึงฝูงหมา
3 -4 ตัวเป็นอย่างน้อย อ้ายตูบ อ้ายดำ อ้ายปุ๊กปิ๊ก อะไรก็ได้ ขอให้เป็นสุนัข เป็นเพื่อนผู้สัตย์ซื่อน่ารักที่เขาฝังใจ แต่เขามักถูกหยุดยั้งความปรารถนา เมื่อฉันบอกสั้น ๆว่า ‘ขออภัย ไม่มีปัญญาจะเลี้ยง’


น้ำตาลตอนแรกนั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่กี่เดือนต่อมาขยายตัวพองออกเรื่อยๆ
1 2 3 จน 4 เท่าของคราวแรก เศษข้าวเศษอาหารกี่จานๆ ดูเหมือนจะไม่เคยอิ่ม ครึ่งขวบปีกว่ามันจะหยุดโต อยู่ตัวไปเอง นับตั้งแต่กลางฤดูหนาวปีก่อนเป็นต้นมา ลานรอบบ้าน มีหมาสีน้ำตาลวิ่งเริงร่าเคียงคู่กับหมาฟูขาว ยามเย็นท่ามกลางแดดสีส้ม เด็กหญิงผมเปียกรีดร้องหัวเราะร่า ลูกหมาไล่ตาม กระโดดงับชายกระโปรง



หากความสุขของกะทิคืออุ้งมือลูบไล้และคำพูดจาอ่อนโยนรักใคร่ ความสุขของน้ำตาลคืออะไร
? บัดนี้มันเนรมิตกายโตใหญ่ กลายเป็นหมาสีน้ำตาลทองนัยน์ตาโศก หูแหลมตั้ง ขนหางพองฟูจนใครบางคนบอกว่า ลักษณะดีนะ พันธุ์บางแก้วหรือเปล่า ดูสิขาสิงห์นะเนี่ย ส่วนลูกสาวคนดีป้อนคำหวานเยินยอ ‘เจ้าน้ำตาลรูปหล่อ อ้ายหมาสุดหล่อแสนดี’ เธอยังแต่งเพลงกับคุณน้าหัวหยิกยาว สรรเสริญวงขนรูปหัวใจที่ก้นของมัน พร้อมทั้งถือกล้องคอยไล่ล่าถ่ายรูปไว้เป็นสักขีพยาน


นายผู้ชายของสองหมานั้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนกินเนื้อ เมื่อวันดีๆ มาถึง เขาไม่เคยเบื่อที่ต้องตระเตรียมเตา เครื่องหมัก ของจิ้ม ขณะพลพรรคเดินทางไปเสาะหาชิ้นเนื้อรสเยี่ยม น้ำตาลมันชอบอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นคนมันก็ขอสมัครเข้าชมรมด้วย มันค้นพบแล้ว ตนก็เป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกัน ระหว่างที่มวลมิตรสรวลเสเฮฮา สรรเสริญเยินยอว่ากินเนื้อดีกว่ากินไก่ซีพีอย่างไรนั้น น้ำตาลมันเดินเนิบ ๆ เลียบเคียงวงเหล้า ยื่นหน้าไปฉกเนื้อย่างชิ้นงามจากเตา เหล่านักเขียน กวี สมาชิกชมรมมังสอวิรัติอ้าปากค้าง ‘ต่อหน้าต่อตาเลยนะมึง ฮึ่ม
! อ้ายน้ำตาล’ วันดีคืนดี มันยังขม้ำหมูที่สับไว้หน้าเขียง หมูที่นายหญิงเตรียมไว้สำหรับทำอาหารเย็น เลยถูกสำเร็จโทษขนานเบาะ ๆ ไปตามระเบียบ


หมาดอยนั้นสืบสายพันธุ์มาจากหมาป่า หมานักล่า อ้ายตาลมันชอบเห่าคนแปลกหน้า ชอบกระโจน ฝากรอยเล็บขีดข่วนไว้ข้างรถทุกคันที่ผ่านเข้ามา มันไม่ยอมผูกมิตรกับใคร แม้ว่าหมาสองสามตัวจะกระดิกหางเข้ามาคุยใกล้ ๆ มันสนใจแต่อาหารกับการไล่ล่า บ่ายที่น่าเบื่อ เงียบเหงา และฝูงนกส่งเสียงร้องรำคาญใจ น้ำตาลวิ่งไปขับเคลื่อนอากาศนิ่งอ้าว มันอยากปลุกกระแสเลือดในกายให้พล่านไหล จมูกชั้นดีและความดิ้นทุรนในกายพามันไปจนถึงฝูงไก่เพื่อนบ้าน อ้ายหมาสีน้ำตาลวิ่งกวดสัตว์ปีกเล็ก ๆ ที่ดิ้นรนตื่นตระหนกอย่างคึกคะนอง

รุ่งสางวันหนึ่ง เสียงสัตว์เล็กกรีดร้องลนลานอยู่ในพงหญ้า ระงมด้วยเสียงเห่าอย่างตื่นเต้นของพวกหมา ทว่า ไม่นานนักก็เงียบไป พวกเราพากันนอนหลับ วางใจ คงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น รุ่งเช้า แสงแดดส่องสว่างไปทั่ว ขุนเขาค่อย ๆ เผยตัวออกมาจากม่านหมอก เจ้าน้ำตาลนอนสงบนิ่ง เบิ่งตาดูภูเขา บนพื้นหญ้าข้างตัวมีซากกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวจ้อย เหลือแค่หัวกับหูยาว ๆ ข้างหนึ่ง



เดี๋ยวนี้ น้ำตาลถูกผูกไว้ทุกบ่าย หาไม่แล้ว มันคงไม่แคล้วถูกกระสุนหรือยาเบื่อจากเจ้าของไก่ เที่ยงวันทุกวัน เมื่อนายผู้ชายตื่นและดื่มกาแฟเสร็จ น้ำตาลจะเดินเซื่อง ๆ ไปรอยังเสาโรงรถตรงที่ถูกล่ามทุกวัน นาฬิกาชีวภาพของมันเที่ยงตรง มันหิวโซทันทีที่หลุดจากโซ่เวลาพลบ กินเสร็จวิ่งเล่นหน่อยหนึ่ง เห่าเสียงสวบสาบในความมืด แล้วไปนอนดูดาวนอกชาน คลุกขี้เถ้าที่กองไฟราแล้วเล่น จากนั้นกลับมาหลับบนพรมหน้าบันได ที่เดิม เวลาเดิม เมื่อกะทิเคล้าคลอนายหญิง มันจะเสนอหน้ามาด้วยทุกครั้ง ‘ขอลูบด้วย ขอเล่นด้วยคนคร้าบ’ และตอบแทนเราด้วยการขบขย้ำแข้งขา หาหมัดให้เบา ๆ น้ำตาลมันพริ้มตาเคลิบเคลิ้มเมื่อฉันลูบศีรษะ ท่าทางแสนจะเป็นสุข แต่นายผู้ชายบอกว่า ความสุขของมันคืออาหารกับการไล่ล่าต่างหาก ก็มันเป็นหมา หมานักล่า หมากินเนื้อ
...นั่นเอง! ความสุขของอ้ายน้ำตาล


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…