Skip to main content


น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย


ไถ่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ อุ้มส่งใครก็ไม่มีใครรับ คนแถวนั้นกุลีกุจออยากจะให้เราพามันไปเหลือเกิน น้ำตาลเกือบจะได้อยู่ที่บ้านปีกไม้แล้ว ถ้าหากไม่ถูกแมวตบเสียก่อน ในที่สุด นายผู้ชายของกะทิจึงเสนอวงแขน อุ้มกลับบ้านอย่างยินดี คืนแรก มันครางหงิง ๆ ด้วยความหนาว ความเหงา เปลี่ยวเปล่าแปลกที่จนฉันรู้สึกสงสาร นี่เราพรากมันมาจากแม่หรือเปล่า หรือเจ้าของมันกำลังตามหาอยู่ใช่ไหม ฝากข่าวไปถามไถ่ก็ไม่มีใครติดตามหา


ลูกสาวตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง ’แม่จ๋า ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนูมีหมาตัวหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้เลี้ยงหมาอีกตัว’ นายผู้ชายกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่ล่ะ หมาอันพึงประสงค์ ไม่ได้หมาฝรั่งตัวใหญ่เฉลียวฉลาด ก็ขอหมาดอยดี ๆ มาเลี้ยงไว้เฝ้าสวนสักตัวก็แล้วกัน ในหัวของเขานั้นน่ะ ฝันถึงฝูงหมา
3 -4 ตัวเป็นอย่างน้อย อ้ายตูบ อ้ายดำ อ้ายปุ๊กปิ๊ก อะไรก็ได้ ขอให้เป็นสุนัข เป็นเพื่อนผู้สัตย์ซื่อน่ารักที่เขาฝังใจ แต่เขามักถูกหยุดยั้งความปรารถนา เมื่อฉันบอกสั้น ๆว่า ‘ขออภัย ไม่มีปัญญาจะเลี้ยง’


น้ำตาลตอนแรกนั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่กี่เดือนต่อมาขยายตัวพองออกเรื่อยๆ
1 2 3 จน 4 เท่าของคราวแรก เศษข้าวเศษอาหารกี่จานๆ ดูเหมือนจะไม่เคยอิ่ม ครึ่งขวบปีกว่ามันจะหยุดโต อยู่ตัวไปเอง นับตั้งแต่กลางฤดูหนาวปีก่อนเป็นต้นมา ลานรอบบ้าน มีหมาสีน้ำตาลวิ่งเริงร่าเคียงคู่กับหมาฟูขาว ยามเย็นท่ามกลางแดดสีส้ม เด็กหญิงผมเปียกรีดร้องหัวเราะร่า ลูกหมาไล่ตาม กระโดดงับชายกระโปรง



หากความสุขของกะทิคืออุ้งมือลูบไล้และคำพูดจาอ่อนโยนรักใคร่ ความสุขของน้ำตาลคืออะไร
? บัดนี้มันเนรมิตกายโตใหญ่ กลายเป็นหมาสีน้ำตาลทองนัยน์ตาโศก หูแหลมตั้ง ขนหางพองฟูจนใครบางคนบอกว่า ลักษณะดีนะ พันธุ์บางแก้วหรือเปล่า ดูสิขาสิงห์นะเนี่ย ส่วนลูกสาวคนดีป้อนคำหวานเยินยอ ‘เจ้าน้ำตาลรูปหล่อ อ้ายหมาสุดหล่อแสนดี’ เธอยังแต่งเพลงกับคุณน้าหัวหยิกยาว สรรเสริญวงขนรูปหัวใจที่ก้นของมัน พร้อมทั้งถือกล้องคอยไล่ล่าถ่ายรูปไว้เป็นสักขีพยาน


นายผู้ชายของสองหมานั้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนกินเนื้อ เมื่อวันดีๆ มาถึง เขาไม่เคยเบื่อที่ต้องตระเตรียมเตา เครื่องหมัก ของจิ้ม ขณะพลพรรคเดินทางไปเสาะหาชิ้นเนื้อรสเยี่ยม น้ำตาลมันชอบอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นคนมันก็ขอสมัครเข้าชมรมด้วย มันค้นพบแล้ว ตนก็เป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกัน ระหว่างที่มวลมิตรสรวลเสเฮฮา สรรเสริญเยินยอว่ากินเนื้อดีกว่ากินไก่ซีพีอย่างไรนั้น น้ำตาลมันเดินเนิบ ๆ เลียบเคียงวงเหล้า ยื่นหน้าไปฉกเนื้อย่างชิ้นงามจากเตา เหล่านักเขียน กวี สมาชิกชมรมมังสอวิรัติอ้าปากค้าง ‘ต่อหน้าต่อตาเลยนะมึง ฮึ่ม
! อ้ายน้ำตาล’ วันดีคืนดี มันยังขม้ำหมูที่สับไว้หน้าเขียง หมูที่นายหญิงเตรียมไว้สำหรับทำอาหารเย็น เลยถูกสำเร็จโทษขนานเบาะ ๆ ไปตามระเบียบ


หมาดอยนั้นสืบสายพันธุ์มาจากหมาป่า หมานักล่า อ้ายตาลมันชอบเห่าคนแปลกหน้า ชอบกระโจน ฝากรอยเล็บขีดข่วนไว้ข้างรถทุกคันที่ผ่านเข้ามา มันไม่ยอมผูกมิตรกับใคร แม้ว่าหมาสองสามตัวจะกระดิกหางเข้ามาคุยใกล้ ๆ มันสนใจแต่อาหารกับการไล่ล่า บ่ายที่น่าเบื่อ เงียบเหงา และฝูงนกส่งเสียงร้องรำคาญใจ น้ำตาลวิ่งไปขับเคลื่อนอากาศนิ่งอ้าว มันอยากปลุกกระแสเลือดในกายให้พล่านไหล จมูกชั้นดีและความดิ้นทุรนในกายพามันไปจนถึงฝูงไก่เพื่อนบ้าน อ้ายหมาสีน้ำตาลวิ่งกวดสัตว์ปีกเล็ก ๆ ที่ดิ้นรนตื่นตระหนกอย่างคึกคะนอง

รุ่งสางวันหนึ่ง เสียงสัตว์เล็กกรีดร้องลนลานอยู่ในพงหญ้า ระงมด้วยเสียงเห่าอย่างตื่นเต้นของพวกหมา ทว่า ไม่นานนักก็เงียบไป พวกเราพากันนอนหลับ วางใจ คงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น รุ่งเช้า แสงแดดส่องสว่างไปทั่ว ขุนเขาค่อย ๆ เผยตัวออกมาจากม่านหมอก เจ้าน้ำตาลนอนสงบนิ่ง เบิ่งตาดูภูเขา บนพื้นหญ้าข้างตัวมีซากกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวจ้อย เหลือแค่หัวกับหูยาว ๆ ข้างหนึ่ง



เดี๋ยวนี้ น้ำตาลถูกผูกไว้ทุกบ่าย หาไม่แล้ว มันคงไม่แคล้วถูกกระสุนหรือยาเบื่อจากเจ้าของไก่ เที่ยงวันทุกวัน เมื่อนายผู้ชายตื่นและดื่มกาแฟเสร็จ น้ำตาลจะเดินเซื่อง ๆ ไปรอยังเสาโรงรถตรงที่ถูกล่ามทุกวัน นาฬิกาชีวภาพของมันเที่ยงตรง มันหิวโซทันทีที่หลุดจากโซ่เวลาพลบ กินเสร็จวิ่งเล่นหน่อยหนึ่ง เห่าเสียงสวบสาบในความมืด แล้วไปนอนดูดาวนอกชาน คลุกขี้เถ้าที่กองไฟราแล้วเล่น จากนั้นกลับมาหลับบนพรมหน้าบันได ที่เดิม เวลาเดิม เมื่อกะทิเคล้าคลอนายหญิง มันจะเสนอหน้ามาด้วยทุกครั้ง ‘ขอลูบด้วย ขอเล่นด้วยคนคร้าบ’ และตอบแทนเราด้วยการขบขย้ำแข้งขา หาหมัดให้เบา ๆ น้ำตาลมันพริ้มตาเคลิบเคลิ้มเมื่อฉันลูบศีรษะ ท่าทางแสนจะเป็นสุข แต่นายผู้ชายบอกว่า ความสุขของมันคืออาหารกับการไล่ล่าต่างหาก ก็มันเป็นหมา หมานักล่า หมากินเนื้อ
...นั่นเอง! ความสุขของอ้ายน้ำตาล


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…